xs
xsm
sm
md
lg

เปิดงานวิจัย “ร้านต้มยำกุ้ง” เข้าใจชีวิตแรงงานต่างด้าวในแดนมาเลย์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สถาบันข่าวอิศรา

หากใครเคยเดินทางไปมาเลเซีย คงไม่ยากนักที่จะพบเจอร้านอาหารไทยสักร้านหนึ่ง เพราะธุรกิจดังกล่าวได้รับความนิยมจากผู้บริโภคชาวมาเลเซียจำนวนมาก บ้างก็ว่ามีร้านอาหารเหล่านี้อยู่ประมาณ 7,000 ถึง 10,000 ร้านทั่วประเทศมาเลเซีย มีเจ้าของร้าน กุ๊ก และคนงานที่มาจากหลากหลายภูมิลำเนาทั่วประเทศ โดยเฉพาะจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวยังเป็นเพียงการประมาณการ ไม่มีข้อมูลที่ระบุได้อย่างชัดเจน

งานวิจัย “ครัวไทยในมาเลเซีย เมื่อวิถีคนปรุงอาหาร ตาต้องไว เท้าต้องเร็ว” ของโครงการวิจัยชุดชายแดนใต้-มาเลเซียของ สกว.เปิดมุมมองให้เรารู้จักสิ่งที่เรียกว่าร้านต้มยำกุ้งในประเทศมาเลเซียได้อย่างแจ่มชัดขึ้น โดยเฉพาะในมุมของวิถีชิวิต เงื่อนไข และโอกาสของคนไทยบางกลุ่มที่จำต้องเข้าไปเปิดร้านอาหารในประเทศเพื่อนบ้าน

งานวิจัยสรุปรวบรัดว่าปัจจัยที่ทำให้คนไทยเดินทางไปเปิดร้านอาหารไทยที่มาเลเซียคือ “เงินรายได้” เป็นหลัก ทั้งนี้ เนื่องจากงานในฝั่งไทยนั้นหายาก แต่มีรายได้น้อยเมื่อเทียบกับฝั่งมาเลเซีย กระทั่งมีคำกล่าวว่าใครอยากสร้างเนื้อสร้างตัวต้องไปทำงานที่มาเลเซียเลยทีเดียว

กรณีศึกษาต่างๆ ในงานวิจัยเป็นคนที่มีที่มาแตกต่างกัน ทั้งในด้านภูมิลำเนาและอาชีพเดิมในฝั่งไทย ไม่ว่าจะเป็นหญิงม่ายที่ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในฝั่งมาเลย์ คนที่เคยทำงานประมงและต้องการรายได้ที่ดีกว่าเดิม ผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อของธนาคารกรุงเทพ ซึ่งเจอวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 คนตกงานที่ไปเริ่มต้นด้วยการเป็นผู้ช่วยกุ๊ก จนชำนาญจึงขยับไปเป็นกุ๊กในระดับฝีมือต่างๆ ตลอดจนเครือญาติของคนเหล่านี้ที่ติดตามไปหลังจากที่พวกเขาตั้งตัวได้แล้ว

การเฮโลกันเข้าไปทำงานในมาเลเซียเป็นผลมาจากกระแสข่าวความสำเร็จของคนที่เข้าไปบุกเบิกจนมีฐานะร่ำรวย ส่งผลให้มีผู้เข้าไปเปิดร้านจำนวนมากขึ้น เจ้าของร้านรายหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่าเฉพาะในกัวลาลัมเปอร์เองน่าจะมีร้านอาหารไทยอยู่ประมาณ 3 หมื่นร้าน

ในขณะที่วุฒิทางการศึกษาไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับงานร้านอาหารแต่อย่างใด เนื่องจากการเข้าไปทำงานประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องผ่านการสอบ เพียงใช้ประสบการณ์ก็สามารถข้ามฝั่งไปทำงานได้

ซูเบส ยีหมะ เจ้าของร้านอาหารแห่งหนึ่งวิเคราะห์พฤติกรรมการบริโภคของคนมาเลเซียจากประสบการณ์ว่า คนมาเลเซียทำกับข้าวไม่เป็น รสชาติอาหารส่วนใหญ่จะจืดๆ แต่พอมาเจออาหารไทยเขาจะชอบมาก เมนูอาหารที่นิยม คือ ต้มยำ ผัดเนื้อแดง คะน้าปลาเค็ม วัตถุดิบที่สำคัญ คือ น้ำพริกเผาแม่ประนอม และซอสภูเขาทองจากฝั่งไทย

ร้านอาหารเหล่านี้จะเปิดประมาณ 5 โมงเย็น จนกระทั่งถึงตี 1 หรือดึกกว่านั้น

เจ้าของร้านอาหารบางรายระบุว่า ใช้เงินในการลงทุนประมาณ 25,000 ริงกิต หรือ ประมาณ 2.5 แสนบาท ซึ่งใช้จ่ายในเช่าที่ดินสร้างร้านและเช่าที่พักให้คนงาน ค่าไฟ ค่าน้ำ และซื้อของเข้าร้าน

