xs
xsm
sm
md
lg

ไฟใต้ ‘2549’ ปีแห่งการสูญเสียทรัพยากรด้านการศึกษา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ศูนย์ข่าวหาดใหญ่...รายงาน
 
ตลอดระยะเวลาปี 2549 ที่ผ่านมาได้เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ชนิดวันต่อวัน โดยเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่เหตุการณ์ปล้นปืนเมื่อวันที่ 4 ม.ค.47 ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตและบาดเจ็บไปแล้วเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะปี 2549 นี้อาจถือได้ว่าเป็นปีที่คนร้ายมุ่งทำร้ายครู ซึ่งเป็นทรัพยากรด้านการศึกษาของชาติมากที่สุดก็ว่าได้ โดยมีเหตุการณ์ที่น่าสนใจ ดังนี้

"ครูจูหลิง”กลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา

วันที่ 19 พ.ค.49 ครูจุ้ย หรือ น.ส.จูหลิง ปงกันมูล ครูสาวชาว จ.เชียงราย พร้อมเพื่อนครู น.ส.สินีนาฏ ถาวรสุข ซึ่งสอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนบ้านกูจิงลือปะ ได้ถูกชาวบ้านกูจิงลือปะ หมู่ 4 ต.เฉลิม อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ที่ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็กกว่า 300 คน บุกจับตัวไปขณะกำลังสอนหนังสือ โดยชาวบ้านได้เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ปล่อยตัวผู้ต้องสงสัยซุ่มยิงถล่มเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยนาวิกโยธิน ที่ถูกเจ้าหน้าที่บุกควบคุมตัวไปทำการสอบสวนก่อนหน้านี้

ระหว่างที่เจ้าหน้าที่กำลังเจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุม ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เมื่อครูจูหลิง และครูสินีนาฏ ถูกชาวบ้านไม่ต่ำกว่า 10 คนรุมทำร้ายร่างกายอย่างทารุณ จนเป็นเหตุให้ครูจูหลิง ได้รับบาดเจ็บสาหัส สมองได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง และถูกนำตัวส่งไปรับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยเป็นคนไข้ในพระราชินูปถัมภ์แห่งองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงห่วงใยอาการป่วยของครูจูหลิง โดยให้ทีมแพทย์ถวายรายงานการรักษาให้ทรงทราบทุกวัน พร้อมกับได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ช่วยเหลือครอบครัวครูจูหลิง ด้วย

ตลอดระยะเวลาที่พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ครูจูหลิง ได้รับกำลังใจมากมายจากทุกภาคส่วน แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เธอ ซึ่งอยู่ในสภาพเจ้าหญิงนิทราฟื้นขึ้นมามีสภาพปกติดังเดิมได้ ย่างเข้าเดือนที่ 8 ทีมแพทย์รายงานว่าสมองของครูจูหลิง ไม่สามารถทำงานได้ 100% และหมดโอกาสที่จะฟื้นกลับมามีชีวิตตามปกติ มาถึงวันนี้เป็นระยะเวลาร่วม 8 เดือนที่พ่อและแม่ของครูจูหลิง ยังคงรอปาฏิหาริย์เกิดขึ้น แม้จะเป็นความหวังที่ริบหรี่ก็ตาม

"ประสาน มากชู"เป็นครูจนสิ้นลม

วันที่ 24 ก.ค.49 ขณะนักเรียนหญิง-ชายกว่า 30 คนในชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านบือแรง ในพื้นที่ ม.1 ต.ลาโล๊ะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส กำลังเรียนวิชาภาษาไทยกันอย่างสนุกสนานจากครูประสาน มากชู วัย 48 ปี ข้าราชการครูระดับ 7 ที่มีภูมิลำเนาอยู่ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง

ครูประสาน ซึ่งเป็นที่คุ้นเคยของชาวบ้านลาโล๊ะ เนื่องจากสอนในโรงเรียนแห่งนี้มากว่า 20 ปี หรือนับครึ่งค่อนชีวิต พร้อมกับภรรยาคู่ชีวิตคือ “ปัญญาพร มากชู” อายุ 45 ปี ซึ่งเป็นครูสอนอยู่โรงเรียนเดียวกัน

