xs
xsm
sm
md
lg

ยกฟ้องม็อบท่อก๊าชหน้า รร.เจบีหาดใหญ่ - ชาวบ้านร้อง “สุรยุทธ” ลากคอ ตร.ระบอบ ”ทักษิณ” มาลงโทษ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ศุนย์ข่าวหาดใหญ่ - ศาลสงขลาสั่งยกฟ้อง 12 แกนนำม็อบท่อก๊าซจะนะ เครือข่ายค้านท่อก๊าซไทย-มาเลย์ หน้าโรงแรมเจบี หาดใหญ่ ระบุเป็นการแสดงออกตามรัฐธรรมนูญ สั่ง สตช.จ่ายเงินชดใช้แก่ 24 ผู้เสียหายรายละ 1 หมื่นบาท ด้านชาวบ้านออกแถลงการ์เรียกร้องรัฐบาล “สุรยุทธ์” ลากคอตำรวจ ในระบอบ”ทักษิณ”มาลงโทษหลังใช้ความรุนแรงสลายม็อบ “เจิมศักดิ์” จี้รัฐบาลตั้ง คกก.สอบสวน “สันต์”

วันนี้ (14 ก.พ.) เวลา 10.00 น.เครือข่ายคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง อ.จะนะ จ.สงขลา ได้เดินขบวนรณรงค์ในตัวเมืองสงขลา โดยมีการปราศรัยและแจกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลภายใต้การนำ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เข้าตรวจสอบและนำตัวตำรวจรัฐบาลทักษิณ มาลงโทษ กรณีใช้อำนาจหน้าที่เกินกว่าละเมิดสิทธิสลายการชุมนุมของกลุ่มคัดค้านฯ ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นจำนวนมาก

ต่อมาเวลา 13.00 น. เครือข่ายคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซียได้ตั้งขบวนเดินจากหาดสมิหลามายังศาลจังหวัดสงขลา เพื่อเข้าฟังคำพิพากษาคดีสลายการชุมนุมบริเวณโรงแรมเจบี หาดใหญ่ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2545 เมื่อครั้งที่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จัดให้มีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อย่างไม่เป็นทางการนอกสถานที่ (ครั้งที่ 5)

การประชุมร่วมกันระหว่างคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลแห่งประเทศไทยกับ ครม.ของรัฐบาลประเทศมาเลเซีย ณ โรงแรมเจบี หาดใหญ่ โดยมีพนักงานอัยการจังหวัดสงขลา เป็นโจทก์และชาวบ้านเครือข่ายคัดค้านฯจำนวน 12 คนเป็นจำเลย ประกอบด้วยนายสุไลมาน หมัดยุโส๊ะ, นางสุไรด๊ะห์ โต๊ะหลี, นายม่าหมูด หมัดหมาน, นายมามุ โต๊ะหยม, นายหะสัน โต๊ะด่าหวี, นายเจ๊ะเด่น อนันทบริพงศ์, นายไพศาล หว่าหลำ, นายยารอนี โต๊ะด่าหวี, นายดลหล๊ะ โส๊ะหวัง, นายหลง เจ๊ะโส๊ะ, นายสุริยา หว่าหลำ และนายพิชิต ชัยมงคล

ในข้อหา “ร่วมกันทำร้ายเจ้าพนักงาน ซึ่งกระทำตามหน้าที่จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย,พกพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ,ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนั้นโดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร ร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่โดยใช้กำลัง ประทุษร้ายโดยมีอาวุธและร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป,

ร่วมกันทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า ทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณะประโยชน์, มั่วสุมกันกระทำให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองโดยมีอาวุธโดยผู้กระทำความผิด เป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้ที่มีหน้าที่สั่งการในการกระทำความผิดนั้น , ไม่เลิกมั่วสุมตามคำสั่งของเจ้าพนักงาน ซึ่งสั่งการตามอำนาจที่มีกฎหมายให้ไว้” คดีดำที่ 1044/2547

โดยมีทนายความผู้ช่วยเหลือคดีจากสภาทนายความ ได้แก่นายแสงชัน รัตนเสรีวงษ์, นายรัษา มนูรัษฎา, นางสาวสรัตนมณี พลกล้า, นายอภิชาติ จับใจ, นายปฏิมา สุระกุล, นางสาวประภัสสร ว่องไว นายธีรพันธุ์ พันธุ์คีรี พร้อมด้วยนายประกัน ซึ่งเป็นนักวิชาการและข้าราชการมาศาล

บรรยากาศภายในห้องพิจารณาแน่นขนัดเนื่องจากกลุ่มคัดค้านฯเดินทางมาร่วมฟังคำพิพากษาร่วม 300 คน จนศาลจังหวัดสงขลาต้องติดตั้งโทรทัศน์วงจรปิดไว้ด้านล่างศาล

จนกระทั่งเวลา 13.30 น.นางสาวสุดาวรรณ ฤกษ์เสถียร ผู้พิพากษาออกนั่งบัลลังก์ห้อง 209 อ่านพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสิบสองคน

