xs
xsm
sm
md
lg

สภามอ.ดันออกนอกระบบสวนทางข้อตั้งวิทยาเขตปัตตานีเป็นเอกเทศ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รายงานโดย...ทีมผู้สื่อข่าวกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ฝึกปฏิบัติบูมีตานี

ปัตตานี – นักศึกษาและอาจารย์ มอ.ปัตตานีเสียงยังแตกว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยนอกระบบ หรือยกเป็นเอกเทศ โดยฝ่ายนักศึกษาห่วงการเป็นมหา’ลัยในกำกับของรัฐจะดันค่าหน่วยกิตแพงขึ้นจากส่งผลกระทบต่อคนในพื้นที่ชายแดนใต้ที่ส่วนใหญ่มีรายได้น้อย ขณะที่สภา มอ.ยังเดินหน้าดันให้ออกนอกระบบดังเดิม

นายอับดุลเล๊าะ หมัดอะด้ำ นายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) วิทยาเขตปัตตานี เปิดเผยถึงการหยิบยกประเด็นการผลักดัน มอ.วิทยาเขตปัตตานีออกเป็นมหาวิทยาลัยเอกเทศว่า เราไม่ได้พูดเฉพาะประเด็นมหาวิทยาลัย แต่เรานำกล่าวถึงการพัฒนา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นความต้องการของชุมชน ซึ่งเดือนธันวาคมปีนี้จะมีการเปิดประเด็นเกี่ยวกับทิศทางการพัฒนามหาวิทยาลัยและนักศึกษา ระหว่างผู้บริหารมหาวิทยาลัยกับนักศึกษา

สิ่งที่นักศึกษากังวลอีกอย่างหนึ่งคือ นโยบายของรัฐบาลที่ต้องการผลักดันทุกมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ นักศึกษาส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ เพราะเกรงว่าค่าเล่าเรียนจะสูงขึ้น ซึ่งไม่สอดคล้องกับฐานะทางเศรษฐกิจของประชาชน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เราจึงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีผลักดัน มอ.ปัตตานีเป็นเอกเทศ และไม่ต้องการมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ

นักศึกษาขอมีส่วนร่วม

“ไม่ทราบมาก่อนว่ามีการร่าง พ.ร.บ.มหา’ลัย มาทราบอีกทีตอนมีฉบับร่างที่เสร็จแล้ว สะท้อนให้เห็นว่า น.ศ.ส่วนใหญ่ไมได้รับรู้ ถ้าถามว่า น.ศ.สนใจรึเปล่า มีหลายกลุ่มสนใจ ขึ้นอยู่กับแต่ละมุมมองของบุคคล ถ้าถามว่า พ.ร.บ.มหา’ลัย เราในฐานะ น.ศ.เป็นส่วนหนึ่งของมหาลัย เรามีสิทธิ์จะเข้าไปมีสวนรวมรึเปล่า ตอบได้เลยว่า มีสิทธิ์ อาจเข้าไปเป็นกรรมาธิการร่วมในการร่าง หรือแก้ไข พ.ร.บ. แต่ น.ศ.ส่วนใหญ่ไม่ได้รับทราบในการจัดทำร่าง พ.ร.บ.ที่ผ่านมาก่อน” นายกองค์การนักศึกษา มอ.ปัตตานีกล่าวและว่า

ในฐานะที่พวกเราเป็น น.ศ.น่าจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ไขและร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ด้วย ในฐานะกรรมาธิการร่วม ผลดี-ผลเสียต้องดูอีกทีหนึ่ง คิดว่าเป็นประโยชน์ต่อมหาวิทยาลัย ผลดี-ผลเสียต้องพิจารณาให้รอบคอบ เพราะ น.ศ.เป็นลูกค้าของมหาวิทยาลัย น่าจะได้รับข้อมูลมากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะปัจจุบันมหาวิทยาลัยขาดการนำเสนอข้อมูลให้ น.ศ.ได้รับทราบ

 เอกเทศเพื่อยกระดับการศึกษา

ผศ.สมปอง ทองผ่อง รองอธิการบดีวิทยาเขตปัตตานี กล่าวว่า แนวคิดการยกฐานะ มอ.ปัตตานีเป็นเอกเทศเกิดขึ้นเมื่อ 7 ปีที่แล้ว เพื่อให้สามารถบริหารและพัฒนามาตรฐานการจัดการเรียนการสอนอย่างอิสระ สามารถขยายโอกาสทางการศึกษาให้กับคนในพื้นที่ และระดับประเทศได้อย่างหลากหลายสาขาวิชามากขึ้น รวมถึงการสร้างความเข้มแข็งในการมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาของท้องถิ่นได้อย่างเต็มที่ โดยจะใช้ชื่อมหาวิทยาลัยว่า “มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ปัตตานี” แต่การดำเนินงานต่างๆ ต้องหยุดลง เพราะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภามหาวิทยาลัย

