พัทลุง - สหกรณ์ผู้เลี้ยงกุ้งปากพะยูน เตรียมทำสมุดสมุดปกขาว เสนอต่อรัฐสภาสมัยหน้า ตั้งคณะกรรมาธิการเพาะเลี้ยงและผู้ส่งออกไทยขึ้น เผยนักลงทุนไทยนอกประเทศกว่า 10 ราย สวมชื่อ “กุ้งไทย” ส่งออกต่างประเทศ แย่งส่วนแบ่งการตลาดกว่า 50%
ว่าที่ ร.ต.ประสิทธิ์ บัวงาม ประธานคณะกรรมการสหกรณ์เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำปากพะยูน จำกัด อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง เปิดเผยว่า ปัญหาสำคัญที่ทำให้กุ้งของเกษตรกรไทยประสบปัญหาราคาตกต่ำและถูกกีดกันทางการค้า
ทั้งนี้ เนื่องจากกลุ่มนักลงทุนไทยไม่ต่ำกว่า 10 ราย ที่ได้เข้าไปลงทุนธุรกิจฟาร์มกุ้งขนาดใหญ่ในประเทศอินโดนีเซีย พม่า เวียดนาม กัมพูชา จีน และบังกลาเทศ ซึ่งลงทุนโยบายครบวงจร บางจุดก่อสร้างฟาร์มพื้นที่ขนาดถึง 100,000 ไร่ ทำการสวมชื่อกุ้งไทย ส่งออกต่างประเทศ จนต้องแบ่งส่วนแบ่งทางการตลาดของกุ้งไทยไปประมาณ 50%
โดยส่งผลกระทบหนักที่สุด คือ กลุ่มเกษตรกรเลี้ยงรายย่อยของไทย ในขณะเดียวกัน ต่างชาติ ประเทศอิหร่าน ปากีสถาน ก็ได้เข้ามาลงทุนในเมืองไทย โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ส่งผลกระทบเช่นเดียวกันปัญหากุ้งต่างประเทศ มาสวมชื่อกุ้งไทย ซึ่งทางสหกรณ์เคยสอบถามไปยังกรมประมง แต่ไม่สามารถให้คำตอบได้
“ภาวการณ์เลี้ยงกุ้งขณะนี้ เกษตรกรรายย่อยถดถอยลงมาอย่างต่อเนื่อง เหลือประมาณ 40- 50 เปอร์เซ็นต์ แต่กุ้งไทยกลับมีปริมาณผลผลิตขยายตัวเติบมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกุ้งที่เลี้ยงในประเทศไทย กับที่เลี้ยงในต่างประเทศอยู่ระหว่าง 50/50 ขาดเหลือไม่เกิน 10 ให้กรมประมงเรียก มูฟเมนต์ ซึ่งเป็นฐานข้อมูลมาพิสูจน์ได้”
ว่าที่ รต.ประสิทธิ์ ยังกล่าวอีกว่า ปัจจุบันกุ้งไทยส่งออกมาเป็นอันดับ 1 ของโลก มีมูลค่าถึง 85,000 ล้านบาท/ปี วนแบ่งการตลาดเป็นกุ้งที่เลี้ยงในต่างประเทศของกลุ่มนักลงทุนในเมืองไทย แล้วมาสวมชื่อกุ้งไทย เอาไปประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือก็เป็นกุ้งที่เลี้ยงในประเทศไทย เฉพาะในปี 2550 ผู้ส่งออกกุ้งไทยไปทำตลาดซื้อขายล่วงหน้ากับตลาดสหรัฐอเมริกา จำนวน 50,000 ตัน ทำราคาที่ต่ำกว่ากับกลุ่มประเทศอเมริกาใต้ โดยเฉพาะประเทศเอกวาดอร์ เกือบ 2 เหรียญสหรัฐฯ
ในขณะที่ทำตลาดราคาที่ต่ำกว่ากลุ่มประเทศอเมริกาใต้ เงินบาทเกิดภาวะแข็งตัว จึงหันมากดราคากุ้งไทย เพราะรู้ว่าครึ่งปีแรก 2550 กุ้งไทยจะออกสู่ตลาดพร้อมๆ กัน จึงสามารถทำราคาได้ โดยทำต่ำกว่าต้นทุนการผลิตประมาณ 20 บาท/กก.แล้วส่งออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ตามสัญญา จนมีปัญหาการทำราคาในตลาดโลก มีการกีดกันทางการค้ากันขึ้น ผู้ส่งออกบางกลุ่มขาดคุณธรรม แล้วกล่าวหาว่าผู้เลี้ยงกุ้งบิดเบือน
ปัญหานี้จะสัมมนาประชุมกับกรมประมง กรมการค้าภายใน สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย นายกสมาคมผู้ผลิต ผู้ค้าปัจจัยสัตว์น้ำ เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งรายใหญ่และบริษัท สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งรายย่อย ตัวแทนนักการเมือง
ทั้งนี้ เพื่อเอาข้อมูลทั้งหมดจัดทำเป็นเอกสาร ว่าด้วยเลี้ยงกุ้งทั้งระบบ (สมุดปกขาว) แล้ว เปิดผนึกถึงรัฐสภา ในสมัยหน้า ให้รัฐบาลประกาศเป็นวาระแห่งชาติให้รัฐสภา ตั้งคณะกรรมาธิการการเพาะเลี้ยงและการส่งออกกุ้งไทย ขึ้น
คณะกรรมาธิการมาดูแลเชิงระบบ เชิงนโยบาย มีข้อกำหนด ระเบียบ มาตรฐานการทำฟาร์ม เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม และการต่อสู้ในเวทีตลาดโลก ตลอดจนเรื่องมาตรการการกีดกันกุ้งไทย ถึงเวลาที่จะต้องให้รัฐบาลออกมาดูแลต่อสู้แล้ว