พิเคราะห์แล้วเห็นว่า "โครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย เป็นโครงการขนาดใหญ่ทางด้านพลังงานที่อาจมีผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับประชาชน ชุมชนท้องถิ่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 กำหนดให้ประชาชน ชุมชนและองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นต้องร่วมรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ร่วมเสนอความเห็น ร่วมวางแผน ร่วมกระบวนการพิจารณาและเข้าร่วมในกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนตามที่กฎหมายบัญญัติ ประชาชนหรือจำเลย ย่อมมีสิทธิในการนำเสนอความคิดเห็นต่อโครงการดังกล่าว

รัฐบาลแห่งประเทศไทยย่อมตระหนักถึงบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญจึงได้มีการจัดให้มีการประชาพิจารณ์โดยอาศัยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะโดยวิธีประชาพิจารณ์พุทธศักราช 2539 ขึ้นจำนวน 2 ครั้ง แต่มีประชาชนที่ไม่เห็นด้วยร่วมชุมนุมแสดงพลังมวลชนคัดค้านโครงการดังกล่าว

หลังจากนั้นปรากฏว่า รัฐบาลยังคงดำเนินการตามโครงการต่อไป ประชาชนย่อมมีสิทธิร่วมชุมนุมกันแสดงพลังมวลชนคัดค้านโครงการดังกล่าวภายในขอบเขตแห่งกฎหมายเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนการดำเนินโครงการนี้ได้"

กรณีการแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีแดง “โดยมีเจตนาและวัตถุประสงค์ร่วมกันเพื่อแสดงพลังมวลชนคัดค้านโครงการดังกล่าวและยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรีหือรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยตามขั้นตอนที่ได้ตกลงกันไว้ต่อไป จึงเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องตามรัฐธรรมนูญของประชาชนหมู่มากทั้งชายหญิงและคนชรา ย่อมเป็นธรรมดาที่กลุ่มคัดค้านต้องตระเตรียมวางแผนการจัดเตรียมเครื่องแต่งกาย เครื่องมือเครื่องใช้ อำนวยความสะดวก เครื่องขยายเสียง และสัญลักษณ์ประจำกลุ่มผู้คัดค้านให้เป็นไปในลักษณะเดียวกัน หรือใกล้เคียงกันส่อแสดงให้เห็นเป็นแนวทางว่ากลุ่มผู้คัดค้านมีเจตนาและวัตถุประสงค์ร่วมกันประกอบกับเพื่อประโยชน์และความสะดวกแก่การควบคุมดูแลซึ่งกันและกัน สามารถแยกแยะออกจากกลุ่มพลังมวลชนอื่นๆ”

การที่กลุ่มผู้คัดค้านร่วมชุมนุมกันเพื่อแสดงพลังมวลชนดังกล่าว จึงเป็นการร่วมชุมนุมกันโดยชอบ และก่อนเกิดเหตุการณ์ผลักดันและสลายการชุมนุมก่อนหน้านั้นผู้ชุมนุมไม่มีทีท่าว่าจะขับรถยนต์ฝ่าแผงเหล็กกั้นตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจให้การ และการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจให้การว่ามีสายลับรายงานข่าวว่าผู้ชุมนุมจะมีทำการยึดโรงแรมเจบี หาดใหญ่ และขัดขวางการประชุมครม.สัญจร เป็นเพียงรายงานข่าวที่เลื่อนลอย พฤติกรรมบ่งชัดว่า กลุ่มคัดค้านฯมีเจตนาแสดงพลังเรียกร้องให้ทบทวนโครงการหาได้มีการวางแผนตามที่กล่าวอ้าง และการที่ พ.ต.อ.สุรชัย สืบสุข ให้การวางถูกจำเลยใช้มีดฟันที่นิ้วและใช้ไม้คันธงแทงที่หน้าอกนั้น ซึ่งยืนอยู่ระหว่างผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในสถานการณ์เช่นนั้นจะไม่ทันเห็นจำเลยที่ทำร้ายร่างกายได้เลย และไม่เห็นจำเลยถืออาวุธในมือตามที่ พ.ต.อ.สุรชัยกล่าวอ้าง จึงพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสิบสอง”

ก่อนหน้านี้เมื่อ 30 ธันวาคม 2547 ศาลจังหวัดสงขลาได้มีคำสั่งพิพากษายกฟ้องจำเลยชุดแรก 20 คนไปแล้วประกอบด้วยเจ้าหน้าที่องค์การพัฒนาเอกชน 12 คน และชาวบ้านเครือข่ายคัดค้านท่อก๊าซฯ 8 คน

และคำพิพากษาศาลปกครองจังหวัดสงขลา กรณีที่กลุ่มคัดค้านฯฟ้องร้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย และจังหวัดสงขลาคดีหมายเลขดำที่ 454 /2546 คดีหมายเลขแดงที่ 51/2546 เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2549 การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจำกัดเสรีภาพในการชุมนุมดังกล่าว ด้วยการสลายการชุมนุมโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญตามที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้น จึงถือได้ว่าเป็นการกระทำละเมิดที่มีความร้ายแรง เนื่องจากเป็นการกระทำไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เห็นสมควรกำหนดให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ดังกล่าวชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ถึงผู้ฟ้องคดีที่ 24 เป็นเงินคนละ 10,000 บาท