ขณะการเรียนการสอนดำเนินไปอย่างปกติ โดยไม่ระแวดระวังภัย บุคคลไม่ได้รับเชิญก็ปรากฏขึ้นหน้าห้องเรียน ครูประสานไม่มีโอกาสแม้จะซักถามถึงเหตุธุระของบุคคลนั้น ปืน .38 ทูตมรณะ ถูกดึงออกมาจากแฟ้มเอกสารในมือ พร้อมกับลั่นไกกระสุน 2 นัดพุ่งใส่ลำตัวของครูประสานจนล้มลงกองกับพื้นท่ามกลางความตกตะลึงและหวาดกลัวอย่างสุดขีดของนักเรียน ชายไม่ทราบชื่อคนนั้นก็เข้ามาจ่อยิงที่ศีรษะ ครูประสานเสียชีวิตทันที ก่อนที่คนร้ายจะวิ่งหลบหนีออกไป ทิ้งไว้แต่เสียงกรีดร้อง เสียงร้องห่มร้องไห้กับหยดน้ำตาแห่งความหวาดกลัวของเด็กนักเรียน

ระเบิดแบงก์ 22 จุดทั่วเมืองยะลา

วันที่ 31 ส.ค.49 ซึ่งเป็นวันที่ทุกคนใจจดใจจ่อกับเงินเดือนที่จะได้รับในช่วงสิ้นเดือน แต่กลับเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นอีกครั้งสำหรับชาว จ.ยะลา และชาวไทยทั่วประเทศ เมื่อคนร้ายได้โทรศัพท์เข้าไปแจ้งยังธนาคารแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่กลางเมืองยะลา โดยระบุว่าได้มีการวางระเบิดไว้แล้วหากไม่อยากตายให้รีบหนีออกมา จากนั้นไม่นานจึงเกิดระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ตรวจสอบภายหลังพบว่าเหตุระเบิดในลักษณะเดียวกันนี้เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน รวม 22 แห่งในพื้นที่ 5 อำเภอของ จ.ยะลา มีผู้เสียชีวิต 1 คน และบาดเจ็บจำนวนมาก

หลังเกิดระเบิด เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุและนำหลักฐานจากทีวีวงจรปิดในธนาคารมาตรวจสอบพบผู้ต้องหานำระเบิดใส่แฟ้มขนาดใหญ่มาวางไว้ในธนาคาร ก่อนกดโทรศัพท์มือถือจุดชนวนระเบิด และจากการตรวจสอบหลักฐานเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้ 3 คนโดยเจ้าหน้าที่ระบุว่าการก่อเหตุวางระเบิดธนาคารพร้อมๆ กัน 22 จุดในครั้งนี้ คนร้ายต้องการสร้างผลกระเทือนให้เกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจ ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยไม่ได้หวังเอาชีวิตเจ้าหน้าที่ หรือประชาชน เนื่องจากมีการโทร.แจ้งก่อนที่จะกดจุดชนวนระเบิด

วินาศกรรมหาดใหญ่สูญพันล้าน

วันที่ 16 ก.ย.49 เวลา 21.00 น.ได้เกิดระเบิดขึ้นหลายจุดในย่านถนนเสน่หานุสรณ์ ตัดถนนธรรมนูญวิถี ถนนนิพัทธ์อุทิศ 1-2-3 ใจกลางเมืองหาดใหญ่ ความรุนแรงของระเบิดทำให้มีผู้เสียชีวิตทันที 2 ราย เสียชีวิตที่โรงพยาบาลอีก 2 ราย และบาดเจ็บอีกจำนวนมาก

