นครศรีธรรมราช - ผบก.เมืองคอนยิ้มร่าหลังไอ้เสือปล้น ถูกผัวเมียใจเด็ดยิงสวนดับคาที่ 2 ราย เผยรู้ตัวแล้วยกแก๊ง ขณะที่เจ้าทุกข์ถูกตั้งข้อหาฆ่าคนตาย ก่อนเตรียมสั่งไม่ฟ้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานกรณี นายประทีป นวลขาว อายุ 40 ปี และนางทัศนีย์ นวลขาว อายุ 29 ปี สองสามีภรรยา อยู่ 56 ม.5 ต.กุแหระ อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้กับคนร้ายจำนวน 2 คนที่บุกเข้าไปในบ้านและพยายามปล้นทรัพย์ จนทำให้คนร้ายทั้ง 2 คน คือ นายณัฐวุฒิ พูนพนัง อายุ 30 ปี อยู่ 74 ม.3 ต.กรุงหยัน อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช และคู่หูนายสมศักดิ์ เอี่ยมกำลัง อายุ 37 ปี อยู่ 42/2 ม.3 ต.กรุงหยัน อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช เสียชีวิตทั้งคู่ ส่วนนายทวีป และนางทัศนีย์ได้รับบาดเจ็บค่อนข้างสาหัส เหตุเกิดเมื่อกลางดึกของวันที่ 10 ก.ย. ตามข่าวที่ได้เสนอไปแล้วนั้น
พ.ต.ท.ณัฐศิษฐ์ มีนะกนิษฐ รอง ผกก.ป. ยังกล่าวต่ออีกว่า มีพยานเห็นชัดเจนว่าคนร้ายมีไม่น้อยกว่า 3 คน โดยมีรถยนต์กระบะเป็นพาหนะ ก่อนเกิดเหตุไม่ถึงสิบนาทีรถยนต์คันนี้ได้มาจอดหน้าบ้านปล่อยให้คนร้ายสองคนลงมาก่อเหตุ โดยคนขับได้ขับเลยไปจอดในมุมมืดห่างจากจุดเกิดเหตุ และสอดคล้องกับเหตุการณ์เมื่อพยานระบุว่าหลังจากที่เสียงปืนดังขึ้นหลายนัดรถยนต์คันนี้ได้ขับมาจอดหน้าบ้านที่เกิดเหตุ แต่เมื่อเห็นชาวบ้านหลายคนวิ่งมาดูจึงได้ขับเตลิดไป
“เราตรวจสอบประวัติแล้วพบว่า แก๊งปล้นทรัพย์รายนี้เป็นแก๊งใหญ่ โดยเฉพาะนายณัฐวุฒิมีประวัติต้องคดีปล้นทรัพย์ 1 คดี และคดีพยายามฆ่า 1 คดี เรื่องอยู่ในระหว่างการพิจารณาในชั้นศาล และยังมีคดีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์เกี่ยวพันอยู่อีกหลายคดี ส่วนนายสมศักดิ์ยังไม่พบประวัติก่อคดี และทั้งแก๊งนี้อยู่ในพื้นที่ ต.กรุงหยัน ขณะนี้รู้ตัวหมดแล้วว่าเป็นใครบ้าง
ส่วนรถคันนี้ก็รู้แล้วเช่นกันว่าเป็นของใคร เนื่องจากนางทัศนีภรรยาเจ้าของบ้านบอกว่าได้ขับมาวนเวียนป้วนเปี้ยนดูลาดเลาแล้วหลายวัน และก่อนเกิดเหตุก็เห็นรถคันนี้แล้วเช่นกัน กระทั่งเกิดเหตุการณ์ขึ้น ซึ่งขอแสดงความชื่นชมในความเด็ดเดี่ยวของนางทัศนี ซึ่งหากไม่มีสติหรือพยายามหลบหนีทั้งสามีและนางทัศนีรวมถึงลูกอาจจะต้องถึงแก่ชีวิต ซึ่งถ้าเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ 3-4 ครั้งรับรองว่าคนร้ายปล้นทรัพย์ลักษณะนี้หมดแน่นอน”
รอง ผกก.ป.สภ.อ.ทุ่งใหญ่ ยังกล่าวอีกว่า มูลเหตุในการปล้นทรัพย์นั้นเชื่อว่าคนร้ายได้ติดตามครอบครัวของนายประทีปมานานแล้ว เนื่องจากเป็นคนมีฐานะ มีสวนยางจำนวนมาก และจากการสอบถามถึงการเก็บทรัพย์สินไว้ที่บ้านนางทัศนี ยืนยันว่าจะไม่เก็บทรัพย์สินไว้ที่บ้าน คงมีเพียงทองคำหนัก 5 บาท และเงินสดอีกไม่กี่หมื่นบาทไว้ใช้จ่าย
