สมศักดิ์ หุ่นงาม
ศูนย์ข่าวอิศรา สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
ในขณะที่ ศูนย์อินเทอร์เน็ตชุมชนประจำหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ ณ ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลในเขตพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามนโยบายรัฐบาลกำลังเดินหน้าอย่างต่อเนื่องอยู่นั้น แม้จะไม่มีรายงานระบุชัดเจนว่าอัตราการใช้งานของผู้ใช้บริการมีมากน้อยเพียงใด แต่ปัญหาหนึ่งที่ถือเป็นภาพสะท้อนน่าสนใจที่เกิดขึ้น คือ การไม่รู้หนังสือของเด็กๆ ที่นี่ยังมีอยู่
อารซาวานี เจะแว เด็กหญิงวัย 14 ปี จาก ต.บาเจาะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น ครอบครัวของเธอมีฐานะยากจน กว่าเพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ละแวกเดียวกัน โดยวัยแล้วเด็กสาวคนนี้ควรจะจบการศึกษาตามเกณฑ์ภาคบังคับของกระทรวงศึกษาธิการ แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เนื่องจากมีอาการป่วยด้วยโรคหูน้ำหนวก
“เด๊ะมีอาการน้ำไหลออกจากหูแล้วมีกลิ่นเหม็น พอไปโรงเรียนครูเลยบอกว่าให้หยุดไปก่อน หลังจากนั้น เขาก็ไม่ยอมไปโรงเรียนอีกเลย จะอยู่บ้านไม่ออกไปไหน คอยรับจ้างดูเด็กเล็กๆตอนเช้าๆ ที่พ่อแม่ของเด็กพวกนี้ต้องออกไปกรีดยาง” รอซือนะ ตะเยาะบา ผู้เป็นแม่เล่าผ่าน ซารีป๊ะ ดอเลาะ ครูฝ่ายปกครองศูนย์เด็กกำพร้ายากจนและอนาถาบ้านบานา
เธอบอกว่า บ้านที่อาศัยอยู่ในปัจจุบันเป็นเพียงกระต๊อบหลังเล็กๆ อยู่ด้วยกัน 5 ชีวิต คือ สามีที่มีสติไม่ค่อยสมประกอบจากอุบัติเหตุทำให้ไม่สามารถทำงานหาเลี้ยงครอบครัวได้ และลูกๆ วัย 8 ขวบ และ 5 ขวบ พร้อมทั้งลูกชายคนรองวัย 16 ปี ที่ต้องช่วยหาเลี้ยงครอบครัวด้วยการออกไปรับจ้างกรีดยางในช่วงเช้าๆ และเข้าป่าหาของป่าหรือนกมาขายให้กับเด็กๆ ในหมู่บ้านบ้าง

“ลูกชายคนโตมารับจ้างทำงานก่อสร้างอยู่ที่ยะลา ส่วนอารซาวานีพูด และฟังภาษาไทยไม่ได้เลย เพราะไม่เคยเข้าโรงเรียน นอกจากเรียนศาสนาที่โรงเรียนตาดีกา เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้กันบอกว่า ถ้าไม่ได้เรียนหนังสือเลยก็น่าสงสาร จึงปรึกษากับแม่ของก๊ะ ว่า จะส่งอารซาวานี เขาศูนย์เด็กกำพร้า” รือซือนะ เล่าด้วยสีหน้าหม่นหมอง
ขณะที่ยายของอารซาวานี บอกว่า ในบรรดาลูกสาวและลูกชายทั้ง 5 คนของเธอ รือซือนะมีฐานะที่ลำบากและยากจนมากที่สุด แม้ว่าเมื่อหลายปีก่อนจะแบ่งที่ดินให้กับครอบครัวนี้ไปแล้ว แต่พื้นที่ที่มีอยู่ก็เป็นเพียงที่ปลูกบ้านหลังเล็กๆเท่านั้น เธอไม่มีสวนยางเพียงพอที่จะแบ่งปันให้ลูกสาวคนนี้หรือคนไหนๆ