หลังเกิดเหตุระเบิดบรรยากาศการค้าขาย และการท่องเที่ยวในตัวเมืองหาดใหญ่ต้องซบเซาเงียบเหงาลงทันที จากเดิมที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากจะเดินทางเข้ามาเที่ยวในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยประมาณร้อยละ 70 เป็นนักท่องเที่ยวคนไทย ที่เหลืออีกประมาณร้อยละ 30 เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวมาเลเซีย รองลงมาเป็นนักท่องเที่ยวสิงคโปร์ ได้หดหายไปทันที

นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวจำนวนมาก ซึ่งพักอยู่ตามโรงแรมต่างๆ ในหาดใหญ่ ประมาณร้อยละ 80 ของจำนวนห้องพักทั้งหมดที่มีอยู่เกือบ 1 หมื่นห้องของโรงแรมจำนวน 113 แห่งในช่วงก่อนเกิดเหตุระเบิดต่างทยอยเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้น ส่วนห้องพักโรงแรมในหาดใหญ่ที่มีนักท่องเที่ยวจองไว้ล่วงหน้าก็ถูกยกเลิกจนหมด ส่งผลให้ภาคธุรกิจการท่องเที่ยวของหาดใหญ่ในครั้งนี้สูญเสียนับพันล้านบาท

เหตุระเบิดครั้งนี้เกิดขึ้นในขณะที่คนหาดใหญ่ยังขวัญผวากับเหตุระเบิดเมื่อ 3 เม.ย.49

ฟื้น ศอ.บต.-พตท.43 ดับไฟใต้

หลังการเข้ามายึดอำนาจรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) และมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่โดย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้มีการประกาศให้การแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นวาระแห่งชาติ

โดยวันที่ 17 ต.ค.49 ที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งมี พล.อ.สุรยุทธ์ นั่งหัวโต๊ะเป็นประธานฯ และ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก พร้อมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รวมถึงผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ และหน่วยงานด้านความมั่นคงได้ร่วมหารือและมีมติให้รื้อฟื้นศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และกองกำลังผสมพลเรือนตำรวจทหารที่ 43 (พตท.43) ขึ้นมาแก้ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยตั้งนายพระนาย สุวรรณรัฐ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี เป็นผู้อำนวยการ ศอ.บต. ซึ่งจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่เต็มรูปแบบตั้งแต่ 1 ม.ค.50 ที่จะถึงนี้

ศอ.บต.ยุดปรับโฉมใหม่นี้ จะเป็นหน่วยในการให้ความยุติธรรม สร้างความสมานฉันท์และการพัฒนา ซึ่งจะอยู่ในความรับผิดชอบและมีผู้อำนวยการมาจากกระทรวงมหาดไทย รวมถึงเปิดให้ภาคประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย โดยมีพื้นที่รับผิดชอบครอบคลุมทั้ง 4 จังหวัด คือ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสตูล รวมถึงอีก 4 อำเภอของ จ.สงขลาคือ สะบ้าย้อย เทพา นาทวี และจะนะ

”สุรยุทธ์”ขอโทษแทนรัฐบาลแม้ว

หลังการเข้ามานำรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาหลายด้านที่หมักหมมจากรัฐบาลชุดที่แล้ว นอกเหนือจากการรื้อฟื้น ศอ.บต.และ พตท.43 แล้ว พล.อ.สุรยุทธ์ ยังได้เดินทางลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างต่อเนื่องเพื่อติดตามการแก้ปัญหา โดยในวันที่ 2 พ.ย.49 สิ่งที่คนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อยากได้ยินจากผู้นำรัฐบาลชุดที่ผ่านมาแต่ไม่เคยได้รับความสนใจ แต่คำพูดนี้ก็ออกมาจากปากลูกผู้ชายอย่าง พล.อ.สุรยุทธ์ ต่อหน้าผู้นำทางศาสนาและผู้นำชุมชนระดับต่างๆ ในพื้นที่

“ผมขอโทษแทนรัฐบาลชุดที่แล้ว และขอโทษแทนรัฐบาลนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นเพราะรัฐบาลชุดที่แล้ว ผมมาขอโทษแทน ผมอยากยื่นมือออกไปแล้วบอกว่าผมเป็นคนผิด ผมขอกล่าวคำขอโทษด้วยใจจริง”