ทั้งนี้ แนวคิดการยกฐานะวิทยาเขตปัตตานี เริ่มต้นอีกครั้งในปี 2545 เมื่อกลุ่มนักการเมือง นักธุรกิจท้องถิ่น ร่วมกับบุคลากรของ มอ.ปัตตานีบางส่วน นำเสนอประเด็นดังกล่าวไปสู่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และเดือนเมษายน 2547 สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) แจ้งมายัง มอ.วิทยาเขตปัตตานีว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามแผนงาน/โครงการเร่งด่วนตามยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในปีงบประมาณ 2547 และ 2548 โดยมีโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับ มอ.ปัตตานีคือ โครงการยกฐานะวิทยาเขตปัตตานีเป็นมหาวิทยาลัยเต็มรูป และโครงการยกระดับวิทยาลัยอิสลามศึกษาเป็นนานาชาติ

สกอ.คืนร่าง พรบ.ให้พิจารณาใหม่

ส่วนความคืบหน้าของการร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นแนวทางหลักในการบริหารมหาวิทยาลัยนั้น ขณะนี้อยู่ในความดูแลของ สกอ. ซึ่งเมื่อเดือนตุลาคม 2547 สกอ.ก็ได้ยกร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยออกมาแล้ว โดยใช้ชื่อว่า “(ร่าง) พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยปัตตานี พ.ศ...” นั้นก็ยังเป็นเพียงร่างเบื้องต้นที่จะต้องนำเสนอเพื่อให้ฝ่ายบริหาร คือ คณะรัฐมนตรี รวมทั้งฝ่ายนิติบัญญัติคือ สภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้พิจารณาก่อนที่จะมีการบังคับใช้ ซึ่งขณะนี้ สกอ.ยังไม่ได้นำร่างดังกล่าวเสนอไปยังฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ แต่อย่างใด

และในขณะเดียวกัน สกอ.ได้มอบร่างดังกล่าวยังประชาคม มอ.ปัตตานีเพื่อให้มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ และร่วมกันแสดงความคิดเห็นให้ประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจจะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนเนื้อหาสาระในบางประเด็นของร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวต่อไป

คน มอ.ปัตตานียังคิดต่าง

ผศ.ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี นักวิชาการรัฐศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ กล่าวว่า การยก มอ.ปัตตานีเป็นเอกเทศนั้น จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาด้านการศึกษา การพัฒนาคุณภาพชีวิต ซึ่งประชาชนในพื้นที่จะได้รับประโยชน์โดยตรง แต่เมื่อเป็นเอกเทศแล้ว การพัฒนาการศึกษาจะมีประสิทธิภาพหรือไม่ ก็ต้องอยู่ที่การบริหารด้วย ซึ่งคณะอาจารย์ในมหาวิทยาลัยก็มีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน

ผศ.ดร.ศรีสมภพกล่าวว่า บางคนคิดว่าถ้าเป็นเอกเทศแล้วจะทำให้มหาวิทยาลัยกลายเป็นมหาวิทยาลัยท้องถิ่น ไม่มีใครกล้ามาเป็นอาจารย์สอน ไม่มีใครกล้ามาเรียน แต่ถ้าพิจารณาดูอย่างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็ไม่ได้มีแต่คนเชียงใหม่เรียน หรือมหาวิทยาลัยขอนแก่น ก็ไม่ได้มีแต่คนขอนแก่นมาเรียนอย่างเดียว

“ส่วนกรณีความมั่นคงนั้น ผมมองว่าในแง่บวก หากมหาวิทยาลัยเป็นเอกเทศมีการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ ก็เท่ากับเป็นการพัฒนาท้องถิ่น ยกระดับคุณภาพด้านการศึกษา เปิดโลกทัศน์ประชาชนได้เรียนรู้ และปรับตัวให้เข้ากับความหลากหลายและความแตกต่าง” ผศ.ดร.ศรีสมภพ กล่าว

ขณะที่ ผศ.อิ่มจิต เลิศพงศ์สมบัติ รักษาการคณบดีคณะวิทยาการสื่อสาร (วสส.) มอ.ปัตตานี กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นด้วยกับการยกระดับ มอ.ปัตตานีเป็นเอกเทศ เพราะจะทำให้คล่องตัวในการบริหารการจัดการด้านงบประมาณ แต่ปัจจุบัน มอ.ปัตตานีมีความเป็นเอกเทศมากขึ้น โดยอธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้มอบอำนาจให้รองอธิการวิทยาเขตปัตตานีในการตัดสินใจบริหารงานมากขึ้น เช่น การเซ็นสัญญาต่างๆ การมอบอำนาจการบริหารงานบุคคล

