นราธิวาส - โรงพยาบาลนราธิวาสถวายการไว้อาลัยสมเด็จพระพี่นางฯ ประวัติโรงพยาบาลนราฯ ได้รับชื่อชื่อพระราชทาน “ราชนครินทร์”
เมื่อเวลา 09.30 น.วันนี้ (3 ม.ค.) นายการัณย์ ศุภกิจวิเลขการ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาสและ นพ.วิรุฬห์ พรพัฒน์กุล ผอ.โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ ได้ร่วมเป็นประธานในพิธีสงฆ์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ด้วยสำนึกในพระกรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงอุทิศพระวรกายในการช่วยเหลือพสกนิกรให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
โดยเฉพาะปัญหาสุขภาพ ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้พสกนิกรสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ความเป็นสุข โดยมีคณะแพทย์ พยาบาล และประชาชนชายหญิงผู้สูงอายุ จำนวนเกือบ 200 คน เข้าร่วมงานในพิธีการดังกล่าว ณ ห้องประชุมภักดีบดินทร์ อาคารเฉลิมราชย์ โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์
โดยนอกเหนือจากพิธีสงฆ์แล้ว ทางโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ ยังได้จัดให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าเข้าร่วมกิจกรรมในการลงนามถวายความไว้อาลัยแด่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ในครั้งนี้ด้วย รวมทั้งได้มีการให้บริการตรวจสุขภาพแก่ผู้สูงอายุ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเช่นกัน
ด้าน นพ.วิรุฬห์ พรพัฒน์กุล ผอ.โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ ได้เปิดเผยประวัติความเป็นมาภายใต้ชื่อของโรงพยาบาลแห่งนี้ ว่า โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ เดิมชื่อโรงพยาบาลนราธิวาส เป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัดนราธิวาส ก่อตั้งเมื่อวันที่ 24 มิ.ย.2484 ปัจจุบันเป็นโรงพยาบาลทั่วไปขนาด 360 เตียง ในปี พ.ศ.2538
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สถาปนาพระอิสสริยศักดิ์ให้เป็นเจ้าฟ้าต่างกรมฝ่ายใน เป็นสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ โรงพยาบาลนราธิวาสจึงได้ขอพระราชทานนามโรงพยาบาล เพื่อเป็นสิริมงคลกับเจ้าหน้าที่และประชาชนในพื้นที่จังหวัดนราธิวาสและจังหวัดใกล้เคียง เมื่อความทราบฝ่าพระบาท จึงได้พระราชทานนามโรงพยาบาล เป็นโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์
เมื่อวันที่ 28 ก.พ.2540 และพระองค์ยังได้เสด็จมาเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดอาคารเฉลิมราชย์ ซึ่งเป็นอาคารบริการผู้ป่วยนอก จำนวน 800 รายต่อวัน และหน่วยโรคไตเฉลิมพระเกียรติพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ ที่โรงพยาบาล เมื่อวันที่ 11 ส.ค.2543
นอกจากนี้ โรงพยาบาลยังมีหน่วยกายอุปกรณ์ทำแขนขาเทียม ซึ่งอยู่ในพระอุปถัมภ์ของมูลนิธิขาเทียมพระราชทานของพระองค์ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประชาชนที่เจ็บป่วยในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเวลา 09.30 น.วันนี้ (3 ม.ค.) นายการัณย์ ศุภกิจวิเลขการ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาสและ นพ.วิรุฬห์ พรพัฒน์กุล ผอ.โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ ได้ร่วมเป็นประธานในพิธีสงฆ์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ด้วยสำนึกในพระกรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงอุทิศพระวรกายในการช่วยเหลือพสกนิกรให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
โดยเฉพาะปัญหาสุขภาพ ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้พสกนิกรสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ความเป็นสุข โดยมีคณะแพทย์ พยาบาล และประชาชนชายหญิงผู้สูงอายุ จำนวนเกือบ 200 คน เข้าร่วมงานในพิธีการดังกล่าว ณ ห้องประชุมภักดีบดินทร์ อาคารเฉลิมราชย์ โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์
โดยนอกเหนือจากพิธีสงฆ์แล้ว ทางโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ ยังได้จัดให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าเข้าร่วมกิจกรรมในการลงนามถวายความไว้อาลัยแด่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ในครั้งนี้ด้วย รวมทั้งได้มีการให้บริการตรวจสุขภาพแก่ผู้สูงอายุ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเช่นกัน
ด้าน นพ.วิรุฬห์ พรพัฒน์กุล ผอ.โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ ได้เปิดเผยประวัติความเป็นมาภายใต้ชื่อของโรงพยาบาลแห่งนี้ ว่า โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ เดิมชื่อโรงพยาบาลนราธิวาส เป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัดนราธิวาส ก่อตั้งเมื่อวันที่ 24 มิ.ย.2484 ปัจจุบันเป็นโรงพยาบาลทั่วไปขนาด 360 เตียง ในปี พ.ศ.2538
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สถาปนาพระอิสสริยศักดิ์ให้เป็นเจ้าฟ้าต่างกรมฝ่ายใน เป็นสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ โรงพยาบาลนราธิวาสจึงได้ขอพระราชทานนามโรงพยาบาล เพื่อเป็นสิริมงคลกับเจ้าหน้าที่และประชาชนในพื้นที่จังหวัดนราธิวาสและจังหวัดใกล้เคียง เมื่อความทราบฝ่าพระบาท จึงได้พระราชทานนามโรงพยาบาล เป็นโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์
เมื่อวันที่ 28 ก.พ.2540 และพระองค์ยังได้เสด็จมาเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดอาคารเฉลิมราชย์ ซึ่งเป็นอาคารบริการผู้ป่วยนอก จำนวน 800 รายต่อวัน และหน่วยโรคไตเฉลิมพระเกียรติพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ ที่โรงพยาบาล เมื่อวันที่ 11 ส.ค.2543
นอกจากนี้ โรงพยาบาลยังมีหน่วยกายอุปกรณ์ทำแขนขาเทียม ซึ่งอยู่ในพระอุปถัมภ์ของมูลนิธิขาเทียมพระราชทานของพระองค์ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประชาชนที่เจ็บป่วยในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นอย่างยิ่ง