นครศรีธรรมราช - จากเหตุการณ์ที่สะพานมัฆวาน เช้านี้ ส่งผลให้ประชาชนในภาคใต้ตัดสินใจเดินทางเข้ากรุงเทพฯ อีกเป็นจำนวนมาก เนื่องจากไม่พอใจรัฐบาล-ปชป.เรียกร้องสื่อทุกแขนงระมัดระวังในการเสนอข่าว อัดสื่อ NBT เสนอข่าวเลือกข้าง เป็นกระบอกเสียงให้รัฐบาล
นายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ปฏิบัติการของตำรวจที่เข้าสลายการชุมนุมที่บริเวณสะพานมัฆวาน แม้จะอ้างว่าเป็นการสนับสนุนกรมบังคับคดีตามคำสั่งของศาล แต่ปฏิบัติการครั้งนี้ แยกไม่ออกจากท่าทีของรัฐบาล ที่เลือกใช้ความรุนแรงเข้าดำเนินการ ซึ่งสวนทางกับคำประกาศของ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีเอง ที่บอกว่าจะไม่ใช้ความรุนแรง แต่ภาพที่ปรากฏออกทางสื่อมวลชน ทั้งการทุบตี และเอาปืนจี้ศีรษะ เป็นหลักฐานพยานชัดเจน เป็นเรื่องที่รัฐบาลปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้
นายอภิชาต กล่าวต่ออีกว่า เหตุการณ์ที่สะพานมัฆวาน เมื่อเช้าวันที่ 29 สิงหาคม เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้สถานการณ์บานปลาย จนยากจะควบคุม เพราะประชาชนทั่วประเทศไม่พอใจกับปฏิบัติการดังกล่าว มีประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะจากภาคใต้ตัดสินใจเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเข้ามาสมทบกับผู้ชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลเพิ่มมากขึ้น ทุกคนไปด้วยความรู้สึกไม่พอใจต่อรัฐบาล
ขณะเดียวกัน ปฏิบัติการอื่นๆ ที่สะท้อนความไม่พอใจก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น การปิดสนามบิน เป็นต้น ดังนั้น รัฐบาลต้องตั้งหลักใหม่กับสถานการณ์นี้ ต้องกลับหลังหันไปใช้สันติวิธี ใช้การเจรจาทำความเข้าใจเท่านั้น ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองจะเดินเข้าสู่ภาวะนองเลือดอย่างแน่นอน
นายอภิชาต ยังกล่าวด้วยว่า ขอเรียกร้องต่อสถานีโทรทัศน์ สถานีวิทยุกระจายเสียง และสื่อมวลชนทุกแขนง ใช้ความระมัดระวังในการนำเสนอข่าวสารเรื่องนี้ เพราะไม่ใช่สถานการณ์ปกติ จรรยาวิชาชีพในเรื่องนี้ต้องเคร่งครัด ต้องไม่ก่อให้เกิดความยั่วยุ หรือโหมกระพือให้เกิดความรุนแรงมากขึ้น และขอตำหนิการทำหน้าที่ของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ที่รายงานสถานการณ์ด้วยท่าทีที่เป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลอย่างไม่ลืมหูลืมตา
การใช้คำว่า “เกาะติดสถานการณ์ พันธมิตรยึดเมือง” ซึ่งสะท้อนความโน้มเอียงเต็มที่ อีกทั้งนำบุคคลในซีกรัฐบาลมาโจมตีกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างอคติ เป็นเรื่องที่ไม่ควรกระทำในสถานการณ์เช่นนี้ เพราะเป็นการเติมเชื้อไฟแห่งความขัดแย้ง ยั่วยุให้ผู้ชุมนุมไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้บริหารเอ็นบีที และอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ต้องลงมากำกับดูแลเรื่องนี้ด้วยตัวเองอย่างใกล้ชิด ไม่ใช่ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ ผู้ประกาศ จากบริษัทเอกชนที่รับสัมปทานใช้หน้าจอโทรทัศน์ และสถานีวิทยุในเครือข่ายเป็นเครื่องมือ โดยไม่มีความรับผิดชอบเช่นนี้
นายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ปฏิบัติการของตำรวจที่เข้าสลายการชุมนุมที่บริเวณสะพานมัฆวาน แม้จะอ้างว่าเป็นการสนับสนุนกรมบังคับคดีตามคำสั่งของศาล แต่ปฏิบัติการครั้งนี้ แยกไม่ออกจากท่าทีของรัฐบาล ที่เลือกใช้ความรุนแรงเข้าดำเนินการ ซึ่งสวนทางกับคำประกาศของ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีเอง ที่บอกว่าจะไม่ใช้ความรุนแรง แต่ภาพที่ปรากฏออกทางสื่อมวลชน ทั้งการทุบตี และเอาปืนจี้ศีรษะ เป็นหลักฐานพยานชัดเจน เป็นเรื่องที่รัฐบาลปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้
นายอภิชาต กล่าวต่ออีกว่า เหตุการณ์ที่สะพานมัฆวาน เมื่อเช้าวันที่ 29 สิงหาคม เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้สถานการณ์บานปลาย จนยากจะควบคุม เพราะประชาชนทั่วประเทศไม่พอใจกับปฏิบัติการดังกล่าว มีประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะจากภาคใต้ตัดสินใจเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเข้ามาสมทบกับผู้ชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลเพิ่มมากขึ้น ทุกคนไปด้วยความรู้สึกไม่พอใจต่อรัฐบาล
ขณะเดียวกัน ปฏิบัติการอื่นๆ ที่สะท้อนความไม่พอใจก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น การปิดสนามบิน เป็นต้น ดังนั้น รัฐบาลต้องตั้งหลักใหม่กับสถานการณ์นี้ ต้องกลับหลังหันไปใช้สันติวิธี ใช้การเจรจาทำความเข้าใจเท่านั้น ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองจะเดินเข้าสู่ภาวะนองเลือดอย่างแน่นอน
นายอภิชาต ยังกล่าวด้วยว่า ขอเรียกร้องต่อสถานีโทรทัศน์ สถานีวิทยุกระจายเสียง และสื่อมวลชนทุกแขนง ใช้ความระมัดระวังในการนำเสนอข่าวสารเรื่องนี้ เพราะไม่ใช่สถานการณ์ปกติ จรรยาวิชาชีพในเรื่องนี้ต้องเคร่งครัด ต้องไม่ก่อให้เกิดความยั่วยุ หรือโหมกระพือให้เกิดความรุนแรงมากขึ้น และขอตำหนิการทำหน้าที่ของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ที่รายงานสถานการณ์ด้วยท่าทีที่เป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลอย่างไม่ลืมหูลืมตา
การใช้คำว่า “เกาะติดสถานการณ์ พันธมิตรยึดเมือง” ซึ่งสะท้อนความโน้มเอียงเต็มที่ อีกทั้งนำบุคคลในซีกรัฐบาลมาโจมตีกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างอคติ เป็นเรื่องที่ไม่ควรกระทำในสถานการณ์เช่นนี้ เพราะเป็นการเติมเชื้อไฟแห่งความขัดแย้ง ยั่วยุให้ผู้ชุมนุมไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้บริหารเอ็นบีที และอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ต้องลงมากำกับดูแลเรื่องนี้ด้วยตัวเองอย่างใกล้ชิด ไม่ใช่ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ ผู้ประกาศ จากบริษัทเอกชนที่รับสัมปทานใช้หน้าจอโทรทัศน์ และสถานีวิทยุในเครือข่ายเป็นเครื่องมือ โดยไม่มีความรับผิดชอบเช่นนี้