นอกจากนี้ยังเชื่อว่า ด้วยข่าวลือที่ชาวบ้านเอาไปพูดกันในช่วงเช้าของวันที่เกิดเหตุระบุว่านายทวี ปและนางทัศนีได้เปียแชร์มีเงินสดหลายแสนบาท จึงเป็นแรงจูงใจให้คนร้ายเข้าปล้น
ส่วนในการดำเนินคดีนั้น ขั้นแรกนายทวีปและนางทัศนีย์ จะต้องถูกตั้งข้อหา “ฆ่าผู้อื่นโดยอ้างเหตุป้องกันภัยอันตรายอันจะมาถึงตัว” ซึ่งการกระทำดังกล่าวนั้นจากการสอบสวนและพิจารณาหลักฐานของตำรวจเชื่อว่าเป็นการป้องกันชีวิตและทรัพย์สินอันสมควรแก่เหตุ ซึ่งจะต้องรอให้สองสามีภรรยาออกมาจากโรงพยาบาลแล้วสอบสวนเพิ่มเติมก่อนที่จะมีความเห็นท้ายสำนวน “เห็นควรสั่งไม่ฟ้อง” เพื่อเสนอพนักงานอัยการพิจารณาตามกระบวนการ
พล.ต.ต.สุดใจ ญาณรัตน์ ผบก.ภ.นครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า หลังจากที่คนร้ายทั้งสองคนเสียชีวิตทำให้หลายคดีในพื้นที่มีความชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะคดีปล้นทรัพย์ที่แก๊งค์นี้จะมีการใช้พฤติกรรมก่อเหตุคือการสวมหมวกไอ้โม่งมีอาวุธครบมือเข้าไปปล้นทรัพย์ ซึ่งในการสอบสวนและสืบสวนค่อนข้างลำบากเนื่องจากประจักษ์พยานและพยานแวดล้อมเห็นหน้าคนร้ายไม่ชัดเจน ทำให้การดำเนินคดีเพื่อให้ไปถึงตัวคนร้ายค่อนข้างลำบาก
“แต่หลังจากคนร้ายทั้งสองคนถูกยิงตายทำให้การสืบสวนง่ายขึ้น ล่าสุดเราทราบถึงผู้ร่วมขบวนการหมดแล้ว รวมทั้งรถยนต์ที่เป็นพาหะนะมาส่งคนร้ายก่อเหตุ รอเพียงการสอบสวนเพื่อเชื่อมโยงไปให้ถึงเพื่อการออกหมายจับตามกระบวนการ คาดว่าจะสามารถจับกุมได้ยกแก๊งค์ในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน” ผบก.นครศรีธรรมราช กล่าว
ส่วนอาการของนายทวีป นวลขาว อายุ 40 ปี ที่ถูกคนร้ายยิงเข้าบริเวณหน้าอก และแพทย์ได้ส่งตัวเข้ารักษาต่อยังโรงพยาบาลมหาราช นครศรีธรรมราช ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุดอาการของนายประทีปปลอดภัยแล้ว โดยได้เดินทางออกจากโรงพยาบาลมหาราชเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 11 ก.ย.49 ซึ่งแพทย์ได้ทำหนังสือส่งตัวกลับไปรักษาตัวต่อยังโรงพยาบาลทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นสถานที่ในการรักษาตัวของนางทัศนีย์ นวลขาว อายุ 29 ปี ภรรยาสุดใจเด็ด ที่ถูกคนร้ายยิงเข้าบริเวณต้นแขนซ้ายทะลุกระดูกแตก
โดยแพทย์ได้ให้การผ่าตัดตกแต่งกระดูกเรียบร้อยแล้วเช่นกัน แต่ยังคงรักษาตัวอีกระยะหนึ่ง สำหรับนายทวีปที่ได้ย้ายกลับไปยังโรงพยาบาลทุ่งสง นั้นเพื่อสะดวกกับการสอบปากคำของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขณะเดียวกันมีตำรวจชุดสืบสวนของ สภ.อ.ทุ่งสง มาคอยดูแลความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด ด้วยหวั่นเกรงว่าอาจะเกิดการล้างแค้นจากแก๊งคนร้ายที่เหลือขึ้นได้
