ศูนย์ข่าวภูเก็ต - กรมขนส่งทางน้ำและพาณิชย์นาวี ใช้งบอีก 300 ล้านบาท ขยายท่าเรือยอชต์ที่อ่าวฉลอง เพื่อรับเรือเพิ่มอีก 200 ลำ เฟสแรกเริ่มแล้วใช้งบกว่า 70 ล้านบาท คาดเสร็จ ก.ย.พร้อมเตรียมแผนของบก่อสร้างเพิ่มเติมในปี 2551 อีกรอบ หลังจากชวดงบปี 2550 เนื่องจากการออกแบบยังไม่เสร็จ
นางวิลาวรรณ ศิริงามเพ็ญ ผู้อำนวยการกองวิชาการและแผนงาน กรมขนส่งทางน้ำและพาณิชย์นาวี เปิดเผยถึงความคืบหน้าการพัฒนาท่าเรืออ่าวฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต เป็นมารีน่าสำหรับจอดเรือยอชต์ ว่า ภายหลังจากที่กรมขนส่งทางน้ำและพาณิชย์นาวี ได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาสำรวจศึกษาความเหมาะสมของชายฝั่งอ่าวไทยและชายฝั่งอันดามัน ในการก่อสร้างท่าเทียบเรือยอชต์ หรือมารีน่า ปรากฏว่า ผลการศึกษาพบว่า พื้นที่อ่าวไทยและอันดามัน มีความเหมาะสม 4 พื้นที่ ประกอบด้วย อ่าวฉลอง จ.ภูเก็ต เกาะยาว จ.พังงา สุราษฎร์ธานี และพัทยา จ.ชลบุรี
ในส่วนของจังหวัดภูเก็ต กรมขนส่งทางน้ำและพาณิชย์นาวี ได้จัดสรรงบประมาณจำนวน 70 ล้านบาท ในการพัฒนาท่าเทียบเรืออ่าวฉลอง เป็นที่จอดเรือยอชต์เฟสแรกไปแล้ว จำนวน 40 ลำ เพราะถือว่าเป็นพื้นที่ที่มีความจำเป็นอันดับต้นๆ โดยแบ่งเป็นเรือขนาด 20 เมตร 4 ลำ เรือขนาด 30-50 เมตร 2 ลำ และที่เหลือเป็นเรือขนาด 12-16 เมตร โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างในลักษณะของทุ่นลอยน้ำ คาดว่า จะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ในเดือนกันยายน 2550
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการท่าจอดเรือยอชต์ในภูเก็ตที่เพิ่มมากขึ้นทุกปี กรมขนส่งทางน้ำและพาณิชย์นาวี จึงได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาศึกษาออกแบบขยายการพัฒนาท่าจอดเรือยอชต์ที่ท่าเรืออ่าวฉลองในเฟส 2 เพิ่มเติมอีก 200 ลำ เนื่องจากความต้องการที่จอดเรือยอชต์ในภูเก็ตมีอย่างต่อเนื่อง และเข้ามามากในช่วงปลายปีต่อเนื่องต้นปี ทำให้ที่จอดเรือที่มีอยู่ไม่เพียงพอกับความต้องการ โดยเฉพาะหลังปี 2548 จำนวนเรือยอชต์ที่เข้ามาภูเก็ตเพิ่มสูงขึ้นมาก และอยู่ในภูเก็ตนานเฉลี่ยลำละ 60 วัน ซึ่งในแต่ละปีจะเข้ามาประมาณ 1,000-1,500 ลำ
ในส่วนของเฟส 2 ที่จะขยายเพิ่มจากเฟส 1 อีก 200 ลำ จะเป็นทุ่นลอยน้ำเช่นเดียวกับเฟส 1 มีอาคารที่ให้บริการแบบเบ็ดเสร็จของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ขนส่งทางน้ำ ศุลกากร และหน่วยงานอื่นๆ แนวกันคลื่นลม 2 ช่วง ซึ่งทั้งหมดใช้งบประมาณ 300 ล้านบาท ส่วนสถานที่จะอยู่ในบริเวณเดียวกับเฟส 1 หรือไม่นั้น ยังไม่สามารถที่จะกำหนดได้ในขณะนี้ จะต้องให้บริษัทที่ปรึกษาลงพื้นที่สำรวจรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง
“การพัฒนาท่าเรืออ่าวฉลอง เป็นที่จอดเรือยอชต์ กรมขนส่งทางน้ำฯ ไม่ต้องการที่จะทำเพื่อให้เป็นการแข่งขันกับมารีน่าของเอกชน แต่ทำเพื่อให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ และคาดว่า ภายหลังก่อสร้างแล้วเสร็จ คงจะต้องส่งมอบให้อบจ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่เป็นผู้บริหารจัดการต่อไป”
สำหรับการก่อสร้างท่าเทียบเรือยอชต์เฟส 2 ที่ท่าเรืออ่าวฉลอง ภายหลังจากที่ศึกษาออกแบบแล้วเสร็จจะต้องมีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม และรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่ และในส่วนของงบประมาณที่จะมาดำเนินการประมาณ 300 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2550 กรมขนส่งทางน้ำฯได้ขอไปแล้ว แต่งบดังกล่าวตกไปเนื่องจากยังศึกษาออกแบบไม่สมบูรณ์ ประกอบกับงบประมาณมีจำกัด
ในปีงบประมาณ 2551 กรมขนส่งทางน้ำฯจะเสนอของบประมาณอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งคาดว่า ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะเป็นโครงการที่มประโยชน์และเป็นการส่งเสริมให้ภูเก็ตเป็นศูนย์การในการท่องเที่ยวทางทะเลอีกด้วย
นางวิลาวรรณ ยังกล่าวถึงการก่อสร้างท่าเทียบเรือยอชต์ในพื้นที่อื่นๆ ที่ได้ศึกษา ว่า ในส่วนของจังหวัดพังงา ได้เลือกที่เกาะยาวเป็นสถานที่ก่อสร้าง โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการศึกษาเปรียบเทียบเรื่องความเหมาะสมของสถานที่ ประมาณ 3-4 แห่ง ประกอบด้วย บริเวณหาดป่าทราย อ่าวชายทะเล บริเวณช่องเกาะยาวและอ่าวชายทะเลบริเวณเกาะยาวน้อย ซึ่งที่เกาะยาวนั้นจะเป็นท่าเรือยอชต์ขนาดเล็กไม่เกิน 40 ลำ
เช่นเดียวกับที่สุราษฎร์ธานีที่กำลังศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่อยู่เช่นกัน เช่น บริเวณอ่าวบางรัก บ้านบางขุด อ่าวหินลาด บ้านท้องโตนด อ่าวนางจืด และอ่าวพังงา ส่วนที่ชลบุรี ได้สถานที่แล้วที่แหลมบารีไฮ ที่พัทยาใต้ แต่มีปัญหาในเรื่องของการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม ที่ติดประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งประกาศของเมืองพัทยาเองด้วย