ชี้แนวทางยังไม่ชัดเจน

ผศ.อิ่มจิตกล่าวว่า ตนเห็นว่ารัฐบาลยังไม่มีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในการยกระดับ มอ.ปัตตานีเป็นเอกเทศ สังเกตจากบุคลากรของ มอ.ปัตตานีที่ไม่มีการกำหนดเส้นทางของการพัฒนา และวิทยฐานะ ไม่มีเพดานของเงินเดือน รวมทั้งการปรับเงินเดือนก็ต่างกันมาก ซึ่ง มอ.ปัตตานีกำลังชะลอเรื่องนี้ออกไปก่อนเพราะต้องรอการดำเนินการให้แล้วเสร็จ

“มอ.นอกระบบ เป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐบาล แต่ไม่เป็นหน่วยงานของรัฐ แต่รัฐก็ยังเกี่ยวข้องในการดูแลงบประมาณที่ให้เป็นแบบรวมๆ ทาง มอ.มีอำนาจในการบริหารจัดการได้อย่างเต็มที่” รักษาการคณบดี วสส.กล่าวและเสริมว่า

การเป็นเอกเทศนั้นคือ การเป็นหน่วยงบประมาณ 1 หน่วย มีสถานะเป็นนิติบุคคลที่แยกเป็นเอกเทศเลย สำหรับ มอ.ปัตตานีเมื่อออกนอกระบบก็ใช่ว่าจะเป็นเอกเทศเลยทีเดียว เนื่องจากยังอยู่ในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์อยู่ ซึ่งทางมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์จะต้องออกพระราชบัญญัติให้ทุกวิทยาเขตเป็นนิติบุคคล เป็นมหาวิทยาลัยเอกเทศ ซึ่งจะมอบอำนาจในการจัดการบริหารโดยตัวกฎหมายเอง ไม่ต้องอยู่ภายใต้การกำกับของอธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์อีก

เอาเอกเทศ-ไม่เอานอกระบบ

สำหรับความคิดเห็นของนักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 คนหนึ่ง กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนสถานะของมหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลันในกำกับของรัฐ หรือมหาวิทยาลัยนอกระบบ เพราะจะทำให้ค่าใช้จ่ายแพงขึ้น แม้จะไม่มีผลกระทบกับเราโดยตรง แต่รุ่นน้องที่เป็นนักศึกษาในพื้นที่ ซึ่งพ่อแม่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม มีรายได้น้อย อาจทำให้ไม่มีเงินเสียค่าเล่าเรียนให้ลูกหลาน

นักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 อีกคนหนึ่ง บอกว่า มหาวิทยาลัยออกนอกระบบนั้น มีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ต้องขึ้นอยู่กับคณะผู้บริหารและการจัดการ ซึ่งต้องมีการเปลี่ยนแปลง แต่ก็อย่าให้เกิดผลกระทบกับนักศึกษาจนเกินไป ตนเชื่อว่า หาก มอ.ออกนอกระบบแล้วจะมีผลกระทบแน่นอน เพราะรัฐบาลจะไม่นำเงินมาสนับสนุนมหาวิทยาลัย ทำให้ต้องขึ้นค่าหน่วยกิตกับนักศึกษา ทำให้เดือดร้อนแม้จะเงินกู้เข้ามาช่วยก็ตาม ก็ไม่รู้ว่ามหาวิทยาลัยจะมีแนวทางแก้ปัญหาอย่างไร

รายงานข่าวจากการประชุมสภามหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2549 ต่อประเด็นการยกวิทยาเขตปัตตานีเป็นมหาวิทยาลัยเอกเทศว่า สภามหาวิทยาลัยยืนยันที่จะส่งร่าง พ.ร.บ.ฉบับเดิม โดยควรจะยึดหลักการโครงสร้างมหาวิทยาลัยหลายวิทยาเขตที่เคยมีความเห็นชอบไปแล้ว คือการบริหารเป็นระบบวิทยาเขต ที่แต่ละวิทยาเขตมีอำนาจตามกฎหมายเต็มที่ แต่ยังคงมีสภามหาวิทยาลัยเดียวกัน

ซึ่งสภาฯมีมติให้นำเสนอ พ.ร.บ.ฉบับเดิมและมอบให้อธิการบดีเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อทำความเข้าใจถึงเอกลักษณ์และความจำเป็นของ มอ.ที่เป็นมหาวิทยาลัยหลายวิทยาเขต ที่ต้องการความสมบูรณ์ของความเป็นวิทยาเขต และการบริหารเป็น PSU System แต่การเสนอร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวจะมีการชะลอให้ช้าที่สุด
กำลังโหลดความคิดเห็น