สถาบันข่าวอิศรา
ป้ายร้าน Bangkok Jam สง่าอยู่ในซอกแทรกตึกสูงใหญ่กลางเมือง ดึงดูดความสนใจของทีมงานศูนย์ข่าวอิศรา สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ขณะย่ำเดินอยู่กลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของประเทศมาเลเซีย ทุกคนในคณะไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะลองเข้าไปชิมด้วยความรู้สึกของคนไกลบ้าน ที่ต้องการลองลิ้มอาหารไทย
หลังสั่งอาหารมาคั่นจังหวะ ทักทายพนักงานที่เป็นคนไทย ทำให้ทราบว่า Bangkok Jam มีเจ้าของเป็นคนไทย แต่น่าแปลกที่เจ้าของร้านคนนี้กลับไม่ชอบที่จะเข้ามาดูแลร้านอาหารของเขาด้วยตัวเอง
“เขาจะใช้วิธีนั่งดูมอร์นิเตอร์ทีวีวงจรปิดภายในร้านอยู่ที่บ้าน” พนักงานคนหนึ่งบอกให้ทราบ
จากการประสานติดต่อของเอกอัคราชทูตไทยประจำมาเลเซีย อุ้ม เมาลานนท์ ทำให้เราได้มีโอกาสพบกับ “คุณธานี ไหลวาริน” เจ้าของร้านอาหารไทยในกัวลาลัมเปอร์ 11 ร้าน ภายใต้ชื่อบริษัท Sea Cuisine
19.00 น. เป็นเวลาที่เรานัดพบกันที่ร้าน Bangkok Jazz ซึ่งเป็นร้านล่าสุดที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน ดูหรูหรา สไตล์โมเดิร์น รองรับลูกค่าที่เป็นคนรุ่นใหม่
เสียงดนตรีแจ๊ซที่ขับกล่อมดูครึกครื้นจนเกินไป ที่ทางสำหรับการสนทนาจึงเป็นห้องวีไอพี ซึ่งเหมาะเจาะพอดีกับเวลาละศีลอดของเพื่อนมุสลิมในคณะ การสนทนาจึงดำเนินไปพร้อมๆกับอาหารที่คุณธานีได้สั่งเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว และที่เด็ดสุดจนทุกคนบอกเป็นสียงเดียวกันก็คือ ...ต้มยำกุ้ง
“กินต้มยำที่เมืองไทยไม่อร่อยเท่านี้” คน หนึ่งบอกอย่างไม่ได้เสแสร้ง ซึ่งยืนยันได้อย่างนั้นจริงๆ เพราะรสชาติไม่เปรี้ยวจี๊ด ไม่เค็มไป ไม่หวานจัด แต่กลมกล่อมถูกคอคนต่างชาติอย่างคนมาเลย์และคนไทยที่ชอบกินต้มยำกุ้งไม่ต่าง กัน
“บางครั้งเราเปลี่ยนรสชาติไม่ได้ เพราะลูกค้าเขากินรสชาตินี้”
เป้าหมายในอนาคต “ผมอยากทำให้ใหญ่และดีกว่านี้ เดือนที่แล้วสมาคมโรงแรมเขาเชิญผมไปรับรางวัลผู้ประกอบการร้านอาหารไทยที่ดี ที่สุดในมาเลเซีย แต่ผมปฏิเสธเพราะคิดว่ายังไม่ดีพอ”
“ผมอยากให้ลูกน้องคิดเหมือนผม ให้เป็นไทยมากกว่านี้ ผมจะติดป้ายในร้านไว้ว่าเสิร์ฟด้วยหัวใจ แต่ยังทำไม่ได้ดังคำที่เขียนไว้ รสชาติอาหารยังไม่อร่อยเท่าที่ตั้งใจไว้ จึงได้ขอปัดไปกับสมาคมโรงแรมว่าจะขอรับรางวัลในปีหน้า”