อามีเนาะ อุสมาน เพื่อนบ้านที่พาครอบครัวนี้มายังศูนย์เด็กกำพร้าฯ บอกว่า หากปล่อยให้อารซาวานี อยู่บ้านต่อไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ได้เรียนหนังสือ เมื่อเด็กสาวคนเติบโตขึ้นคงต้องลำบากแน่ๆ ดังนั้น จึงได้ปรึกษากับยายของเด็กช่วยกันออกค่าใช้จ่ายเพื่อเป็นค่าเล่าเรียนให้ โดยอามีเนาะช่วยเหลือเรื่องเสื้อผ้า ส่วนยายของอารซาวานีจะเป็นผู้จ่ายเงินค่าประกันระหว่างที่กำลังเรียนให้เป็นจำนวนเงิน 2,500 บาท
“ลูกคนอื่นๆ เรียนจบชั้น ป.6 แม่เป็นห่วง ไม่รู้จะทำยังไง ไม่เคยแม้แต่คิดว่าจะให้ลูกไปอยู่ที่ไหน หรือทำอะไร เพราะทุกๆ เช้าก็ออกไปกรีดยาง ไม่รู้ว่ามีศูนย์เด็กกำพร้า อามีเนาะไปบอกว่าให้เอาอารซาวานีมาไว้ที่นี่ ไกลเหลือเกิน เราต้องเสียค่าเช่ารถถึง 1,000 บาทกว่าจะมาถึง” รอซือนะ กล่าว
ซารีป๊ะ ดอเลาะ ครูฝ่ายปกครองศูนย์เด็กกำพร้าฯบ้านบานา จ.ปัตตานี บอกว่า เด็กส่วนใหญ่ที่เข้ามาอยู่ในศูนย์แห่งนี้มีฐานะค่อนข้างยากจน บางคนพ่อแม่เสียชีวิต บางรายพ่อเสียชีวิตแม่แต่งงานใหม่ และมีหลายๆ คนที่ทางครอบครัวส่งมาเรียนทางด้านศาสนาโดยเฉพาะไม่ว่าจะเป็นเด็กมุสลิมหรือไทยพุทธที่เปลี่ยนมาเข้ามูอัลลัฟ (นับถือศาสนาอิสสามตามสามีหรือภรรยา)
“กรณีของอารซาวานี เขาเป็นเด็กยากจน ศูนย์ต้องรับเขาไว้ แต่ว่าทุกคนที่เข้ามาอยู่ที่นี่ต้องจ่ายเงินประกันถือเป็นการทำสัญญา เงินจำนวนนี้เราจะคืนให้หลังจากเรียนจบ และทำงานให้ศูนย์ครบ 1 ปี เพราะที่ผ่านมาเคยมีเด็กเข้ามาเรียนแล้วทางบ้านก็ให้กลับไปแต่งงาน ย้ายไปเรียนที่อื่น หรือไปหางานทำ โดยที่เด็กยังเรียนไม่จบ เราอยากให้เด็กจบการศึกษาก่อน ออกไปแล้วจะได้อยู่ได้” ครูฝ่ายปกครองคนเดิม เล่า
การเรียนการสอนของศูนย์เด็กกำพร้าบ้านบานาไม่ได้มีเพียงการเรียนเฉพาะศาสนาเหมือนโรงเรียนปอเนาะทั่วไปแต่ยังส่งเสริมให้เด็กมีการฝึกอาชีพเสริม เช่น การตัดเย็บเสื้อผ้างานประดิษฐ์ดอกไม้ การทำอาหาร ฯลฯ
“เด็กที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้เลยอย่างอารซาวานี ไม่ค่อยมี ส่วนใหญ่จะจบการศึกษาภาคบังคับ ป.6 มาบ้างแล้ว มาอยู่ที่นี่ต่อไปก็คงจะพูดภาษาไทยได้บ้าง เมื่อก่อนก๊ะก็ไม่ค่อยกล้าคุย อาย แต่พอเวลาสอนไปเราจะใช้ภาษามลายูอย่างเดียวไม่ได้ ต้องใช้ภาษาไทยด้วย ก็พอจะฟังและพูดได้บ้าง แต่นี่เขาพูดภาษาไทยไม่ได้เลย คงต้องใช้เวลาพอสมควร อยู่ไปนานๆ ก็พูดได้เอง” ครูซารีป๊ะ กล่าว
