ศูนย์ข่าวภูเก็ต - พาณิชย์จังหวัดภูเก็ตเผยเศรษฐกิจภูเก็ตชะลอตัว คาดครึ่งปีหลังชะลอตัวกว่าครึ่งปีแรก เหตุสถานการณ์การเมืองไม่นิ่ง
นายสมพงศ์ อ่อนประเสริฐ พาณิชย์จังหวัดภูเก็ต กล่าวถึงแนวโน้มเศรษฐกิจของภูเก็ต ว่า เศรษฐกิจของภูเก็ตยังคงมุ่งเน้นในเรื่องของการท่องเที่ยว จากการสอบถามจากผู้ประกอบการ ท่องเที่ยวพบว่าสถานการณ์การท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตลดลงประมาณ 50% เพราะฉะนั้น เมื่อลงมามากก็จะกระทบกับสถานประกอบการ โรงแรม ร้านอาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค
สาเหตุที่การท่องเที่ยวลดลงก็เนื่องจากสถานการณ์ด้านการเมืองไม่นิ่ง เมื่อการเมืองไม่นิ่งก็ย่อมส่งผลกระทบไปทั่ว โดยเฉพาะภูเก็ตซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวขนาดใหญ่ และรายได้หลักก็มาจากการท่องเที่ยว ซึ่งก็มาจากนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างประเทศ แต่เมื่อสถานการณ์การเมืองไม่นิ่งเขาก็ไม่เดินทางมา ส่วนที่จองไว้แล้วก็ระงับไว้ก่อน
สำหรับภาวะเศรษฐกิจในภาพรวมครึ่งปีแรก อยู่ที่ประมาณ 70-80% แต่มาในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ภาวะเศรษฐกิจชะลอไปบ้าง ซึ่งในส่วนของคนภูเก็ตเองก็ต้องระมัดระวังเกี่ยวกับเรื่องของผลกระทบ แต่ก็ยังโชคดีอยู่บ้างที่ราคาน้ำมันเริ่มที่จะลดลง ส่วนในครึ่งปีหลังภาวะเศรษฐกิจจะอัตราเติบโตลดลงอย่างแน่นอน โดยครึ่งปีแรกจะดีกว่า ส่วนจะลดลงไปเท่าไหร่ยังไม่สามารถประเมินได้
นายสมพงศ์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของการลงทุนที่จังหวัดภูเก็ตจากข้อมูลของการส่งเสริมการลงทุนพบว่าครึ่งปีหลังยังไม่มีการขยายตัว เนื่องจากถูกจำกัดด้วยกฎหมายสิ่งแวดล้อม เช่นการตั้งโรงงานหรือก่อสร้างโรงแรมจะต้องมีการจัดทำผลวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะผลกระทบกับประชาชนที่อยู่ในบริเวณดังกล่าว หรือแม้กระทั่งสนามกอล์ฟ ซึ่งจะต้องมีการสอบถามความคิดเห็นจากประชาชนก่อน
ทั้งนี้ ยืนยันว่าภาคการลงทุนที่ไม่ขยายตัวนั้นไม่ใช่เฉพาะภูเก็ตเท่านั้นแต่รวมทั้งภาคใต้ นอกจากนั้นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การลงทุนไม่ขยายตัวก็คือเรื่องของภาวะการเมืองที่ไม่นิ่งซึ่งมีผลอย่างมาก
นายสมพงศ์ กล่าวถึงเรื่องของราคาสินค้าด้วยว่า สินค้าบางตัวที่กระทรวงพาณิชย์ควบคุมดูแลอยู่ก็มีการปรับราคาเพิ่มสูงขึ้นเพราะมีต้นทุนที่สูงขึ้นก่อนหน้า และทางกระทรวงได้ระงับไว้ในช่วงที่ราคาน้ำมันราคาพุ่งสูง
แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้ผู้ประกอบการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าเกินความเป็นจริง ทางกระทรวงพาณิชย์ก็จะจัดเจ้าหน้าที่ลงไปตรวจสอบอย่างใกล้ชิด โดยจะพุดคุยกับหัวหน้าส่วนในสังกัดกระทรวงพาณิชย์ เช่น ค้าภายใน ชั่งตวงวัด เป็นต้น ซึ่งมีหน้าที่โดยตรง ไปตรวจสอบ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้บริโภค