คุณธานีไม่ได้ฝ่าฟันเปิดร้านอาหารมาอย่างโชคโชนเหมือนหลายคนที่ประสบความสำเร็จ แต่เขาเป็นสถาปนิกที่ออกแบบตึกสูงหลายๆ ตึกในมาเลเซีย มาวันหนึ่งด้วยความเป็นคนชอบทานอาหาร เขาก็เลยหันหลังให้ตึก นำจินตนาการมาแปลงใส่ลงไปในรสชาติอาหาร และร้านอาหารทุกแห่งที่เขาเป็นเจ้าของ เขาดีไซน์ร้านทุกแห่งด้วยตัวเองทั้งหมด จะเห็นได้ว่าทุกร้านจึงเอกลักษณ์ที่โดดเด่นต่างร้านอื่นๆ ในกัวลาลัมเปอร์
การเปิดร้านอาหารใช่ว่ามีเงิน มีพนักงานที่พร้อมแล้วจะทำได้ แต่ธานีบอกว่าเขาต้องตระเวนไปชิมอาหารที่เมืองไทยอยู่หลายร้าน รวมทั้งศึกษาการบริหารของร้านดังที่เขาประสบความสำเร็จด้วย
“ผมถามร้าน อาหารฝรั่งที่นี่ว่าทำไมเชฟยูไม่ฉลาดเลย เขาตอบว่าถ้ามันฉลาดมันก็เปลี่ยนสูตรอาหารหมดนะซิ ผมจึงได้เรียนรู้จากเขาในช่วง 6 ปีที่เปิดร้านมานี้ ผมรู้จักร้านใหญ่ เขามาคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน”
คุณธานี พยามถ่อมตัวว่าเขาไม่ใช่ผู้นำแห่งร้านอาหารในมาเลเซีย เพราะมีร้านสัญชาติอื่นด้วย เช่น อาหารญี่ปุ่นที่ประสบความสำเร็จสูง ซึ่งธานีก็สนใจที่จะทำแต่ยังไม่กล้าทำ ตอนนี้จึงวางแผนจะขยายร้านอีก 3-4 ร้าน รวมข้ามฝั่งไปที่ยุโรปด้วย
หลักคิดจากประสบการณ์ในช่วงสั้นๆ แต่เขาบอกว่าการเปิดร้านอาหารนั้นอยู่ที่ความต้องการลูกค้า เหมือนที่คนสิงคโปร์ไปเปิดร้านอาหารไทยในกรุงเทพฯและประสบความสำเร็จ เพราะในกรุงเทพฯไม่ได้มีแต่คนไทย มีคนจากที่อื่นด้วย ซึ่งถือเป็นหลักการตลาดที่แม่นทีเดียว
“ร้านอาหารไทยดังๆ ทั่วโลกมีคนไทยเป็นเจ้าของแค่ 30% เองที่เหลือเป็นคนต่างชาติ ร้านอาหารไทยในอังกฤษ 70-80% คนไทยไม่ได้เป็นเจ้าของ แต่เชฟเป็นคนไทย ปลายปีหน้าผมจะขยายสาขาของร้านอาหารให้ได้ 15-16 ร้าน ขณะนี้กำลังสร้าง ร้านหนึ่งอยู่ที่สิงคโปร์ และกรุงเจดดาห์ ประเทศซาอุดิอารเบีย ตอนนี้จ้างเด็กเสิร์ฟ 1,200-1,400 ริงกิต/เดือน เด็กล้างชามประมาณ 8,000 บาท แต่ทำชามแตกทุกวัน ส่วนเชฟจะแตกต่างกันขึ้นกับฝีมือ แต่หัวหน้าเชฟอยู่ที่ 6 หมื่นบาท”
คุณธานี เล่ารายละเอียดการธุรกิจของเขาให้ฟังอย่างออกรส พร้อมกับบอกว่าเทคนิคมัดใจลูกน้องก็คือต้องให้ความสำคัญพวกเขาเสมือนให้ พนักงานเป็นเจ้าของร้าน และดูแลหัวหน้าเชฟมากเป็นพิเศษ เพราะเปรียบเสมือนลูกชายคนโตที่จะต้องดูแลทุกอย่างให้สมบูรณ์ที่สุดแทนเขา ตั้งแต่การทะเลาะกันของเด็กในร้านเลยทีเดียว
“ผมพยายามไม่เข้าไปยุ่งให้มากเท่าที่จะทำได้ เพราะถ้าผมยุ่งมากเขาก็ไม่อยากทำงาน แต่ต้องการให้เขาได้คิดเองมากที่สุดและให้เขาได้รู้สึกว่าเป็นเจ้าของมากที่ สุด” คุณธานีไขปริศนาทีวีวงจรปิดที่ต้องนั่งดูอยู่กับบ้านว่าไม่ใช่จะจับผิด พนักงาน แต่มีไว้เผื่อว่าจะมีเหตุการณ์อะไรฉุกเฉินเท่านั้น แต่ถ้าหากพนักงานจะมองว่าเป็นที่จับผิดก็ถือว่าเป็นบวกกับเขาเพราะจะได้ไม่ มีคนอู้งาน