ในขณะที่ อารซาวานี ทำได้เพียงนั่งมองหน้าคนที่นั่งล้อมรอบ และครอบครัวของเธอโดยไม่พูดอะไรเลย นอกจากส่งรอยยิ้มบางๆ ให้บางครั้งที่ผู้ใหญ่เอ่ยถึงชื่อของเธอ เด็กสาวคนนี้ไม่เคยจากครอบครัวไปไหน นอกจากเขตพื้นที่ ต.บาเจาะ ซึ่งเป็นบ้านที่คุ้นเคยแล้ว การห่างจากอ้อมอกแม่ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในชีวิต
“ยายอยากให้หลานรู้หนังสือ เห็นหลานคนอื่นๆ เขาพอจะอ่านหนังสือได้ เขียนหนังสือเป็นบ้าง แต่คนนี้ไม่รู้เรื่องเลย ยายไม่มีเงินมาก ยายเองก็ไม่ได้เรียนหนังสือ เป็นคนจน ถ้าเขามาอยู่ที่นี่แล้วเรียนเก่ง เป็นที่พึ่งของพ่อแม่และน้องๆ ได้ ก็พอแล้ว ในหมู่บ้านยังมีหลายคนที่เป็นแบบบี้ แต่เขายังไม่ได้มา” ยายของอารซาวานี บอกอย่างนั้น
โลกทางด้านการศึกษาอาจจะกว้างขึ้นทุกขณะ เพราะมีการสื่อสารไร้พรมแดนตามยุคโลกาภิวัตน์ แต่สำหรับชาวบ้านในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยังเข้าไม่ถึงระบบการศึกษาโลกของพวกเขากลับแคบลงเรื่อยๆ และเด็กที่ไม่รู้หนังสือ อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ไม่ได้เหลือแค่อารซาวานีคนเดียวแน่ๆ
ศูนย์ข่าวอิศรา สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
ในขณะที่ ศูนย์อินเทอร์เน็ตชุมชนประจำหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ ณ ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลในเขตพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามนโยบายรัฐบาลกำลังเดินหน้าอย่างต่อเนื่องอยู่นั้น แม้จะไม่มีรายงานระบุชัดเจนว่าอัตราการใช้งานของผู้ใช้บริการมีมากน้อยเพียงใด แต่ปัญหาหนึ่งที่ถือเป็นภาพสะท้อนน่าสนใจที่เกิดขึ้น คือ การไม่รู้หนังสือของเด็กๆ ที่นี่ยังมีอยู่
อารซาวานี เจะแว เด็กหญิงวัย 14 ปี จาก ต.บาเจาะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น ครอบครัวของเธอมีฐานะยากจน กว่าเพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ละแวกเดียวกัน โดยวัยแล้วเด็กสาวคนนี้ควรจะจบการศึกษาตามเกณฑ์ภาคบังคับของกระทรวงศึกษาธิการ แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เนื่องจากมีอาการป่วยด้วยโรคหูน้ำหนวก
