กระบี่ -ผวจ.กระบี่ ลงพื้นที่เกาะลันตา รับฟังปัญหาแพขนานยนต์ พบสาเหตุแพเสีย และน้ำขึ้นลง ทำให้รถขึ้นแพติด เผยอาจมีคู่แข่งเกิดขึ้นแก้ปัญหาความล่าช้าได้ เพราะปัจจุบันนักท่องเที่ยวล้นอยู่แล้ว
นายศิวะ ศิริเสาวลักษณ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ กล่าวภายหลังเดินทางไปที่โรงเรียนบ้านโล๊ะใหญ่ หมู่ 4 ต.เกาะลันตาใหญ่ อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ เพื่อจัดกิจกรรมตามโครงการจังหวัดเคลื่อนที่ โดยนำหน่วยงานราชการลงพื้นที่รับฟังปัญหาของประชาชน หลังจากนั้น ได้มีประชุมรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาแพขนานยนต์เกาะลันตา จากประชาชนรวมทั้งผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวบนเกาะลันตา เพื่อหาแนวทางในการแก้ปัญหา หลังจากที่แพขนานยนต์ไม่สามารถให้บริการกับผู้โดยสารได้เพียงพอต่อความต้องการ
ปัญหาที่นักท่องเที่ยวและประชาชนที่เดินทางไปเกาะลันตา ประสบอยู่ในขณะนี้ คือ ปัญหาเรื่องของความล่าช้า ซึ่งผู้โดยสารจะต้องมารอแพขนานยนต์เป็นเวลานานๆ 1-2 ชั่วโมง หรือบางครั้งก็นานกว่านั้น ทำให้การจราจรติดขัดขบวนรถติดยาวเหยียด
จากปัญหาดังกล่าวจึงสรุปข้อเท็จจริงได้ว่า สาเหตุมาจากในขณะนี้เป็นช่วงไฮซีซัน มีนักท่องเที่ยวเดินทางเป็นจำนวนมาก และประกอบกับขณะนี้กำลังมีการปรับปรุงท่าเทียบแพให้มีความมั่นคงแข็งแรง เพื่อความปลอดภัยแก่ผู้ใช้แพขนานยนต์ ทำให้ผิวจราจรแคบลงเหลือเพียงช่องทางเดียว และเรื่องของระดับน้ำทะเล ที่ขึ้นลงโดยธรรมชาติ ซึ่งเป็นอุปสรรคของแพขนานยนต์ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
นายศิวะ กล่าวด้วยว่า สำหรับแนวทางในการแก้ปัญหานั้นมีหลายแนวทาง ที่มีการเสนอในที่ประชุม อาทิ ผู้ประกอบการโรงแรมที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาพักเป็นส่วนใหญ่ ต้องเข้ามาช่วยเหลือก่อน ซึ่งอาจจะใช้เรือของโรงแรมเองมารับผู้โดยสารที่ท่าแพ โดยจังหวัดจะประสานในเรื่องของสถานที่จอดเรือไว้ให้ พร้อมขอความร่วมมือไปยังรถบรรทุก ให้ระงับการขึ้นลงแพในชั่วโมงเร่งด่วน ให้บริษัทผู้รับเหมาปรับปรุงท่าแพขนานยนต์ ดำเนินการปรับผิวจราจรให้กว้างขึ้นขึ้น เพื่อความสะดวกในการจราจร และที่สำคัญได้กำชับให้ผู้ประกอบการแพขนานยนต์ให้จัดระเบียบการขึ้นลงแพให้มีประสิทธิภาพ
สำหรับแพขนานยนต์ที่มีใช้อยู่ขณะนี้มีแพอยู่แล้ว 3 ลำ และเสียอยู่ 1 ลำ ซึ่งได้ดำเนินการซ่อมแซมใกล้แล้วเสร็จ คาดว่า ภายในเวลาไม่เกิน 10 วัน ก็จะสามารถนำกลับมาใช้การได้
“เรื่องของการเพิ่มผู้ประกอบการแพขนานยนต์ เพื่อให้เกิดการแข่งขันหรือไม่นั้น ก็มีความเป็นไปได้สูง เนื่องจากในปัจจุบันผู้ประกอบการรายเดิม ก็มีผู้โดยสารล้นอยู่แล้ว ซึ่งไม่อาจรองรับจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นได้ แต่ต้องดูว่าจะมีผลกระทบกับผู้ประกอบการเดิมหรือไม่”
