ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี กระทรวงคมนาคม เดินหน้าโครงการศึกษาความเหมาะสมทางด้านเศรษฐกิจ วิศวกรรม และสิ่งแวดล้อม เพื่อก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก ชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตอนล่างอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้ข้อสรุปใช้พื้นที่ ต.นาทับ อ.จะนะ จ.สงขลา ก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก โดยประชาชนในพื้นที่เห็นด้วย ขณะที่การออกแบบจะให้มีขนาดเท่ากับท่าเรือน้ำลึกปากบารา และท่าเรือสงขลาเดิม ด้านผู้อำนวยการโครงการการจัดการทรัพยากรชายฝั่งทะเลภาคใต้ จี้ให้หน่วยงานที่เป็นกลางทำการสำรวจความคิดเห็นใหม่อีกครั้ง เผยทุน TPI กว้านซื้อที่ดิน 800 ไร่ ทำนิคมอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เชื่อจะส่งผลกระทบไม่แพ้มาบตาพุด
กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี กระทรวงคมนาคม เดินหน้าโครงการศึกษาความเหมาะสมทางด้านเศรษฐกิจ วิศวกรรม และสิ่งแวดล้อมเพื่อก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตอนล่างอย่างต่อเนื่อง โดยได้มีการจัดสัมมนาระดมความคิดเห็น ครั้งที่ 1 ไปแล้วเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ณ โรงแรมราชมังคลา พาวีเลี่ยน บีช รีสอร์ท อ.เมืองสงขลา โดยมีตัวแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ภาคธุรกิจ และประชาชนทั่วไปเข้าร่วมรับฟังรายละเอียดของโครงการ ที่ร่วมศึกษาโดยบริษัท ซีสเปคตรัม จำกัด และ บริษัท เอส ที เอส เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแตนท์ จำกัด
ดร.มานะ ภัตรพานิช ผู้จัดการโครงการ กล่าวว่า บริษัทที่ปรึกษาโครงการได้ศึกษาเพื่อคัดเลือกพื้นที่ที่มีศักยภาพที่สุดในการพัฒนาให้เป็นท่าเรือน้ำลึกชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตอนล่าง ตั้งแต่บริเวณ จ.นครศรีธรรมราช ถึง จ.นราธิวาส ทั้งนี้ เพื่อรองรับการค้าระหว่างประเทศที่มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น และเป็นการเพิ่มขีดความสามารถของท่าเรือน้ำลึกบริเวณชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตอนล่าง ให้สามารถรองรับความต้องการในการขนส่งสินค้า และสามารถเชื่อมโยงการขนส่งทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ รวมถึงเส้นทางเชื่อมโยงไปยังกลุ่มประเทศคู่ค้าที่สำคัญ เพื่อให้มีการขนส่งสินค้าได้โดยสะดวกรวดเร็วเป็นการกระจายความเจริญไปสู่ท้องถิ่นและภูมิภาค
ด้านฝั่งทะเลอ่าวไทย มีท่าเรือน้ำลึกสงขลา เป็นท่าเรือหลักและเป็นท่าเรือระหว่างประเทศที่สำคัญ ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อวันที่30 เมษายน 2531 มีขีดความสามารถที่จะรองรับสินค้าทั่วไปได้ประมาณ 600,000 ตันต่อปี และสินค้าประเภทตู้คอนเทนเนอร์ได้ประมาณ 86,000 TEU ขณะที่ปัจจุบันมีสินค้าเข้า - ออก เกินขีดความสามารถที่จะรองรับได้ กล่าวคือ ปี 2548 มีปริมาณสินค้า เข้า - ออก กว่า 1.242 ล้านตันต่อปี เป็นสินค้าคอนเทนเนอร์ 1.027 ล้านตัน และสินค้าทั่วไป 0.215 ล้านตัน
หลังจากนั้นจึงได้มีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม และสำรวจออกแบบเพื่อขยายการก่อสร้างท่าเรือสงขลาและภูเก็ต แต่มีปัญหาเรื่องผลกระทบต่อโบราณสถานใต้น้ำ ตลอดจนที่อยู่อาศัยของประชาชนบริเวณที่จะมีการก่อสร้าง นอกจากนี้ยังพบปัญหาด้านชลศาสตร์ที่มีผลให้อัตราการตกตะกอนในร่องน้ำสูง โครงการจึงชะงักไป