ผู้สื่อข่าวรายงานกรณี นายประทีป นวลขาว อายุ 40 ปี และนางทัศนีย์ นวลขาว อายุ 29 ปี สองสามีภรรยา อยู่ 56 ม.5 ต.กุแหระ อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้กับคนร้ายจำนวน 2 คนที่บุกเข้าไปในบ้านและพยายามปล้นทรัพย์ จนทำให้คนร้ายทั้ง 2 คน คือ นายณัฐวุฒิ พูนพนัง อายุ 30 ปี อยู่ 74 ม.3 ต.กรุงหยัน อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช และคู่หูนายสมศักดิ์ เอี่ยมกำลัง อายุ 37 ปี อยู่ 42/2 ม.3 ต.กรุงหยัน อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช เสียชีวิตทั้งคู่ ส่วนนายทวีป และนางทัศนีย์ได้รับบาดเจ็บค่อนข้างสาหัส เหตุเกิดเมื่อกลางดึกของวันที่ 10 ก.ย. ตามข่าวที่ได้เสนอไปแล้วนั้น
พ.ต.ท.ณัฐศิษฐ์ มีนะกนิษฐ รอง ผกก.ป. ยังกล่าวต่ออีกว่า มีพยานเห็นชัดเจนว่าคนร้ายมีไม่น้อยกว่า 3 คน โดยมีรถยนต์กระบะเป็นพาหนะ ก่อนเกิดเหตุไม่ถึงสิบนาทีรถยนต์คันนี้ได้มาจอดหน้าบ้านปล่อยให้คนร้ายสองคนลงมาก่อเหตุ โดยคนขับได้ขับเลยไปจอดในมุมมืดห่างจากจุดเกิดเหตุ และสอดคล้องกับเหตุการณ์เมื่อพยานระบุว่าหลังจากที่เสียงปืนดังขึ้นหลายนัดรถยนต์คันนี้ได้ขับมาจอดหน้าบ้านที่เกิดเหตุ แต่เมื่อเห็นชาวบ้านหลายคนวิ่งมาดูจึงได้ขับเตลิดไป
“เราตรวจสอบประวัติแล้วพบว่า แก๊งปล้นทรัพย์รายนี้เป็นแก๊งใหญ่ โดยเฉพาะนายณัฐวุฒิมีประวัติต้องคดีปล้นทรัพย์ 1 คดี และคดีพยายามฆ่า 1 คดี เรื่องอยู่ในระหว่างการพิจารณาในชั้นศาล และยังมีคดีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์เกี่ยวพันอยู่อีกหลายคดี ส่วนนายสมศักดิ์ยังไม่พบประวัติก่อคดี และทั้งแก๊งนี้อยู่ในพื้นที่ ต.กรุงหยัน ขณะนี้รู้ตัวหมดแล้วว่าเป็นใครบ้าง
ส่วนรถคันนี้ก็รู้แล้วเช่นกันว่าเป็นของใคร เนื่องจากนางทัศนีภรรยาเจ้าของบ้านบอกว่าได้ขับมาวนเวียนป้วนเปี้ยนดูลาดเลาแล้วหลายวัน และก่อนเกิดเหตุก็เห็นรถคันนี้แล้วเช่นกัน กระทั่งเกิดเหตุการณ์ขึ้น ซึ่งขอแสดงความชื่นชมในความเด็ดเดี่ยวของนางทัศนี ซึ่งหากไม่มีสติหรือพยายามหลบหนีทั้งสามีและนางทัศนีรวมถึงลูกอาจจะต้องถึงแก่ชีวิต ซึ่งถ้าเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ 3-4 ครั้งรับรองว่าคนร้ายปล้นทรัพย์ลักษณะนี้หมดแน่นอน”
รอง ผกก.ป.สภ.อ.ทุ่งใหญ่ ยังกล่าวอีกว่า มูลเหตุในการปล้นทรัพย์นั้นเชื่อว่าคนร้ายได้ติดตามครอบครัวของนายประทีปมานานแล้ว เนื่องจากเป็นคนมีฐานะ มีสวนยางจำนวนมาก และจากการสอบถามถึงการเก็บทรัพย์สินไว้ที่บ้านนางทัศนี ยืนยันว่าจะไม่เก็บทรัพย์สินไว้ที่บ้าน คงมีเพียงทองคำหนัก 5 บาท และเงินสดอีกไม่กี่หมื่นบาทไว้ใช้จ่าย