นายศิวะ ศิริเสาวลักษณ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ กล่าวภายหลังเดินทางไปที่โรงเรียนบ้านโล๊ะใหญ่ หมู่ 4 ต.เกาะลันตาใหญ่ อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ เพื่อจัดกิจกรรมตามโครงการจังหวัดเคลื่อนที่ โดยนำหน่วยงานราชการลงพื้นที่รับฟังปัญหาของประชาชน หลังจากนั้น ได้มีประชุมรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาแพขนานยนต์เกาะลันตา จากประชาชนรวมทั้งผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวบนเกาะลันตา เพื่อหาแนวทางในการแก้ปัญหา หลังจากที่แพขนานยนต์ไม่สามารถให้บริการกับผู้โดยสารได้เพียงพอต่อความต้องการ
ปัญหาที่นักท่องเที่ยวและประชาชนที่เดินทางไปเกาะลันตา ประสบอยู่ในขณะนี้ คือ ปัญหาเรื่องของความล่าช้า ซึ่งผู้โดยสารจะต้องมารอแพขนานยนต์เป็นเวลานานๆ 1-2 ชั่วโมง หรือบางครั้งก็นานกว่านั้น ทำให้การจราจรติดขัดขบวนรถติดยาวเหยียด
จากปัญหาดังกล่าวจึงสรุปข้อเท็จจริงได้ว่า สาเหตุมาจากในขณะนี้เป็นช่วงไฮซีซัน มีนักท่องเที่ยวเดินทางเป็นจำนวนมาก และประกอบกับขณะนี้กำลังมีการปรับปรุงท่าเทียบแพให้มีความมั่นคงแข็งแรง เพื่อความปลอดภัยแก่ผู้ใช้แพขนานยนต์ ทำให้ผิวจราจรแคบลงเหลือเพียงช่องทางเดียว และเรื่องของระดับน้ำทะเล ที่ขึ้นลงโดยธรรมชาติ ซึ่งเป็นอุปสรรคของแพขนานยนต์ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
นายศิวะ กล่าวด้วยว่า สำหรับแนวทางในการแก้ปัญหานั้นมีหลายแนวทาง ที่มีการเสนอในที่ประชุม อาทิ ผู้ประกอบการโรงแรมที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาพักเป็นส่วนใหญ่ ต้องเข้ามาช่วยเหลือก่อน ซึ่งอาจจะใช้เรือของโรงแรมเองมารับผู้โดยสารที่ท่าแพ โดยจังหวัดจะประสานในเรื่องของสถานที่จอดเรือไว้ให้ พร้อมขอความร่วมมือไปยังรถบรรทุก ให้ระงับการขึ้นลงแพในชั่วโมงเร่งด่วน ให้บริษัทผู้รับเหมาปรับปรุงท่าแพขนานยนต์ ดำเนินการปรับผิวจราจรให้กว้างขึ้นขึ้น เพื่อความสะดวกในการจราจร และที่สำคัญได้กำชับให้ผู้ประกอบการแพขนานยนต์ให้จัดระเบียบการขึ้นลงแพให้มีประสิทธิภาพ
สำหรับแพขนานยนต์ที่มีใช้อยู่ขณะนี้มีแพอยู่แล้ว 3 ลำ และเสียอยู่ 1 ลำ ซึ่งได้ดำเนินการซ่อมแซมใกล้แล้วเสร็จ คาดว่า ภายในเวลาไม่เกิน 10 วัน ก็จะสามารถนำกลับมาใช้การได้
“เรื่องของการเพิ่มผู้ประกอบการแพขนานยนต์ เพื่อให้เกิดการแข่งขันหรือไม่นั้น ก็มีความเป็นไปได้สูง เนื่องจากในปัจจุบันผู้ประกอบการรายเดิม ก็มีผู้โดยสารล้นอยู่แล้ว ซึ่งไม่อาจรองรับจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นได้ แต่ต้องดูว่าจะมีผลกระทบกับผู้ประกอบการเดิมหรือไม่”