“เด๊ะมีอาการน้ำไหลออกจากหูแล้วมีกลิ่นเหม็น พอไปโรงเรียนครูเลยบอกว่าให้หยุดไปก่อน หลังจากนั้น เขาก็ไม่ยอมไปโรงเรียนอีกเลย จะอยู่บ้านไม่ออกไปไหน คอยรับจ้างดูเด็กเล็กๆตอนเช้าๆ ที่พ่อแม่ของเด็กพวกนี้ต้องออกไปกรีดยาง” รอซือนะ ตะเยาะบา ผู้เป็นแม่เล่าผ่าน ซารีป๊ะ ดอเลาะ ครูฝ่ายปกครองศูนย์เด็กกำพร้ายากจนและอนาถาบ้านบานา
เธอบอกว่า บ้านที่อาศัยอยู่ในปัจจุบันเป็นเพียงกระต๊อบหลังเล็กๆ อยู่ด้วยกัน 5 ชีวิต คือ สามีที่มีสติไม่ค่อยสมประกอบจากอุบัติเหตุทำให้ไม่สามารถทำงานหาเลี้ยงครอบครัวได้ และลูกๆ วัย 8 ขวบ และ 5 ขวบ พร้อมทั้งลูกชายคนรองวัย 16 ปี ที่ต้องช่วยหาเลี้ยงครอบครัวด้วยการออกไปรับจ้างกรีดยางในช่วงเช้าๆ และเข้าป่าหาของป่าหรือนกมาขายให้กับเด็กๆ ในหมู่บ้านบ้าง
“ลูกชายคนโตมารับจ้างทำงานก่อสร้างอยู่ที่ยะลา ส่วนอารซาวานีพูด และฟังภาษาไทยไม่ได้เลย เพราะไม่เคยเข้าโรงเรียน นอกจากเรียนศาสนาที่โรงเรียนตาดีกา เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้กันบอกว่า ถ้าไม่ได้เรียนหนังสือเลยก็น่าสงสาร จึงปรึกษากับแม่ของก๊ะ ว่า จะส่งอารซาวานี เขาศูนย์เด็กกำพร้า” รือซือนะ เล่าด้วยสีหน้าหม่นหมอง
ขณะที่ยายของอารซาวานี บอกว่า ในบรรดาลูกสาวและลูกชายทั้ง 5 คนของเธอ รือซือนะมีฐานะที่ลำบากและยากจนมากที่สุด แม้ว่าเมื่อหลายปีก่อนจะแบ่งที่ดินให้กับครอบครัวนี้ไปแล้ว แต่พื้นที่ที่มีอยู่ก็เป็นเพียงที่ปลูกบ้านหลังเล็กๆเท่านั้น เธอไม่มีสวนยางเพียงพอที่จะแบ่งปันให้ลูกสาวคนนี้หรือคนไหนๆ
อามีเนาะ อุสมาน เพื่อนบ้านที่พาครอบครัวนี้มายังศูนย์เด็กกำพร้าฯ บอกว่า หากปล่อยให้อารซาวานี อยู่บ้านต่อไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ได้เรียนหนังสือ เมื่อเด็กสาวคนเติบโตขึ้นคงต้องลำบากแน่ๆ ดังนั้น จึงได้ปรึกษากับยายของเด็กช่วยกันออกค่าใช้จ่ายเพื่อเป็นค่าเล่าเรียนให้ โดยอามีเนาะช่วยเหลือเรื่องเสื้อผ้า ส่วนยายของอารซาวานีจะเป็นผู้จ่ายเงินค่าประกันระหว่างที่กำลังเรียนให้เป็นจำนวนเงิน 2,500 บาท
“ลูกคนอื่นๆ เรียนจบชั้น ป.6 แม่เป็นห่วง ไม่รู้จะทำยังไง ไม่เคยแม้แต่คิดว่าจะให้ลูกไปอยู่ที่ไหน หรือทำอะไร เพราะทุกๆ เช้าก็ออกไปกรีดยาง ไม่รู้ว่ามีศูนย์เด็กกำพร้า อามีเนาะไปบอกว่าให้เอาอารซาวานีมาไว้ที่นี่ ไกลเหลือเกิน เราต้องเสียค่าเช่ารถถึง 1,000 บาทกว่าจะมาถึง” รอซือนะ กล่าว
ซารีป๊ะ ดอเลาะ ครูฝ่ายปกครองศูนย์เด็กกำพร้าฯบ้านบานา จ.ปัตตานี บอกว่า เด็กส่วนใหญ่ที่เข้ามาอยู่ในศูนย์แห่งนี้มีฐานะค่อนข้างยากจน บางคนพ่อแม่เสียชีวิต บางรายพ่อเสียชีวิตแม่แต่งงานใหม่ และมีหลายๆ คนที่ทางครอบครัวส่งมาเรียนทางด้านศาสนาโดยเฉพาะไม่ว่าจะเป็นเด็กมุสลิมหรือไทยพุทธที่เปลี่ยนมาเข้ามูอัลลัฟ (นับถือศาสนาอิสสามตามสามีหรือภรรยา)
