นครศรีธรรมราช - ประชาชนกว่า 300,000 คน แบกรับกับสภาพน้ำท่วมต่อไป ความเสียหายเบื้องต้นกว่า 346 ล้านบาท ภาคส่วนต่างๆ ทยอยช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยเฉพาะพื้นที่ 4 อำเภอ แถบลุ่มน้ำปากพนัง เตรียมระดมสมองจัดทำแผนคลองเลี่ยงเมืองทุ่มงบกว่าพันล้าน
วันนี้ (2 ธ.ค.) นายภาณุ อุทัยรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า ในหลายพื้นที่ของนครศรีธรรมราช ถูกประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน และเฝ้าระวังอันตรายจากน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก ตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยถึงขณะนี้ประชาชนกว่า 300,000 คน ต้องทนแบกรับกับสภาพน้ำท่วมและมีแนวโน้มว่ายังต้องทนแบกรับสภาพน้ำท่วมต่อไปอีก หลังจากยังคงมีรายงานฝนตกต่อเนื่องในเกือบทุกพื้นที่ ขณะที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศเตือนเรื่องร่องความกดอากาศต่ำกำลังแรงที่ยังคงปกคลุมภาคใต้ และอ่าวไทยตอนล่าง ส่งผลให้บริเวณภาคใต้มีฝนตกชุกหนาแน่นกับมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ต่อไปอีก
โดยสถานการณ์ทั่วไปในจังหวัดนครศรีธรรมราชถึงขณะนี้ ยังมีรายงานฝนตกในเกือบทุกพื้นที่ น้ำในคลองธรรมชาติยังมีระดับสูงอยู่ และมีน้ำท่วมขังในบริเวณที่ลุ่มและใกล้แหล่งน้ำ ซึ่งการช่วยเหลือจากภาคส่วนต่างๆ ยังคงทยอยเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดมีตัวเลขการช่วยเหลือถุงยังชีพ ข้าวสาร อาหารแห้งแล้วกว่า 23,000 ชุด ข้าวสารกว่า 3,000 กิโลกรัม กระจายไปตามพื้นที่ประสบภัยต่างๆ เพื่อช่วยเหลือผู้เดือดร้อน
ส่วนด้านปศุสัตว์ ได้มีการนำหญ้าแห้ง 19,975 ฟ่อน หญ้าสด 39,100 กิโลกรัม อาหารก้อน 5,500 ก้อน และเวชภัณฑ์ในการควบคุม ป้องกันและรักษาโรคสัตว์ เข้าสนับสนุนเกษตรกรโดยเฉพาะในพื้นที่ประสบภัยของ 4 อำเภอ แถบลุ่มน้ำปากพนัง ได้แก่ ปากพนัง เชียรใหญ่ หัวไทรและเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งเป็นที่รองรับน้ำทั้งหมดของจังหวัดนครศรีธรรมราช ก่อนที่จะไหลออกสู่อ่าวไทย ที่กำลังได้รับผลกระทบอย่างหนัก
ล่าสุด จังหวัดนครศรีธรรมราชได้เตรียมระดมสมองจัดทำแผนคลองเลี่ยงเมืองเพื่อเบี่ยงปริมาณน้ำจำนวนมหาศาลจากเทือกเขานครศรีธรรมราช ให้เบี่ยงออกจากตัวเมืองไหลออกสู่อ่าวไทย ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณราว 1 พันล้านบาท
ขณะที่ นางเพ็ญศรี แก้วคุ้มภัย หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนครศรีธรรมราช สรุปตัวเลขความเสียหาย มีพื้นที่ประสบภัยรวม 22 อำเภอ 146 ตำบล 1,049 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือนร้อน 310,875 คน จาก 85,346 ครัวเรือน มีผู้เสียชีวิต 14 ราย พื้นที่ทางการเกษตรเสียหายกว่า 315,339 ไร่ สิ่งสาธารณประโยชน์เสียหายจำนวนมาก มูลค่าความเสียหายเบื้องต้นกว่า 346 ล้านบาท แล้วและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ
วันนี้ (2 ธ.ค.) นายภาณุ อุทัยรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า ในหลายพื้นที่ของนครศรีธรรมราช ถูกประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน และเฝ้าระวังอันตรายจากน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก ตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยถึงขณะนี้ประชาชนกว่า 300,000 คน ต้องทนแบกรับกับสภาพน้ำท่วมและมีแนวโน้มว่ายังต้องทนแบกรับสภาพน้ำท่วมต่อไปอีก หลังจากยังคงมีรายงานฝนตกต่อเนื่องในเกือบทุกพื้นที่ ขณะที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศเตือนเรื่องร่องความกดอากาศต่ำกำลังแรงที่ยังคงปกคลุมภาคใต้ และอ่าวไทยตอนล่าง ส่งผลให้บริเวณภาคใต้มีฝนตกชุกหนาแน่นกับมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ต่อไปอีก
โดยสถานการณ์ทั่วไปในจังหวัดนครศรีธรรมราชถึงขณะนี้ ยังมีรายงานฝนตกในเกือบทุกพื้นที่ น้ำในคลองธรรมชาติยังมีระดับสูงอยู่ และมีน้ำท่วมขังในบริเวณที่ลุ่มและใกล้แหล่งน้ำ ซึ่งการช่วยเหลือจากภาคส่วนต่างๆ ยังคงทยอยเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดมีตัวเลขการช่วยเหลือถุงยังชีพ ข้าวสาร อาหารแห้งแล้วกว่า 23,000 ชุด ข้าวสารกว่า 3,000 กิโลกรัม กระจายไปตามพื้นที่ประสบภัยต่างๆ เพื่อช่วยเหลือผู้เดือดร้อน
ส่วนด้านปศุสัตว์ ได้มีการนำหญ้าแห้ง 19,975 ฟ่อน หญ้าสด 39,100 กิโลกรัม อาหารก้อน 5,500 ก้อน และเวชภัณฑ์ในการควบคุม ป้องกันและรักษาโรคสัตว์ เข้าสนับสนุนเกษตรกรโดยเฉพาะในพื้นที่ประสบภัยของ 4 อำเภอ แถบลุ่มน้ำปากพนัง ได้แก่ ปากพนัง เชียรใหญ่ หัวไทรและเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งเป็นที่รองรับน้ำทั้งหมดของจังหวัดนครศรีธรรมราช ก่อนที่จะไหลออกสู่อ่าวไทย ที่กำลังได้รับผลกระทบอย่างหนัก
ล่าสุด จังหวัดนครศรีธรรมราชได้เตรียมระดมสมองจัดทำแผนคลองเลี่ยงเมืองเพื่อเบี่ยงปริมาณน้ำจำนวนมหาศาลจากเทือกเขานครศรีธรรมราช ให้เบี่ยงออกจากตัวเมืองไหลออกสู่อ่าวไทย ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณราว 1 พันล้านบาท
ขณะที่ นางเพ็ญศรี แก้วคุ้มภัย หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนครศรีธรรมราช สรุปตัวเลขความเสียหาย มีพื้นที่ประสบภัยรวม 22 อำเภอ 146 ตำบล 1,049 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือนร้อน 310,875 คน จาก 85,346 ครัวเรือน มีผู้เสียชีวิต 14 ราย พื้นที่ทางการเกษตรเสียหายกว่า 315,339 ไร่ สิ่งสาธารณประโยชน์เสียหายจำนวนมาก มูลค่าความเสียหายเบื้องต้นกว่า 346 ล้านบาท แล้วและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