เลือกผุดท่าเรือน้ำลึกที่จะนะ
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรองรับการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับการพัฒนาตามโครงการความร่วมมือเศรษฐกิจ 3 ฝ่าย ไทย - มาเลเซีย - อินโดนีเซีย หรือ IMT -GT รวมทั้งเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของท่าเรือน้ำลึกบริเวณชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตอนล่าง ให้สามารถขนส่งสินค้าได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ เชื่อมโยงกับท่าเรือปากบาราฝั่งทะเลอันดามัน ตลอดจนบริเวณอื่นที่มีศักยภาพ รวมทั้งกลุ่มประเทศมหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดีย จึงได้มีการศึกษาความเหมาะสมทางด้านเศรษฐกิจ วิศวกรรม และสิ่งแวดล้อม เพื่อก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตอนล่าง ขึ้น
"พื้นที่ทางเลือกที่ 1 อยู่ที่บริเวณ หมู่ 3 และหมู่ 4 ต.วัดจันทร์ อ.สทิงพระ จ.สงขลา เป็นพื้นที่สาธารณประโยชน์ อยู่ภายใต้การดูแลรักษาขององค์การบริหารส่วนตำบลวัดจันทร์ ขึ้นกับกระทรวงมหาดไทย มีเนื้อที่ประมาณ 94 ไร่ 2 งาน มีประชาชนอาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงประมาณ 10 ครัวเรือน โดยพื้นที่ส่วนหนึ่งประมาณ 3-4 ไร่ ได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์ขุดเป็นสระน้ำเพื่อทำประปาหมู่บ้าน" ดร.มานะ กล่าวและว่า
สำหรับแนวทางเลือกที่ 2 อยู่บริเวณ ม.7 และ ม.11 ต.นาทับ อ.จะนะ จ.สงขลา เป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ เนื้อที่ 650 ไร่ ใกล้กับคลองนาทับ บริเวณใกล้เคียงมีบ่อสูบน้ำของการประปาส่วนภูมิภาค อาคารศูนย์วิจัยสิ่งแวดล้อมทางทะเล มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ตั้งอยู่ แต่ปัจจุบันอาคารนี้ถูกปล่อยทิ้งร้างไม่ได้มีการใช้ประโยชน์ โดยทางมหาวิทยาลัยฯ ได้มอบให้อยู่ในความดูแลขององค์การบริหารส่วนตำบลนาทับ
ส่วนแนวทางเลือกที่ 3 นั้น อยู่บริเวณ ม.1 บ้านบางสะกอม อ.เทพา จ.สงขลา มีประชาชนอาศัยอยู่ในพื้นที่ประมาณ 200 - 300 หลังคาเรือน จากการสอบถามประชาชนพบว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินสาธารณะและของเอกชน อยู่ติดโรงเรียนจริยธรรมศึกษา สำหรับข้อดีของพื้นที่นี้ คือ มีเขื่อนกันทรายและคลื่นร่องน้ำสะกอม และมีเขาเขียวอยู่ใกล้พื้นที่ ทำให้ช่วยกำบังคลื่นลมได้ และอยู่ใกล้ถนนสายหลัก ประมาณ 1 กิโลเมตร นอกจากนี้พื้นที่นี้ยังอยู่ใกล้โรงแยกก๊าซ จึงมีข้อดีในเรื่องของความสะดวกในการขนส่งเชื่อมโยงงานที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
สำหรับข้อดีข้อเสียของแต่ละพื้นที่ พบว่า บริเวณ ต.วัดจันทร์ อ.สทิงพระ มีข้อดีคือ เป็นที่สาธารณะประหยัดค่าใช้จ่าย เส้นทางเข้า - ออก โครงการสะดวก และมีประชาชนอาศัยอยู่ในพื้นที่น้อย แต่ข้อเสียคือไม่มีเกาะกำบังคลื่นลม มีตะกอนชายฝั่งมาก ต้องมีการถมทะเลและลงทุนสร้างเขื่อนกันทราย
ส่วนที่ ต.นาทับ อ.จะนะ ข้อดีคือเป็นพื้นที่สาธารณะ จึงประหยัดค่าใช้จ่ายในการจัดหาที่ดิน มีระดับน้ำลึกพอสมควร เส้นชั้นความลึก 14 เมตร อยู่ห่างจากฝั่งเพียง 9.2 กิโลเมตร ระดับพื้นดินสูงจากระดับชายหาดประมาณ 3-4 เมตร และอยู่ใกล้เส้นทางสายหลัก แต่ข้อเสียคือมีประชาชนอาศัยอยู่ในพื้นที่จำนวนหนึ่ง ซึ่งทางคณะศึกษาระบุว่าทางองค์การบริหารส่วนตำบลนาทับ ได้ทำความเข้าใจกับชาวบ้านแล้ว ในกรณีที่หากทางราชการต้องการใช้ประโยชน์ที่ดิน ชาวบ้านจะต้องยินยอมย้ายออก ซึ่งได้รับความร่วมมือจากชาวบ้านเป็นอย่างดี