“กรณีของอารซาวานี เขาเป็นเด็กยากจน ศูนย์ต้องรับเขาไว้ แต่ว่าทุกคนที่เข้ามาอยู่ที่นี่ต้องจ่ายเงินประกันถือเป็นการทำสัญญา เงินจำนวนนี้เราจะคืนให้หลังจากเรียนจบ และทำงานให้ศูนย์ครบ 1 ปี เพราะที่ผ่านมาเคยมีเด็กเข้ามาเรียนแล้วทางบ้านก็ให้กลับไปแต่งงาน ย้ายไปเรียนที่อื่น หรือไปหางานทำ โดยที่เด็กยังเรียนไม่จบ เราอยากให้เด็กจบการศึกษาก่อน ออกไปแล้วจะได้อยู่ได้” ครูฝ่ายปกครองคนเดิม เล่า
การเรียนการสอนของศูนย์เด็กกำพร้าบ้านบานาไม่ได้มีเพียงการเรียนเฉพาะศาสนาเหมือนโรงเรียนปอเนาะทั่วไปแต่ยังส่งเสริมให้เด็กมีการฝึกอาชีพเสริม เช่น การตัดเย็บเสื้อผ้างานประดิษฐ์ดอกไม้ การทำอาหาร ฯลฯ
“เด็กที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้เลยอย่างอารซาวานี ไม่ค่อยมี ส่วนใหญ่จะจบการศึกษาภาคบังคับ ป.6 มาบ้างแล้ว มาอยู่ที่นี่ต่อไปก็คงจะพูดภาษาไทยได้บ้าง เมื่อก่อนก๊ะก็ไม่ค่อยกล้าคุย อาย แต่พอเวลาสอนไปเราจะใช้ภาษามลายูอย่างเดียวไม่ได้ ต้องใช้ภาษาไทยด้วย ก็พอจะฟังและพูดได้บ้าง แต่นี่เขาพูดภาษาไทยไม่ได้เลย คงต้องใช้เวลาพอสมควร อยู่ไปนานๆ ก็พูดได้เอง” ครูซารีป๊ะ กล่าว
ในขณะที่ อารซาวานี ทำได้เพียงนั่งมองหน้าคนที่นั่งล้อมรอบ และครอบครัวของเธอโดยไม่พูดอะไรเลย นอกจากส่งรอยยิ้มบางๆ ให้บางครั้งที่ผู้ใหญ่เอ่ยถึงชื่อของเธอ เด็กสาวคนนี้ไม่เคยจากครอบครัวไปไหน นอกจากเขตพื้นที่ ต.บาเจาะ ซึ่งเป็นบ้านที่คุ้นเคยแล้ว การห่างจากอ้อมอกแม่ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในชีวิต
“ยายอยากให้หลานรู้หนังสือ เห็นหลานคนอื่นๆ เขาพอจะอ่านหนังสือได้ เขียนหนังสือเป็นบ้าง แต่คนนี้ไม่รู้เรื่องเลย ยายไม่มีเงินมาก ยายเองก็ไม่ได้เรียนหนังสือ เป็นคนจน ถ้าเขามาอยู่ที่นี่แล้วเรียนเก่ง เป็นที่พึ่งของพ่อแม่และน้องๆ ได้ ก็พอแล้ว ในหมู่บ้านยังมีหลายคนที่เป็นแบบบี้ แต่เขายังไม่ได้มา” ยายของอารซาวานี บอกอย่างนั้น
โลกทางด้านการศึกษาอาจจะกว้างขึ้นทุกขณะ เพราะมีการสื่อสารไร้พรมแดนตามยุคโลกาภิวัตน์ แต่สำหรับชาวบ้านในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยังเข้าไม่ถึงระบบการศึกษาโลกของพวกเขากลับแคบลงเรื่อยๆ และเด็กที่ไม่รู้หนังสือ อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ไม่ได้เหลือแค่อารซาวานีคนเดียวแน่ๆ