ในขณะที่พ่อครัวหรือกุ๊กซึ่งแต่ละร้านไม่ว่าจะขนาดเล็กหรือใหญ่จะต้องมีติดร้านอย่างน้อย 2 คน ส่วนลูกจ้างในร้านจะมีอัตรารายได้แตกต่างกันตามหน้าที่ ทั้งนี้ อัตราค่าจ้าง 4,500 ถึง 6,000 บาทเป็นอย่างต่ำสำหรับคนล้างจาน ในขณะที่กุ๊กซึ่งเป็นคนสำคัญที่ชี้วัดรสชาติอาหารจะมีรายได้อยู่ที่ 1-1.5 หมื่นบาท

ประเด็นที่งานวิจัยชิ้นนี้สนใจอยู่ที่ปัญหาที่ร้านอาหารเหล่านี้ต้องเผชิญ โดยเฉพาะ ปัญหาการเข้ามาทำงานอย่างผิดกฎหมาย ไม่มีใบอนุญาตทำงาน หรือ Work Permit

กรณีนี้เป็นปัญหาพื้นฐานของแรงงานต่างด้าว ปัจจัยด้านรายได้ดึงดูดผู้คนให้เข้าไปทำงานที่มาเลเซีย ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับกฎหมาย โดยเฉพาะกุ๊กและคนงานในร้านซึ่งมักเข้าเมืองโดยผิดกฏหมายหรือมักมีความผิดในการใช้หนังสือเดินทางเป็นนักท่องเที่ยว แต่เข้าไปทำงานเกินกำหนด 30 วัน

ความจำเป็นที่ต้องเดินทางมาต่อวีซ่าที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ก่อให้เกิดธุรกิจนายหน้ารับจ้างต่อวิซ่าโดยมีค่าใช้จ่ายประมาณ 800-1,200 บาทต่อครั้ง แต่หากไม่ต่อวีซ่า คนเหล่านั้นจะต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ และทำงานด้วยความหวาดกลัว ระแวงว่าจะมีเจ้าหน้าที่ของทางการมาเลเซีย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ด่านศุลกากรหรือตำรวจมาจับกุมในข้อหาลักลอบเข้ามาทำงานผิดกฏหมาย ส่งผลให้เกิดเครือข่ายในการติดต่อส่งข่าวสารในเรื่องนี้โดยเฉพาะ

“แรงงานระดับร้านใหญ่ๆ เองก็ใช่ว่าจะทำใบอนุญาตทำงานให้ เว้นแต่ระดับพ่อครัว เพราะบางทีเสียเงินทำใบอนุญาติให้แล้ว ทำงานไม่ถึงปีก็ลาออก แรงงานระดับลูกจ้างหรือเด็กเสิร์ฟจึงอยู่อย่างลำบาก” อดุล โชตินิสากร เจ้าหน้าที่จากสำนักงานจัดหางาน จ.นราธิวาส ระบุในงานวิจัย

กรณีที่โดนจับจะมีโทษจำคุกตั้งแต่ 2 เดือนขึ้นไป เจ้าของร้านมักจะเป็นผู้ประกันตัวออกไป โดยวางเงินประกันแล้วแต่จะตกลงกับเจ้าหน้าที่ได้ โดยแต่ละรายไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นบาท

นอกจากนี้แล้ว แรงงานไทยยังประสบปัญหาสวัสดิการและความมั่นคงในการทำงาน ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยที่ว่า หากเจ้าของกิจการเป็นคนมาเลเซีย อาจได้รับค่าจ้างแพงความเป็นอยู่ที่ดีกว่าร้านที่มีเจ้าของเป็นคนไทย และมักจะได้รับความช่วยเหลือในเรื่องข่าวสารการจับกุมของเจ้าหน้าที่ทางการ แต่หากเจ้าของกิจการเป็นคนไทย หากมีการจับกุมจะเป็นผู้ที่มีความผิดทั้งสองฝ่าย

ทางรอดคือ เจ้าของร้านต้องตีสนิทคนมาเลเซียให้เร็วที่สุด กับอีกทางคือ อาศัยเครือข่ายร้านอาหารไทยเพื่อเป็นประโยชน์ในการเตือนภัย

ในตอนท้ายของรายงานวิจัย ผู้วิจัยได้เสนอแนะว่าควรมีการเจรจาระหว่างประเทศเพื่อขอให้ผ่อนปรนให้แรงงานไทยอยู่ในมาเลเซียได้นาน 90-120 วัน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายนอกระบบและยังสร้างความสบายใจให้กับแรงงานไทยที่เข้าไปทำงาน ไม่ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ทั้งนี้รัฐบาลไม่ต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งยังแก้ปัญหาการหาประโยชน์อันไม่ชอบจากเจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งสองได้ด้วย

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยชิ้นดังกล่าวไม่ได้ระบุถึงรายได้ของร้านอาหารไทยเหล่านี้ รวมทั้งประเด็นเกี่ยวกับชมรมต้มยำ (Protom) หรือความสัมพันธ์ระหว่างร้านอาหารเหล่านี้กับขบวนการก่อความไม่สงบในฝั่งไทยแต่อย่างใด

กำลังโหลดความคิดเห็น