นายแสงชัย รัตนเสรีวงษ์ จากสภาทนายความ กล่าวว่า กรณีนี้เป็นกรณีตัวอย่างที่รัฐบาลต้องแก้ไขปัญหาเจ้าหน้าที่ตำรวจและรัฐบาลทักษิณละเมิดสิทธิชาวบ้าน เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจสร้างหลักฐานเท็จ รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ต้องสอบสวนและดำเนินการกับเจ้าหน้าที่เหล่านี้ ซึ่งกรณีคดีนี้การสลายการชุมนุมกลุ่มคัดค้านฯ เป็นรูปธรรมที่รัฐบาลทักษิณละเมิดสิทธิของประชาชนคนไทย ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ต้องตั้งคณะกรรมการตรวจสอบความผิดของเจ้าหน้าที่ตำรวจและรัฐบาลทักษิณ

นายบุญช่วย ทองศรี กรรมการคุรุสภา และประธานสมัชชาเครือข่ายสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา ในฐานะนายประกัน กล่าวว่า ตนไม่กลัวที่จะรับเข้ามาประกันจำเลยในคดีนี้เนื่องจากชาวบ้านทำในสิ่งที่ถูกต้องปกป้องบ้านเกิดและสิ่งแวดล้อม จากการเข้าร่วมฟังคำพิพากษาในวันนี้ด้วยรู้สึกว่า ประการแรกตนยังรู้สึกว่ายังมีความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมได้อยู่บ้าง

สองคดีนี้เป็นปรากฏการณ์เป็นครั้งของการใช้อำนาจที่ไม่ชอบธรรมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สะท้อนถึงปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่กระบวนการของรัฐและเจ้าหน้าที่ตำรวจบางนายที่ยังใช้อำนาจหน้าที่รังแกประชาชนเหมือนเช่นที่เกิดขึ้นกับคดีนี้ ซึ่งเป็นโจทย์ย้อนกลับไปสู่รัฐบาลชุดนี้ที่จะคลี่คลายพฤติกรรมเจ้าหน้าที่ล่วงละเมิดสิทธิที่มีทั่วไป และสามคำพิพากษาวันนี้เป็นชัยชนะขั้นหนึ่งของชาวบ้านที่ต้องเรียนรู้ประสบการณ์พลังของประชาชน

ดร.เจิ่มศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตประธานกรรมาธิการการมีส่วนร่วมของประชาชนวุฒิสภา หนึ่ง ในพยานฝ่ายจำเลยในคดีนี้กล่าว่า รู้สึกดีใจกับประชาชนกลุ่มคัดค้านฯที่ถูกกลั่นแกล้ง ถูกทำร้าย และถูกปิดกั้นสิทธิเสรีภาพการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการไม่ชอบในการสอบสวนของกรรมาธิการระบุชัดตรงกับคำพิพากษา ประชาชนมีสิทธิชุมนุม เหตุการณ์เกิดจากเจ้าหน้าที่ตำรวจรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา เป็นการกระทำที่ไม่ชอบ ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนหนึ่ง พล.ต.ต.สัณฐาน ชยานนท์ รายงานเท็จต่อ พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ ผบ.ตร.ในขณะนั้น

สอง พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ ผบ.ตร.ผู้ออกคำสั่งสลายการชุมนุมโดยไม่ตรวจสอบจ้อเท็จจริงก่อน สามนายวันมูฮัมหมัดนอร์ มะทา รัฐมนตีกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น ซึ่งให้การต่อคณะกรรมาธิการว่าตนพร้อมรับผิดชอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนั้น นายวันมูฮัมหมัดนอร์ มะทา ต้องรับผิดชอบอย่างน้อยที่สุดเบื้องต้นต้องออกมาแสดงการขอโทษต่อประชาชนกลุ่มคัดค้านฯและลงโทษขั้นอื่นต่อไปและสุดท้ายรัฐบาลชุดนี้ต้องสอบสวนและลงโทษเจ้าหน้าที่ที่กระทำผิด

นายวสันต์ พานิช คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผู้ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐในการสลายการชุมนุมกรณี 20 ธันวา 45 กล่าวว่า ผลจากการสอบสวนทางคณะกรรมการสิทธิฯมีข้อเสนอต่อรัฐบาลทักษิณ ชินวัตรให้ถอนฟ้องตั้งแต่แรกแล้ว และให้ชดใช้ค่าเสียหายกับประชาชนที่ถูกทำร้ายร่างกายและทำลายทรัพย์สินแต่รัฐบาลทักษิณ และพนักงานอัยการไม่ยอมถอนฟ้อง ซึ่งสุดท้ายจำเลยในคดีนี้ทั้งสองชุดศาลมีคำสั่งพิพากษายกฟ้อง ซึ่งเป็นการยืนยันสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการชุมนุมตากฎหมายรัฐธรรมนูญ 2540
กำลังโหลดความคิดเห็น