ระนอง -2 ผู้ต้องหาที่ใช้อาวุธปืนสงครามอาก้า ยิงถล่มหน่วยพิทักษ์ป่าระนอง ยอมมอบตัวสู้คดีแล้ว แต่ยังให้การปฏิเสธ ตำรวจตั้ง 4 ข้อหาหนัก
นางกาญจนาภา กี่หมัน ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง พร้อมด้วย พล.ต.ต.อภิรักษ์ หงษ์ทอง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดระนอง ได้ร่วมกันแถลงข่าว หลังจากผู้ต้องหาที่ใช้อาวุธปืนสงครามอาก้า ยิงถล่มหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ รน.2 ราชกรูด หมู่ 3 ต.ราชกรูด อ.เมืองระนอง เหตุเกิดเมื่อเวลา 23 .00 น.วันที่ 24 พ.ค.2551ได้เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรราชกรูด จำนวน 2 คน คือ นายพิเชาว์ แซ่ยี่ อายุ 58 ปี และนายธนากร ง่วนชู อายุ 30 ปี ทั้งสองคนบ้านอยู่ ต.ราชกรูด
พล.ต.ต.อภิรักษ์ กล่าวว่า หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งชุดสืบสวน 2 ชุด ชุดสอบสวน 1 ชุด มี พ.ต.อ.นรินทร์ บุษยวิทย์ รอง ผบก.เป็นหัวหน้าทีม เพื่อเร่งคลี่คลายคดีโดยเร็ว จากการสืบสวนสอบสวนในที่สุดเจ้าหน้าที่ไปตรวจพบอาวุธปืนสงคราม เอเค 47 ชนิดพับฐาน หรือ อาก้า จำนวน 1กระบอก พร้อมซองบรรจุกระสุนขนาด 30 นัด ประกอบอยู่กับตัวปืน ถูกทิ้งอยู่ในลำห้วย ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 800 เมตร และห่างจากบ้านของนายธนากรประมาณ 50 เมตรเมื่อเวลา 08.00 น.วันที่ 29 พ.ค.จึงยึดไว้เป็นหลักฐาน
ในขณะที่ตำรวจกำลังจะขออนุมัติหมายจับต่อศาลจังหวัดระนอง ผู้ต้องหาทั้งสองคนได้ติดตัวขอมอบตัวเสียก่อน พร้อมกับให้การปฏิเสธ ว่า ไม่ได้เป็นผู้ยิง แต่ยอมรับว่า เป็นผู้บุกรุกป่าสงวนแห่งชาติในซอยน้ำตกโตนเพชร ข้างค่ายลูกเสือ หมู่ที่ 4 ต.ราชกรูด
พล.ต.ต.อภิรักษ์ กล่าวอีกว่า แม้ผู้ต้องหาทั้งสองคนจะให้การปฏิเสธ แต่ทางตำรวจมีหลักฐานที่จะดำเนินคดีทั้งสองคนได้ เพราะจากการสืบสวนสอบสวน พบว่าก่อนลงมือก่อเหตุทั้งสองคนได้ดื่มสุรากันก่อน และบังเอิญมีเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่ง พบเห็นรถกันก่อเหตุพอดี คือรถยนต์กระบะอีซูซุ สีน้ำเงิน 2 ตอนหมายเลขทะเบียน กข.3647 ระนอง ของนายธนากร จึงยึดไว้เป็นหลักฐานด้วย
จากการตรวจสอบของตำรวจวิทยากร พบว่า รอยล้อรถในที่เกิดเหตุกับล้อรถคันดังกล่าวตรงกันด้วย จึงได้ตั้ง 4 ข้อหาหนัก คือ ร่วมกันพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน โดยไตร่ตรองไว้ก่อน ,ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียน ไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, พาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว และร่วมกันยิงปืนโดยใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ ในเมือง หมู่บ้าน หรือที่ชุมชน ส่วนจะมีใครอยู่เบื้องหลังหรือไม่ต้องสอบสวนต่อไป