ทันทีที่คำขอโทษจบลง มีเสียงปรบมือชื่นชมตามมาอย่างมากมาย แม้แต่รัฐมนตรีต่างประเทศของมาเลเซีย นายไซอิด ฮามิด อัลบาร์ ยังแสดงความชื่นชม พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีไทย ที่กล่าวขอโทษชาวมุสลิมในภาคใต้ สำหรับนโยบายที่แข็งกร้าวของรัฐบาลชุดก่อนจนทำให้มีผู้เสียชีวิต 85 คนจากโศกนาฏกรรมที่ตากใบ และแสดงความเห็นว่าความอ่อนน้อมของ พล.อ.สุรยุทธ์ จะช่วยส่งเสริมให้เกิดสันติภาพมาสู่ภาคใต้ได้ ส่วนนักวิชาการในพื้นที่มองว่านี่คือการเปิดเกมรุกทางการเมืองที่ย่อมจะส่งผลดีในต่อสภาพจิตใจของประชาชน โดยเฉพาะผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ ‘กรือเซะ’และ ‘ตากใบ’

แต่คำ “ขอโทษ” ของ พล.อ.สุรยุทธ์ ก็ยังไม่เป็นผล เหตุการณ์ความไม่สงบยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง

ระเบิดโชว์รูมรถยนต์ 8 แห่งที่ยะลา

เช้าวันที่ 9 พ.ย.49 เกิดเหตุระเบิดโชว์รูมรถยนต์ในเขตเทศบาลนครยะลา พร้อมกัน 8 จุด โดยจุดแรกที่บริษัทปัตตานีเทรดดิ้ง ซึ่งเป็นโชว์รูมของบริษัทอีซูซุ ทำให้กระจกอาคารแตก รถยนต์ได้รับความเสียหาย จุดที่ 2 โชว์รูมบริษัทนิสสันยะลา รถยนต์เสียหายเช่นกัน จุดที่ 3 บริษัทศรีบุตรคอปอเรชั่น โชว์รูมของบริษัทมาสด้า จุดที่ 4 หจก.น่ำฮั่วจั่นยะลา ตัวแทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้า จุดที่ 5 หจก.แสงเจริญนาประดู่ ตัวแทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์ซูซุกิ จุดที่ 6 โชว์รูมจำหน่ายรถเชฟโรเลต ของบริษัทมูรานี จำกัด รถยนต์เสียหาย 3 คัน จุดที่ 7 หจก.เอวีเอสออโตโมบิล จำหน่ายรถยนต์ฟอร์ด และจุดที่ 8 โชว์รูมของบริษัทฮอนด้ายะลา

เหตุดังกล่าวมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 9 ราย เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบพบว่าคนร้ายเป็นชายอายุประมาณ 20-30 ปี ทำทีเข้ามาสอบถามราคารถยนต์ และลอบวางระเบิดภายในรถยนต์ก่อนจะหลบหนีไป ซึ่งโชว์รูมบางแห่งก่อนเกิดเหตุมีโทรศัพท์ของคนร้ายแจ้งเตือนให้พนักงานรีบออกจากสถานที่ด้วย

สำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้ เกิดขึ้นในลักษณะคล้ายกับการลอบวางระเบิดธนาคารพาณิชย์หลายแห่งในเมืองยะลา เมื่อวันที่ 31 ส.ค.49

ไทยพุทธยะลาผวาอพยพอยู่วัด

วันที่ 9 พ.ย.49 เช่นกัน นายการันต์ ศุภกิจวิเลขการ รองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา และคณะ เดินทางไปที่วัดนิโรธสังฆาราม อ.เมือง จ.ยะลา เพื่อให้การช่วยเหลือชาวไทยพุทธจากบ้านสันติ 1 ต.เขื่อนบางลาง อ.บันนังสตา และบ้านสันติ 2 ต.แม่หวาด อ.ธารโต จำนวน 56 ครอบครัวกว่า 160 คนที่พากันอพยพมาอาศัยอยู่ที่วัด เนื่องจากไม่มั่นใจในความปลอดภัยต่อสถานการณ์ความไม่สงบ หลังจากที่หลายคนถูกคนร้ายลอบยิงและเผาบ้านเรือนจนได้รับความเสียหายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้สร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้านจนไม่สามารถที่จะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านอีกต่อไป