นายสมพงศ์ อ่อนประเสริฐ พาณิชย์จังหวัดภูเก็ต กล่าวถึงแนวโน้มเศรษฐกิจของภูเก็ต ว่า เศรษฐกิจของภูเก็ตยังคงมุ่งเน้นในเรื่องของการท่องเที่ยว จากการสอบถามจากผู้ประกอบการ ท่องเที่ยวพบว่าสถานการณ์การท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตลดลงประมาณ 50% เพราะฉะนั้น เมื่อลงมามากก็จะกระทบกับสถานประกอบการ โรงแรม ร้านอาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค
สาเหตุที่การท่องเที่ยวลดลงก็เนื่องจากสถานการณ์ด้านการเมืองไม่นิ่ง เมื่อการเมืองไม่นิ่งก็ย่อมส่งผลกระทบไปทั่ว โดยเฉพาะภูเก็ตซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวขนาดใหญ่ และรายได้หลักก็มาจากการท่องเที่ยว ซึ่งก็มาจากนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างประเทศ แต่เมื่อสถานการณ์การเมืองไม่นิ่งเขาก็ไม่เดินทางมา ส่วนที่จองไว้แล้วก็ระงับไว้ก่อน
สำหรับภาวะเศรษฐกิจในภาพรวมครึ่งปีแรก อยู่ที่ประมาณ 70-80% แต่มาในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ภาวะเศรษฐกิจชะลอไปบ้าง ซึ่งในส่วนของคนภูเก็ตเองก็ต้องระมัดระวังเกี่ยวกับเรื่องของผลกระทบ แต่ก็ยังโชคดีอยู่บ้างที่ราคาน้ำมันเริ่มที่จะลดลง ส่วนในครึ่งปีหลังภาวะเศรษฐกิจจะอัตราเติบโตลดลงอย่างแน่นอน โดยครึ่งปีแรกจะดีกว่า ส่วนจะลดลงไปเท่าไหร่ยังไม่สามารถประเมินได้
นายสมพงศ์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของการลงทุนที่จังหวัดภูเก็ตจากข้อมูลของการส่งเสริมการลงทุนพบว่าครึ่งปีหลังยังไม่มีการขยายตัว เนื่องจากถูกจำกัดด้วยกฎหมายสิ่งแวดล้อม เช่นการตั้งโรงงานหรือก่อสร้างโรงแรมจะต้องมีการจัดทำผลวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะผลกระทบกับประชาชนที่อยู่ในบริเวณดังกล่าว หรือแม้กระทั่งสนามกอล์ฟ ซึ่งจะต้องมีการสอบถามความคิดเห็นจากประชาชนก่อน
ทั้งนี้ ยืนยันว่าภาคการลงทุนที่ไม่ขยายตัวนั้นไม่ใช่เฉพาะภูเก็ตเท่านั้นแต่รวมทั้งภาคใต้ นอกจากนั้นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การลงทุนไม่ขยายตัวก็คือเรื่องของภาวะการเมืองที่ไม่นิ่งซึ่งมีผลอย่างมาก
นายสมพงศ์ กล่าวถึงเรื่องของราคาสินค้าด้วยว่า สินค้าบางตัวที่กระทรวงพาณิชย์ควบคุมดูแลอยู่ก็มีการปรับราคาเพิ่มสูงขึ้นเพราะมีต้นทุนที่สูงขึ้นก่อนหน้า และทางกระทรวงได้ระงับไว้ในช่วงที่ราคาน้ำมันราคาพุ่งสูง
แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้ผู้ประกอบการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าเกินความเป็นจริง ทางกระทรวงพาณิชย์ก็จะจัดเจ้าหน้าที่ลงไปตรวจสอบอย่างใกล้ชิด โดยจะพุดคุยกับหัวหน้าส่วนในสังกัดกระทรวงพาณิชย์ เช่น ค้าภายใน ชั่งตวงวัด เป็นต้น ซึ่งมีหน้าที่โดยตรง ไปตรวจสอบ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้บริโภค
