สุราษฎร์ธานี - ผลกระทบน้ำจืดไหลลงทะเล ทำให้หอยนางรม หอยแมลงภู่ และหอยแครง อ่าวบ้านดอนเน่าตายยกอ่าว เสียหายกว่า 3 พันล้านบาท ล่าสุดขยายพื้นที่สู่อ่าวกาญจนดิษฐ์ แหล่งเพาะเลี้ยงหอยนางรมใหญ่ที่สุดในประเทศเสียหายแล้วกว่า 90% คาดว่า ปี 52 ลูกพันธุ์หอยทั้ง 2 ชนิด ขาดแคลนหนัก
จากกรณีมีฝนตกหนักติดต่อกันมานานกว่า 3 สัปดาห์ เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่าน ทำให้น้ำจืดไหลลงสู่อ่าวบ้านดอน อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี ทำให้หอยแมลงภู่ หอยนางรม และหอยแครง อายุระหว่าง 6 เดือนถึง 2 ปี ของกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงหอยในพื้นที่ อ.เมืองสุราษฎร์ธานี กว่า 3,000 ราย แช่น้ำจืดนานกว่า 20 วัน ตายยกอ่าว เบื้องต้นประเมินค่าเสียหายกว่า 3 พันล้านบาท
ล่าสุดวันนี้ (12 ธ.ค.) นายวัชรินทร์ ศรีเมือง ประธานสหกรณ์ผู้เลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า ผลกระทบจากน้ำจืดไหลลงสู่ทะเลจนทำให้ผู้เลี้ยงหอยในพื้นที่ อ.เมืองสุราษฎร์ธานี ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก โดยความเสียหายเบื้องต้นมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาทแล้ว ซึ่งยังขยายพื้นที่เป็นวงกว้างไปกระทบต่อฟาร์มเพาะเลี้ยงหอยนางรม หอยแครง กว่า 20,000ไร่
พื้นที่อ่าวกาญจนดิษฐ์ เป็นแหล่งเพาะเลี้ยงหอยนางรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และเป็นอาหารที่มีชื่อเสียงประจำจังหวัด เป็นที่นิยมบริโภคสูงสุดของนักท่องเที่ยว เสียหายตายไปแล้ว กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาทเช่นเดียวกัน คาดว่า ปี 2552 จ.สุราษฎร์ธานี จะขาดแคลนลูกพันธ์หอยแครงพื้นเมือง และลูกพันธ์หอยนางรม
เนื่องจากตายหมด ขอเรียกร้องขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้การช่วยเหลือเกษตรกรเป็นการด่วน เนื่องจากเกษตรกรผู้เลี้ยงหอยส่วนใหญ่มีฐานะยากจน และกู้เงิน ธกส.มาลงทุนรายละ 50,000 ถึง 200,000 บาท เหตุการณ์น้ำจืดไหลลงสู่ทะเลครั้งนี้ส่งผลให้เกิดความเสียหายในพื้นที่ 2 อำเภอ คิดเป็นมูลค่าเบื้องต้นกว่า 6,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นอีก