ส่วนพื้นที่ ต.สะกอม อ.เทพา ข้อดีคือมีเขื่อนกันทรายและคลื่นร่องน้ำสะกอม และเขาเขียวช่วยกำบังคลื่นลมที่จะมาจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือและทิศตะวันออกเฉียงใต้ อยู่ใกล้ถนนสายหลัก เป็นที่ดินสาธารณะบางส่วนทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย รวมทั้งอยู่ใกล้ท่อส่งก๊าซธรรมชาติ สะดวกในการใช้เส้นทางคมนาคมร่วมกับการเชื่อมโยงงานที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
แต่พื้นที่ดังกล่าวมีข้อเสียคืออยู่ใกล้เคียงชุมชน โดยมีครัวเรือนตั้งอยู่อย่างหนาแน่น มีกลุ่ม NGOs ที่ต่อต้านการพัฒนาในพื้นที่ ต้องมีการโยกย้ายประชาชน 30 ครัวเรือน ออกจากพื้นที่หากมีการขยายถนนเส้นเดิม จำเป็นต้องมีการทำความเข้าใจกับประชาชนอย่างดีถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดจากโครงการ รวมทั้งพื้นที่ดังกล่าวมีสภาพสิ่งแวดล้อมที่ค่อนข้างสมบูรณ์ทั้งปะการัง และปลาโลมา
"จากการศึกษาระดับความสำคัญและปัจจัยต่างๆ พบว่าพื้นที่บริเวณ ต.นาทับ อ.จะนะ เป็นพื้นที่ที่มีความเหมาะสมที่สุด สำหรับการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตอนล่าง และการพิจารณาเรื่องความสอดคล้องของพื้นที่ทางเลือกกับผังเมืองรวมสรุปว่าพื้นที่ ต.วัดจันทร์ อ.สทิงพระ และ ต.นาทับ อ.จะนะ สามารถทำการก่อสร้างท่าเรือในพื้นที่ได้ ส่วนที่ ต.สะกอม อ.เทพา ตามผังเมืองรวม จ.สงขลา กำหนดให้เป็นพื้นที่สีเขียวมีกรอบและเส้นทแยงสีขาว ซึ่งเป็นที่ดินประเภทอนุรักษ์สภาพแวดล้อมเพื่อการท่องเที่ยว ไม่ส่งเสริมให้มีการปลูกสร้างอาคารเพื่อสร้างชุมชนหรือประโยชน์อย่างอื่น ดังนั้น หากจะมีการก่อสร้างท่าเรือจะต้องคำนึงถึงผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ" ดร.มานะ กล่าวและว่า
ภายในสัปดาห์นี้ จะจัดส่งคณะที่ปรึกษาโครงการฯ ทางด้านสิ่งแวดล้อมลงไปสำรวจพื้นที่หมู่ที่ 7 และ 11 ต.นาทับ อ.จะนะ จ.สงขลา เพื่อศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่อาจจะเกิดขึ้นจากการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก โดยก่อนหน้านี้ได้ส่งคณะสำรวจทางด้านวิศวกรรมแล้ว แต่ยังไม่ได้รับแจ้งผลการสำรวจเบื้องต้นกลับมายังตน ทั้งนี้ ในการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นประชาชน ต.นาทับ เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2550 พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ เห็นด้วยที่จะสร้างท่าเรือน้ำลึกสงขลาแห่งที่ 2 ที่ ต.นาทับ
ยึดท่าเรือสงขลาเป็นแม่แบบ
สำหรับการออกแบบเบื้องต้นของท่าเรือน้ำลึกแห่งนี้ กลุ่มบริษัทที่ปรึกษาโครงการ ได้วางผังท่าเรือเผื่อเลือกไว้ 3 แบบ โดยให้มีการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพของพื้นที่ เพื่อประโยชน์ในการคิดประมาณการค่าก่อสร้าง และเปรียบเทียบข้อดี - ข้อเสีย ของแต่ละรูปแบบ ส่วนการพัฒนาท่าเรือจริงจะดำเนินการเป็นระยะ โดยในระยะแรกจะพัฒนาท่าเรือให้มีขนาดใกล้เคียงกับท่าเรือสงขลาเดิม และจะขยายท่าเรือให้มีขนาดเทียบเท่ากับท่าเรือแหลมฉบัง และท่าเรือปากบารา โดยรูปแบบท่าเรือทั้ง 3 แบบ มีข้อแตกต่างขององค์ประกอบท่าเรือ คือ