นอกจากนี้ยังเชื่อว่า ด้วยข่าวลือที่ชาวบ้านเอาไปพูดกันในช่วงเช้าของวันที่เกิดเหตุระบุว่านายทวี ปและนางทัศนีได้เปียแชร์มีเงินสดหลายแสนบาท จึงเป็นแรงจูงใจให้คนร้ายเข้าปล้น
ส่วนในการดำเนินคดีนั้น ขั้นแรกนายทวีปและนางทัศนีย์ จะต้องถูกตั้งข้อหา “ฆ่าผู้อื่นโดยอ้างเหตุป้องกันภัยอันตรายอันจะมาถึงตัว” ซึ่งการกระทำดังกล่าวนั้นจากการสอบสวนและพิจารณาหลักฐานของตำรวจเชื่อว่าเป็นการป้องกันชีวิตและทรัพย์สินอันสมควรแก่เหตุ ซึ่งจะต้องรอให้สองสามีภรรยาออกมาจากโรงพยาบาลแล้วสอบสวนเพิ่มเติมก่อนที่จะมีความเห็นท้ายสำนวน “เห็นควรสั่งไม่ฟ้อง” เพื่อเสนอพนักงานอัยการพิจารณาตามกระบวนการ
พล.ต.ต.สุดใจ ญาณรัตน์ ผบก.ภ.นครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า หลังจากที่คนร้ายทั้งสองคนเสียชีวิตทำให้หลายคดีในพื้นที่มีความชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะคดีปล้นทรัพย์ที่แก๊งค์นี้จะมีการใช้พฤติกรรมก่อเหตุคือการสวมหมวกไอ้โม่งมีอาวุธครบมือเข้าไปปล้นทรัพย์ ซึ่งในการสอบสวนและสืบสวนค่อนข้างลำบากเนื่องจากประจักษ์พยานและพยานแวดล้อมเห็นหน้าคนร้ายไม่ชัดเจน ทำให้การดำเนินคดีเพื่อให้ไปถึงตัวคนร้ายค่อนข้างลำบาก
“แต่หลังจากคนร้ายทั้งสองคนถูกยิงตายทำให้การสืบสวนง่ายขึ้น ล่าสุดเราทราบถึงผู้ร่วมขบวนการหมดแล้ว รวมทั้งรถยนต์ที่เป็นพาหะนะมาส่งคนร้ายก่อเหตุ รอเพียงการสอบสวนเพื่อเชื่อมโยงไปให้ถึงเพื่อการออกหมายจับตามกระบวนการ คาดว่าจะสามารถจับกุมได้ยกแก๊งค์ในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน” ผบก.นครศรีธรรมราช กล่าว
ส่วนอาการของนายทวีป นวลขาว อายุ 40 ปี ที่ถูกคนร้ายยิงเข้าบริเวณหน้าอก และแพทย์ได้ส่งตัวเข้ารักษาต่อยังโรงพยาบาลมหาราช นครศรีธรรมราช ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุดอาการของนายประทีปปลอดภัยแล้ว โดยได้เดินทางออกจากโรงพยาบาลมหาราชเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 11 ก.ย.49 ซึ่งแพทย์ได้ทำหนังสือส่งตัวกลับไปรักษาตัวต่อยังโรงพยาบาลทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นสถานที่ในการรักษาตัวของนางทัศนีย์ นวลขาว อายุ 29 ปี ภรรยาสุดใจเด็ด ที่ถูกคนร้ายยิงเข้าบริเวณต้นแขนซ้ายทะลุกระดูกแตก
โดยแพทย์ได้ให้การผ่าตัดตกแต่งกระดูกเรียบร้อยแล้วเช่นกัน แต่ยังคงรักษาตัวอีกระยะหนึ่ง สำหรับนายทวีปที่ได้ย้ายกลับไปยังโรงพยาบาลทุ่งสง นั้นเพื่อสะดวกกับการสอบปากคำของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขณะเดียวกันมีตำรวจชุดสืบสวนของ สภ.อ.ทุ่งสง มาคอยดูแลความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด ด้วยหวั่นเกรงว่าอาจะเกิดการล้างแค้นจากแก๊งคนร้ายที่เหลือขึ้นได้