ต่อมา พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานท์ นายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เดินทางไปรับฟังปัญหา พร้อมกับรับปากว่าจะให้การช่วยเหลือและดูแลความปลอดภัยให้กับผู้อพยพยอย่างเต็มที่....จนกว่า 1 เดือนผ่านไปการช่วยเหลือก็ไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร

กระทั่งวันที่ 24 ธ.ค.49 ตัวแทนชาวได้ออกมาร่วมกันแถลงข่าวเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือผู้อพยพที่มาอาศัยอยู่ที่วัดกว่า 1 เดือนแล้ว แต่การช่วยเหลือจากรัฐบาลกลับยังไม่มีความคืบหน้า โดยยืน 3 ข้อเรียกร้อง คือ 1.ให้รัฐบาลรับขายฝากที่ดินของผู้อพยพโดยไม่มีดอกเบี้ย เพื่อเป็นทุนในการดำเนินชีวิตจนกว่าเหตุการณ์จะสงบจึงจะกลับเข้าไปอาศัยยังถิ่นฐานเดิม 2.ให้รัฐบาลจัดหาที่ดินให้กับผู้อพยพใหม่ที่อยู่นอกเขตพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 3.หากรัฐบาลไม่สามารถทำตามข้อเรียกร้องตามสองข้อดังกล่าวได้ ชาวบ้านก็ขอกู้เงินจากรัฐบาลเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายและเป็นทุนในการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน

ทั้งนี้ ชาวบ้านจะรอคำตอบจากรัฐบาลภายใน 15 วันนับจากวันที่ 24 ธ.ค.49 หากไม่ได้คำตอบ ชาวบ้านทั้งหมด 161 คนจาก 56 ครอบครัว จะเดินทางกรุงเทพฯ เพื่อปักหลักชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยที่หน้าทำเนียบรัฐบาล
สภาพรถยนต์ของโชว์รูมแห่งหนึ่งหลังจากโดนคนร้ายลอบวางระเบิดทั้งหมดพร้อมกัน 8 แห่ง เมื่อช่วงเช้าวันที่ 9 พ.ย.49
ว่าที่ ผอ.โรงเรียนหญิงถูกยิงดับ

วันที่ 15 พ.ย.49 ว่าที่ ร.ต.กุลธิดา อินจำปา ครูโรงเรียนบ้านลาเมาะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตอีก 1 ราย ขณะที่กำลังขับขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้านพักหลังจากเสร็จจากงานสอนหนังสือเด็กที่โรงเรียนบ้านลาเมาะ การเสียชีวิตของว่าที่ ร.ต.กุลธิกา ครั้งนี้ได้สร้างความโศกเศร้าให้กับครอบครัว เพื่อนครู และเด็กนักเรียนอย่างมาก ทำให้โรงเรียนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องประกาศหยุดเรียนโดยไม่มีกำหนดเกือบทุกพื้นที่ ทั้งนี้ เพราะว่าที่ ร.ต.กุลธิดา กำลังจะได้เลื่อนขึ้นไปนั่งในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งนี้ด้วย แต่ก็ต้องมาจบชีวิตลงเสียก่อน

การสูญเสียบุคลากรด้านการศึกษายังไม่จบลงแค่ว่าที่ ร.ต.กุลธิดา อินจำปา เท่านั้น และยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

