คลังจังหวัดภูเก็ตเร่งให้ความรู้เรื่องพัสดุเพิ่มประสิทธิภาพเบิกจ่างเงินงบประมาณ เร่งหน่วยงานเกี่ยวข้องเบิกจ่ายลงทุนปี 51 ให้เป็นไปตามเป้า หลังพบบางแห่งยังเบิกจ่ายล่าช้า
วันนี้ (19 ม.ค) นายวรพจน์ รัฐสีมา รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวในการประชุม โครงการเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยพัสดุฯ ท้องถิ่นและองค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งสำนักงานคลังจังหวัดภูเก็ตจัดขึ้น ณ โรงแรมภูเก็ตเมอร์ลิน อ.เมือง จ.ภูเก็ต เพื่อเพิ่มประสิทธิกาพการเบิกจ่ายเงินงบประมารที่ได้รับมาให้เสร็จภายในกำหนดระยะเวลา ว่า เรื่องของการเบิกจ่ายเงินงบประมาณนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญและจะต้องดำเนินการให้ถูกต้องเพราะถ้าดำเนินการไม่ถูกต้องจะมีปัญหาทั้งทางวินัยและทางอาญา ซึ่งที่ผ่านมาทางสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง.ได้ติดตามตรวจสอบการใช้เงินในส่วนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พบว่ามีการกระทำความผิดเยอะมาก และมีบางพื้นที่ที่ สตง.สั่งให้จังหวัดสอบวินัยนายอำเภอเนื่องจากไม่กำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะฉะนั้นเพื่อสร้างความเข้าใจในการเบิกจ่ายงบประมาณจึงได้จัดให้มีการให้ความรู้ขึ้นเพื่อให้การดำเนินการเปิดเผยและเที่ยงธรรมโดยพิจารณาถึงผลดีที่จะเกิดขึ้นเป็นหลัก
นายวรพจน์ ยังได้กล่าวถึงการเบิกจ่ายงบลงทุนประจำปี 2551 ว่า สำหรับจังหวัดภูเก็ตได้รับงบลงทุนมาทำโครงการต่างกว่า 1 พันล้านบาท จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเบิกจ่ายเงินงบประมาณให้เสร็จโดยเร็ว
จากการตรวจสอบพบว่า ขณะนี้มีผลการก่อหนี้ผูกพันงบลงทุนปีงบประมาณ พ.ศ.2551 ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงวันที่ 13 มกราคม 2551 ของส่วนราชการในจังหวัด จำนวน 4 แห่ง เป็นเงิน 460.442 ล้านบาท ซึ่งก่อหนี้ผูกพันไว้แล้วเหลือเพียงการเบิกจ่ายตามงวดงาน งบอุดหนุนทั่วไปของท้องถิ่นจังหวัด จำนวน 340.369 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเบิกจ่ายตามแผนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
งบลงทุนของส่วนราชการที่ได้รับในปี 2551 และต้องติดตามในเรื่องการก่อหนี้ผูกพัน จำนวน 254.155 ล้านบาท สามารถก่อหนี้ผูกพันแล้วจำนวน 140.94 ล้านบาท แยกเป็น ค่าครุภัณฑ์ จำนวน 105 รายการ วงเงิน 42.592 ล้านบาท ก่อหนี้ผูกพันแล้ว จำนวน 48 รายการ วงเงิน 7.332 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 17.21 ยังไม่ก่อหนี้จำนวน 57 รายการ วงเงิน 35.26 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 82.78 กับค่าที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง จำนวน 62 รายการ วงเงิน 211.563 ล้านบาท ก่อหนี้ผูกพันแล้ว จำนวน 17 รายการ วงเงิน 133.608 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 63.15 ยังไม่ก่อหนี้ จำนวน 45 รายการ วงเงิน 77.955 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 36.84
วันนี้ (19 ม.ค) นายวรพจน์ รัฐสีมา รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวในการประชุม โครงการเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยพัสดุฯ ท้องถิ่นและองค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งสำนักงานคลังจังหวัดภูเก็ตจัดขึ้น ณ โรงแรมภูเก็ตเมอร์ลิน อ.เมือง จ.ภูเก็ต เพื่อเพิ่มประสิทธิกาพการเบิกจ่ายเงินงบประมารที่ได้รับมาให้เสร็จภายในกำหนดระยะเวลา ว่า เรื่องของการเบิกจ่ายเงินงบประมาณนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญและจะต้องดำเนินการให้ถูกต้องเพราะถ้าดำเนินการไม่ถูกต้องจะมีปัญหาทั้งทางวินัยและทางอาญา ซึ่งที่ผ่านมาทางสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง.ได้ติดตามตรวจสอบการใช้เงินในส่วนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พบว่ามีการกระทำความผิดเยอะมาก และมีบางพื้นที่ที่ สตง.สั่งให้จังหวัดสอบวินัยนายอำเภอเนื่องจากไม่กำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะฉะนั้นเพื่อสร้างความเข้าใจในการเบิกจ่ายงบประมาณจึงได้จัดให้มีการให้ความรู้ขึ้นเพื่อให้การดำเนินการเปิดเผยและเที่ยงธรรมโดยพิจารณาถึงผลดีที่จะเกิดขึ้นเป็นหลัก
นายวรพจน์ ยังได้กล่าวถึงการเบิกจ่ายงบลงทุนประจำปี 2551 ว่า สำหรับจังหวัดภูเก็ตได้รับงบลงทุนมาทำโครงการต่างกว่า 1 พันล้านบาท จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเบิกจ่ายเงินงบประมาณให้เสร็จโดยเร็ว
จากการตรวจสอบพบว่า ขณะนี้มีผลการก่อหนี้ผูกพันงบลงทุนปีงบประมาณ พ.ศ.2551 ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงวันที่ 13 มกราคม 2551 ของส่วนราชการในจังหวัด จำนวน 4 แห่ง เป็นเงิน 460.442 ล้านบาท ซึ่งก่อหนี้ผูกพันไว้แล้วเหลือเพียงการเบิกจ่ายตามงวดงาน งบอุดหนุนทั่วไปของท้องถิ่นจังหวัด จำนวน 340.369 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเบิกจ่ายตามแผนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
งบลงทุนของส่วนราชการที่ได้รับในปี 2551 และต้องติดตามในเรื่องการก่อหนี้ผูกพัน จำนวน 254.155 ล้านบาท สามารถก่อหนี้ผูกพันแล้วจำนวน 140.94 ล้านบาท แยกเป็น ค่าครุภัณฑ์ จำนวน 105 รายการ วงเงิน 42.592 ล้านบาท ก่อหนี้ผูกพันแล้ว จำนวน 48 รายการ วงเงิน 7.332 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 17.21 ยังไม่ก่อหนี้จำนวน 57 รายการ วงเงิน 35.26 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 82.78 กับค่าที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง จำนวน 62 รายการ วงเงิน 211.563 ล้านบาท ก่อหนี้ผูกพันแล้ว จำนวน 17 รายการ วงเงิน 133.608 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 63.15 ยังไม่ก่อหนี้ จำนวน 45 รายการ วงเงิน 77.955 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 36.84
