xs
xsm
sm
md
lg

จาก “พาวเวอร์เจล”ถึง“ระเบิดปลากระป๋อง” เมื่อรัฐตกเป็นฝ่ายตั้งรับ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ไชยยงค์ มณีพิลึก
นายกสมาคมนักหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย

ศูนย์ข่าวอิศรา สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย


สถานการณ์การก่อการร้ายเพื่อแบ่งแยกดินแดนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามยุทธการของกลุ่มแกนนำและแนวร่วมไม่มีการเปลี่ยนแปลง นั่นคือการฆ่ารายวันตามแผน”ใบไม้ร่วง” และการ ก่อวินาศกรรมสถานที่ต่างๆ เพื่อสร้างความเสียหายให้กับภาครัฐและผลทางจิตวิทยาในการสร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชน

แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือ พัฒนาการของการใช้ระเบิดในการก่อวินาศกรรม ซึ่งในอดีตนั้น เมื่อมีการวางระเบิดเกิดขึ้น หน่วยข่าวทุกสายจะมุ่งไปที่ “รุสดี เปาะเส็ง” และ “รุสรัน ยามูแรแน” ซึ่งเป็น 2 มือระเบิดระดับหัวหน้าของกลุ่มพูโลเป็นผู้ลงมือ และผลงานครั้งสุดท้ายของ รุสดี เปาะเส็ง คือ การวางระเบิดสถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่ เมื่อปี 2542 ช่วงต้นของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

ระเบิดครั้งนั้นยังเป็นระเบิดแสวงเครื่องรุ่นเก่า ที่ประกอบด้วยระเบิดที่เอ็นที ฝักแค เศษเหล็กที่ใช้ในการทำสะเก็ดระเบิด ถ่านไฟฉายและตั้งเวลาระเบิดโดยนาฬิกาปลุก ซึ่งส่วนใหญ่เป็น นาฬิกายี่ห้อ "ริทั่ม" หาซื้อง่ายราคาถูก

แต่หลังจากนั้นวิธีการผลิตระเบิดแสวงเครื่องเพื่อก่อความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็เปลี่ยนไป กลุ่มผู้ที่เป็นมือผลิตระเบิด ไม่ใช่ รุสดี เปาะเส้ง และ รุสรัน ยามูแลแน อีกต่อไป แต่เป็นกลุ่มแนวร่วมรุ่นใหม่ในขบวนการเยาวชนกูชาติปัตตานี หรือกลุ่ม "เปอมูดอ” ซึ่งเป็นเด็กหนุ่ม ที่เรียนจบจากวิทยาลัยเทคนิค และสถาบันต่างๆ ที่สอนในเรื่องของไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ เช่น กรณีของ “ไฟซอล หะยีสะมะแอ” ผู้ประกอบระเบิดที่ใช้วางในสนามบินหาดใหญ่ และ “ซุลกิฟลี บ่อทอง” ผู้ประกอบระเบิดที่ใช้วางดักรถลาดตระเวนของ อส. อ.รามัน จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 ศพ และ “โคเบ อินโด” ที่เป็นผู้ประกอบระเบิดดักรถของชุดคุ้มครองครู ที่ อ.รือเสาะ จนตำรวจเสียชีวิตทั้งหมด 5 นายด้วยกัน

ระเบิดในช่วงปี 2544-2547 ส่วนใหญ่ เป็นระเบิดที่ประกอบในกล่องทัปเปอร์แวร์และท่อพีวีซี โดยใช้ดินระเบิดที่มีสภาพเป็นเหมือน”ดินน้ำมัน” ยี่ห้ออีมัลชั่น หรือที่เรียกกันว่า”เพาเวอร์เจล” ซึ่งในขณะนั้นโรงงานผลิตเพาเวอร์เจล ตั้งอยู่ใน จ.สระบุรี แต่หลังจากที่โรงงานดังกล่าวเลิกการผลิต ประเทศมาเลเซียจึงเป็นตัวแทนจำหน่ายระเบิดเพาเวอร์เจลแทน ทำให้เกิดความยุ่งยากกับในการนำเข้าระเบิดจากประเทศมาเลเซีย ทำให้กลุ่มผู้ผลิตระเบิดแสวงเครื่องที่ใช้เพาเวอร์เจล เป็นส่วนประกอบ ต้องเฟ้นหาวัตถุระเบิดชนิดใหม่

นั่นคือที่มาของระเบิดแสวงเครื่องที่ประกอบในถังดับเพลิงน้ำหนัก 15 กิโลกรัม และระเบิดแสวงเครื่องที่ประกอบในกล่องเหล็ก โดยใช้ระเบิดไดนาไมต์ และปุ๋ยยูเรีย ซึ่งเป็นสิ่งที่หาง่ายในพื้นที่ โดยไดนาไมต์ หาได้จากอุตสาหกรรมเหมืองหิน ส่วนปุ๋ยยูเรีย มีทุกบ้านที่ทำการเกษตร

ต่อมา เมื่อพบว่า ปุ๋ยยูเรีย ให้อานุภาพในการระเบิดไม่รุนแรง กลุ่มผู้ผลิตระเบิด จึงได้เปลี่ยนเป็นปุ๋ยแอมโมเนียไนเตรตแทน ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้จากอุตสาหกรรมระเบิดหิน และมีโรงงาน ผลิตในนิคมอุตสาหกรรมประเทศมาเลเซียใกล้กับชายแดนไทย ระเบิดที่ประกอบในถึงดับเพลิง หรือในกล่องเหล็กมีอานุภาพรุนแรง สร้างความสูญเสียให้กับทั้งชีวิต และความเสียหายกับสถานที่ราชการ และสาธารณะประโยชน์อย่างมหาศาล