“เราพบว่าคนไทยที่มาทำงานเมืองนอกชอบทะเลาะกันเอง แล้วก็ต้องกลับทั้งๆ ที่อยู่ที่นี่ก็รายได้ดี บางคนก็ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยในที่สุดก็ไม่เหลือ ขนาดบางคนผมเลือกที่จะบอกเขาว่าผมขอส่งเงินไปให้ที่บ้านเองเพื่อจะได้เก็บเงิน เขาไม่ยอม บางคนให้บัญชีคนอื่นมาเพื่อจะได้ไปเบิกเอา เป็นอย่างนั้นไป ในที่สุดพวกนี้พอลาออกจะกลับไม่มีเงินเหลือเลย ทั้งที่จ่ายภาษีให้ด้วย มีอพาร์ทเม้นท์เช่าให้อยู่ฟรี ทำประกันสุขภาพให้ฟรี
คุณธานี บอกหลักการบริหารคนของเขาจะมีการฝึกงานผ่านกันไปเป็นรุ่น และทำให้ทุกคนมั่นใจว่าทำงานที่บริษัทนี้จะมีความมั่นคงในทุกด้าน
“ผมมีค่าใช้จ่าย 8-9 ล้านบาท แต่กำไรไม่มาก แค่ประมาณ 2 ล้านบาท จากที่ก่อนนี้ที่เศรษฐกิจดีได้อยู่ประมาณ 4 ล้านบาท จนสามารถทำให้ผมสามารถเอกกำไรไปเปิดร้านได้ทุกเดือน และที่ทำกำไรมากที่สุดคือร้านก๊วยเตี๋ยว ผมได้กำไรเฉพาะร้านนี้เดือนล้านบาท”
“ช่วงปลายปีจะมีนักท่องเที่ยวมาเยอะ ทั้งฝรั่งและชาติอื่นๆ ทุกปีจะวนกันไปเหมือนกัน”
คุณธานีสนุกสนานร่าเริงกับธุรกิจใหม่ที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว เขาบอกด้วยว่าแม้จะมาฝังตัวอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านนานถึง 23 ปีแล้วก็ไม่ยอมขอสัญชาติมาเลย์
“ ผมยังเป็นคน ไทยอยู่ครับ ผมคิดว่าประเทศไทยดีที่สุด มาอยู่นี่แล้วอยากโปรโมทประเทศไทยให้คนอื่นได้รู้จักในด้านดี ๆ อยู่ที่ไหนเราก็รักบ้านเกิดของเรา”
คุณธานีเป็นคนเชื้อสายจีนจากนครปฐม ปักหลักจนได้ภรรยาเป็นคนมาเลย์เชื้อสายจีน เขาบอกว่าด้วยความไกลของสองประเทศทำให้เขาเดินทางกลับบ้านทุกเดือน อย่างน้อยนอกจากได้ไปเยี่ยมบ้านแล้วยังถือโอกาสไปช็อปข้าวของตกต่างร้านที่จตุจักรด้วย
ความฝันของคนไทยที่หลงใหลในรสชาติอาหาร เป็นความสุขของคนไทยในต่างแดนที่ดูแล้วช่างอบอุ่น
“ผมโอเคมากอยู่ที่นี่ เพราะทุกเชื้อชาติก็เข้ากันได้หมด เวลาผมไหว้พระก็ไม่เห็นมีใครมาว่าอะไรเลย ทุกคนเข้าใจกัน ผมอยากให้คนใน 3 จังหวัดภาคใต้ดูแบบอย่างของคนมาเลย์ที่มีหลายเชื้อชาติแต่เขาอยู่ร่วมกันได้ อย่างลงตัว”
คุณธานี บอกเล่าถึงความรู้สึกต่อปัญหาในภาคใต้ของบ้านเรา ซึ่งก็เหมือนคนไทยและหลายๆคน ที่ไม่อยากเห็นเหตุการณ์บานปลายไปมากกว่านี้ โดยเฉพาะการกระทบกระทั่งกันระหว่างประเทศด้วยคำพูด คุณธานีไม่เห็นด้วยเลย เพราะในฐานะนักธุรกิจแล้วเขาย่อมต้องการเห็นความสมานฉันท์แบบมิตรประเทศ เพราะจะส่งผลผลดีต่อทั้งสองประเทศ