แบบที่ 1 จากพื้นที่ชายฝั่งยาวประมาณ 1,000 เมตร ทำการถมกู้พื้นที่ท่าเรือในทะเลให้ยื่นออกจากแนวชายฝั่งไปประมาณ 600 เมตร แต่เว้นช่องว่างตรงกลางไว้ประมาณ 300 เมตร สำหรับให้เรือเข้ามาจอดเทียบท่าได้ 2 ลำ ในแนวตั้งฉากกับฝั่ง พื้นที่ด้านเหนือเป็นท่าเทียบเรือสินค้าตู้ ส่วนด้านทิศใต้เป็นท่าเทียบเรือสินค้าทั่วไป
แบบที่ 2 ทำการถมกู้ทะเลให้ยื่นออกจากแนวชายฝั่งประมาณ 450 เมตร เต็มตลอดความยาวของชายฝั่ง ซึ่งจะได้ท่าเทียบเรือสินค้าตู้ 2 ท่า และท่าเทียบเรือสินค้าทั่วไปอีก 1 ท่า เรือจอดเทียบท่าขนานกับแนวชายฝั่ง
ส่วนแบบที่ 3 จะมีลักษณะคล้ายรูปแบบที่ 2 คือ ให้เรือจอดเทียบท่าขนานกับแนวชายฝั่ง แต่พื้นที่ท่าเทียบเรือถมเป็นเกาะอยู่นอกชายฝั่ง ห่างจากฝั่งประมาณ 400 เมตร และมีแนวสะพานเชื่อมโยงกับแผ่นดินริมชายฝั่ง
ทั้ง 3 รูปแบบของท่าเรือจะต้องมีร่องน้ำทางเดินเรือทางด้านทิศเหนือ ในแนวที่ตั้งฉากกับแนวชายฝั่ง และมีแอ่งกลับลำเรืออยู่หน้าท่าเรือ มีการก่อสร้างเขื่อนกันคลื่นเป็นที่กำบังคลื่นลม ส่วนพื้นที่บนบกบริเวณริมชายฝั่ง จะเป็นที่ตั้งของอาคารสำนักงาน ที่จอดรถ และอาคารประกอบอื่นๆ รวมทั้งพื้นที่สำหรับการก่อสร้างทางรถไฟเชื่อมโยงเข้ามาถึงท่าเรือในอนาคต ซึ่งกลุ่มบริษัทที่ปรึกษาระบุว่าจะพิจารณาคัดเลือกรูปแบบท่าเรือที่มีค่าก่อสร้างต่ำที่สุด และมีผลกระทบต่อชุมชน และสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด และจะมีการนำเสนอรายละเอียดของการศึกษาให้ทราบในการจัดสัมมนาครั้งต่อไป
เอ็นจีโอห่วงสงขลาเหมือนมาบตาพุด
นายบรรจง นะแส ผู้อำนวยการโครงการการจัดการทรัพยากรชายฝั่งทะเลภาคใต้ ออกมาตอบโต้กรณีที่บริษัทที่ปรึกษาโครงการอ้างว่าประชาชนในพื้นที่ ต.นาทับ ส่วนใหญ่เห็นด้วยให้มีการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกในพื้นที่นั้น เป็นข้อมูลที่ทางราชการนำมาอ้างเพียงฝ่ายเดียว และชาวบ้านยังได้ข้อมูลไม่ครบถ้วน เนื่องจากที่ผ่านมาท่าเรือน้ำลึกได้ส่งผลกระทบมากมายต่อสภาพแวดล้อม เช่น กรณีที่สำนักสงฆ์แห่งหนึ่งเดิมมีเนื้อที่ 80 ไร่เศษ แต่ปัจจุบันกลับเหลือเนื้อที่เพียง 40 ไร่ เนื่องจากปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งจากการก่อสร้างท่าเรือสงขลา รวมทั้งปัญหาผลกระทบของเกษตรกรที่เลี้ยงปลาในกระชัง ซึ่งได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก
"รัฐควรให้ข้อมูลต่อประชาชนในเรื่องผลกระทบต่างๆ อย่างรอบด้าน และควรดำเนินการภายใต้รัฐบาลที่มีความเป็นประชาธิปไตย ไม่ควรจะมาแก้ปัญหากันทีหลัง และควรให้หน่วยงานที่มีความเป็นกลางจริงๆ เปิดเวทีให้ชาวบ้านและประชาชนทั้งจังหวัดร่วมกันรับรู้ข้อมูลและแสดงความคิดเห็น เพราะจากข้อมูลระบุว่าจะมีนิคมอุตสาหกรรมปิโตรเคมีด้วย โดยมีทุนจาก TPI ได้เข้ามากว้านซื้อที่ดินไว้แล้ว 800 กว่าไร่ มีการทำ EIA และกำหนดผังนิคมฯ เรียบร้อยแล้ว แสดงให้เห็นภาพว่าสงขลาจะมีสภาพไม่แตกต่างจาก อ.มาบตาพุด จ.ระยอง ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบทั้งจังหวัด ดังนั้นคนใน จ.สงขลา ทั้งหมดควรได้รับทราบข้อมูลและร่วมกันแสดงความคิดเห็น รัฐไม่ควรมาด่วนสรุปว่าประชาชนเห็นด้วย ทั้งๆ ที่ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างรอบด้านและโปร่งใส" นายบรรจง กล่าว