ข้อเสียของระเบิดดังกล่าวคือ น้ำหนักมาก ตั้งแต่ 5 -15 ก.ก. เคลื่อนย้ายลำบาก ใช้เวลาในการประกอบ ทั้งยังต้องมีเครื่องมือในการตัดเหล็ก เชื่อม ชิ้นส่วนและการนำไปวางในจุดต่างๆ

ส่วนดีของระเบิดแสวงเครื่องชนิดนี้คือ สามารถจุดระเบิดได้ด้วยโทรศัพท์มือถือ รีโมตคอนโทรล และต่อสายไฟจากตัวระเบิดจุดระเบิดด้วยแบตเตอรี่เมื่อเป้าหมายมาถึง รวมทั้งมีการพัฒนาระเบิดกลางอากาศ โดยการใช้หม้ออลูมิเนียมประกอบระเบิด นำไปแขวนไว้ตามต้นไม้ที่ “เป้าหมาย” ต้องผ่าน และทำการจุดระเบิดกลางอากาศขึ้น

แต่ระเบิดในวันที่ 15-16 มิ.ย. ที่ระเบิดสถานที่ราชการพร้อมกันใน 13 อำเภอ 50 กว่าจุด เจ้าหน้าที่พบว่า เป็นระเบิดที่ประกอบในภาชนะเล็กๆ เช่น กระป๋องสีสเปรย์ กระป๋องเครื่องดื่ม และล่าสุดเมื่อวันที่ 8 ก.ค. พบว่า แนวร่วม ได้นำปลากระป๋องสามแม่ครัว มาใช้ในการประกอบระเบิด เพื่อใช้ในการก่อวินาศกรรม

วิธีการประกอบระเบิดโดยใช้ภาชนะขนาดเล็ก เช่น กระป๋องเครื่องดื่ม กระป๋องสีสเปรย์และปลากระป๋องนั้น คนร้ายได้นำวัตถุภายในออก และบรรจุระเบิดแรงดันต่ำ เชื่อมวงจรอิเล็คทรอนิกส์เพื่อจุดระเบิด ตั้งเวลาให้ระเบิดโดยนาฬิกาควอตซ์ ซึ่งเป็นนาฬิกาข้อมือแทนโทรศัพท์ มือถือ

ระเบิดชนิดนี้ มีอำนาจการทำลายไม่รุนแรง เนื่องจากบรรจุในภาชนะขนาดเล็ก ไม่สามารถบรรจุระเบิดแรงสูงได้ เป็นระเบิดที่ตั้งเวลาล่วงหน้า ไม่สามารถกดระเบิด เมื่อเป้าหมายเข้าสู่จุดระเบิด

การที่แนวร่วมหันมาใช้ระเบิดขนาดเล็กมาใช้ก่อวินาศกรรม เป็นเพราะพกพาติดตัวง่าย และสามารถพาไปได้หลายๆ อัน สามารถเล็ดลอดเข้าไปยังสถานที่ราชการต่างๆ ที่ต้องการวางระเบิดได้ตามที่ต้องการ และสุดท้ายคือ ขบวนการหวังผลเพียงสร้างศักยภาพ ให้เห็นว่า มีขีดความสามารถในการก่อวินาศกรรม สถานที่ราชการได้ ไม่ว่าเจ้าหน้าที่จะป้องกันเข้มงวดอย่างไรก็ ตาม ทำให้สังคมเห็นว่า เจ้าหน้าที่อ่อนแอ ไร้ขีดความสามารถ โดยไม่ได้หวังผลในการวางระเบิดเพื่อทำลายล้าง ให้เกิดความสูญเสียชีวิต และทรัพย์สินของรัฐเป็นหลัก

มีการตรวจสอบข่าวในเชิงลึก พบว่านับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ขบวนการแบ่งแยกดินแดน จะใช้วิธีการสองแบบในการก่อวินาศกรรมนั้นคือ ใช้ระเบิดที่มีความรุนแรงต่อเป้าหมายทางการทหาร ตำรวจ เพื่อประสงค์ต่อชีวิต และทรัพย์สิน โดยฝีมือของกลุ่มนักรบ "อาร์เคเค” และใช้ระเบิดแรงดันต่ำ ที่ประกอบขึ้นในภาชนะขนาดเล็ก เช่นกระป๋องเครื่องดื่ม กระป๋องสี ปลากระป๋อง เครื่องปั้นดินเผาในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งวัสดุอื่นๆ ที่มีความหลากหลายในท้องถิ่น มีเป้าหมายเพื่อให้เกิดระเบิด เพื่อสร้างข่าว หวังผลทางด้านจิตวิทยามากกว่าความเสียหายของเป้าหมาย

บทสรุปท้ายสุดคือ วันนี้มีการสอนให้แนวร่วมสามารถผลิตระเบิดทั้งสองแบบได้ เป็นจำนวนนับร้อยคน กระจายกันอยู่ใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และขบวนการได้พัฒนาวิธีการประกอบระเบิด และวางระเบิดอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่เจ้าหน้าที่เป็นฝ่ายตั้งรับ มีหน้าที่"เก็บกู้" และตรวจสอบวิธีการของขบวนการเท่านั้น และสิ่งสำคัญที่เป็น"จุดบอด"คือ เราไม่เคยรู้ล่วงหน้าว่า เป้าหมายของ"ระเบิด"อยู่ที่ไหน ดังนั้นรัฐจึงล้มเหลว ในการป้องกันการก่อวินาศกรรมมาโดยตลอด
กำลังโหลดความคิดเห็น