ว่าที่ ร.ต.ประสิทธิ์ บัวงาม ประธานคณะกรรมการสหกรณ์เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำปากพะยูน จำกัด อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง เปิดเผยว่า ปัญหาสำคัญที่ทำให้กุ้งของเกษตรกรไทยประสบปัญหาราคาตกต่ำและถูกกีดกันทางการค้า
ทั้งนี้ เนื่องจากกลุ่มนักลงทุนไทยไม่ต่ำกว่า 10 ราย ที่ได้เข้าไปลงทุนธุรกิจฟาร์มกุ้งขนาดใหญ่ในประเทศอินโดนีเซีย พม่า เวียดนาม กัมพูชา จีน และบังกลาเทศ ซึ่งลงทุนโยบายครบวงจร บางจุดก่อสร้างฟาร์มพื้นที่ขนาดถึง 100,000 ไร่ ทำการสวมชื่อกุ้งไทย ส่งออกต่างประเทศ จนต้องแบ่งส่วนแบ่งทางการตลาดของกุ้งไทยไปประมาณ 50%
โดยส่งผลกระทบหนักที่สุด คือ กลุ่มเกษตรกรเลี้ยงรายย่อยของไทย ในขณะเดียวกัน ต่างชาติ ประเทศอิหร่าน ปากีสถาน ก็ได้เข้ามาลงทุนในเมืองไทย โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ส่งผลกระทบเช่นเดียวกันปัญหากุ้งต่างประเทศ มาสวมชื่อกุ้งไทย ซึ่งทางสหกรณ์เคยสอบถามไปยังกรมประมง แต่ไม่สามารถให้คำตอบได้
“ภาวการณ์เลี้ยงกุ้งขณะนี้ เกษตรกรรายย่อยถดถอยลงมาอย่างต่อเนื่อง เหลือประมาณ 40- 50 เปอร์เซ็นต์ แต่กุ้งไทยกลับมีปริมาณผลผลิตขยายตัวเติบมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกุ้งที่เลี้ยงในประเทศไทย กับที่เลี้ยงในต่างประเทศอยู่ระหว่าง 50/50 ขาดเหลือไม่เกิน 10 ให้กรมประมงเรียก มูฟเมนต์ ซึ่งเป็นฐานข้อมูลมาพิสูจน์ได้”
ว่าที่ รต.ประสิทธิ์ ยังกล่าวอีกว่า ปัจจุบันกุ้งไทยส่งออกมาเป็นอันดับ 1 ของโลก มีมูลค่าถึง 85,000 ล้านบาท/ปี วนแบ่งการตลาดเป็นกุ้งที่เลี้ยงในต่างประเทศของกลุ่มนักลงทุนในเมืองไทย แล้วมาสวมชื่อกุ้งไทย เอาไปประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือก็เป็นกุ้งที่เลี้ยงในประเทศไทย เฉพาะในปี 2550 ผู้ส่งออกกุ้งไทยไปทำตลาดซื้อขายล่วงหน้ากับตลาดสหรัฐอเมริกา จำนวน 50,000 ตัน ทำราคาที่ต่ำกว่ากับกลุ่มประเทศอเมริกาใต้ โดยเฉพาะประเทศเอกวาดอร์ เกือบ 2 เหรียญสหรัฐฯ
ในขณะที่ทำตลาดราคาที่ต่ำกว่ากลุ่มประเทศอเมริกาใต้ เงินบาทเกิดภาวะแข็งตัว จึงหันมากดราคากุ้งไทย เพราะรู้ว่าครึ่งปีแรก 2550 กุ้งไทยจะออกสู่ตลาดพร้อมๆ กัน จึงสามารถทำราคาได้ โดยทำต่ำกว่าต้นทุนการผลิตประมาณ 20 บาท/กก.แล้วส่งออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ตามสัญญา จนมีปัญหาการทำราคาในตลาดโลก มีการกีดกันทางการค้ากันขึ้น ผู้ส่งออกบางกลุ่มขาดคุณธรรม แล้วกล่าวหาว่าผู้เลี้ยงกุ้งบิดเบือน
ปัญหานี้จะสัมมนาประชุมกับกรมประมง กรมการค้าภายใน สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย นายกสมาคมผู้ผลิต ผู้ค้าปัจจัยสัตว์น้ำ เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งรายใหญ่และบริษัท สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งรายย่อย ตัวแทนนักการเมือง
ทั้งนี้ เพื่อเอาข้อมูลทั้งหมดจัดทำเป็นเอกสาร ว่าด้วยเลี้ยงกุ้งทั้งระบบ (สมุดปกขาว) แล้ว เปิดผนึกถึงรัฐสภา ในสมัยหน้า ให้รัฐบาลประกาศเป็นวาระแห่งชาติให้รัฐสภา ตั้งคณะกรรมาธิการการเพาะเลี้ยงและการส่งออกกุ้งไทย ขึ้น
คณะกรรมาธิการมาดูแลเชิงระบบ เชิงนโยบาย มีข้อกำหนด ระเบียบ มาตรฐานการทำฟาร์ม เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม และการต่อสู้ในเวทีตลาดโลก ตลอดจนเรื่องมาตรการการกีดกันกุ้งไทย ถึงเวลาที่จะต้องให้รัฐบาลออกมาดูแลต่อสู้แล้ว