”ครูชุติมา”เหยื่อไฟใต้รายที่ 61

เหตุการณ์ที่น่าเศร้าสลดทิ้งท้ายปี “2549” เป้าหมายของคนร้ายก็ยังคงเป็นครู โดยเฉพาะ “ครูผู้หญิง” ที่ไม่มีทางสู้กับ “กลุ่มก่อความไม่สงบที่เป็นผู้ชายอกสามศอก” โดยเมื่อวันที่ 21 ธ.ค.49 ขณะที่นางชุติมา รัตนสำเนียง และนางรุ่งนภา คงสุวรรณ โรงเรียนชุมชนบ้านตาแกะ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี พร้อมกับเพื่อนครูโรงเรียนเดียวกันอีก 7-8 คนขับขี่รถจักรยานยนต์ซ้อนท้ายกันไปบนถนนสาย 42 เส้นทางระหว่างปัตตานี-นราธิวาส เพื่อไปสอนหนังสือที่โรงเรียน

เมื่อมาถึงบริเวณ ม.2 บ้านบือเจาะ ต.บางปู อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี คนร้ายใจชั่วผู้ชายเต็มตัวที่ซึ่งขับรถจักรยานยนต์ตามประกบมาจากด้านหลังแล้วคนนั่งซ้อนท้ายก็ได้ใช้อาวุธพกสั้นยิงใส่ครูชุติมา และครูรุ่งนภา จนรถล้มลงข้างทาง ทั้งคู่ได้รับการช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาลในเวลาต่อมา

โดยครูชุติมา รัตนสำเนียง ได้รับบาดเจ็บสาหัสเนื่องจากกระสุนถูกศีรษะ และถูกส่งตัวมารักษาที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ (มอ.) หาดใหญ่ จ.สงขลา และได้เสียชีวิตลงเมื่อกลางดึกของวันนั้น โดยครูชุติมา นับเป็นครูรายที่ 61 ที่ถูกลอบทำร้ายเสียชีวิต ท่ามกลางความโศกเศร้าของญาติและเพื่อนครู โดยเฉพาะบุตรสาววัย 8 ขวบ ต้องกลายเป็นลูกกำพร้าแม่ ส่วนครูรุ่งนภา ขณะนี้อาการปลอดภัยแล้ว

สำหรับศพครูชุติมา ได้ตั้งบำเพ็ญกุศาลที่วัดน้ำขาวใน ต.น้ำขาว อ.จะนะ จ.สงขลา และมีพิธีพระราชทานเพลิงศพเมื่อวันที่ 26 ธ.ค.49 ที่ผ่านมานี้เอง โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์อัครราชกุมารี เสด็จเป็นองค์ประธาน

ขอสันติสุข-ความสงบจงบังเกิดในปี 50

ทั้งกรณีของครูจูหลิง และครูประสาน ครูกุลธิดา ครูชุติมา รวมทั้งหลายกรณีที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในปี 2549 เป็นเรื่องที่สะเทือนขวัญต่อเด็กนักเรียน และประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งประชาชนคนไทยทั้งประเทศอย่างมาก

กรณียกตัวอย่างมาทั้งหมดเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของเหตุความรุนแรงในพื้นที่ที่เกิดขึ้นชนิดวันต่อวันเท่านั้น แต่ความจริงที่เกิดขึ้นยังมีครูอีกหลายคนที่ต้องพลีชีวิตให้กับการณ์ก่อเหตุร้ายรายวัน ซึ่งไม่นับรวมชีวิตของเจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชนผู้บริสุทธิ์ ทั้งไทยพุทธและมุสลิมอีกไม่น้อยที่ล้วนต้องจบชีวิตด้วยน้ำมือของกลุ่มผู้สร้างสถานการณ์ ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่า กลุ่มคนเหล่านั้นจ้องทำลายชีวิตผู้อื่นไปเพื่ออะไร และเพื่อใคร ?

จากเหตุการณ์ตลอดปี 2549 ที่ผ่านมานี้ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าในปี 2550 น่าจะเป็นปีที่เหตุการณ์ต่างๆ คลี่คลายไปในทางที่ดี สันติภาพและความสงบสุขน่าจะกลับมาอยู่คู่กับประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้และประเทศไทยอีกครั้ง...เราหวังเช่นนั้นจริง
กำลังโหลดความคิดเห็น