xs
xsm
sm
md
lg

แปลง ‘คุก’ เป็น ‘ครอบครัว’ แสงสว่างในแดนขังเรือนจำกลางนราธิวาส

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โดย...ณรรธราวุธ เมืองสุข และ วิริยา โมสิกะ ศูนย์ข่าวอิศรา

ทั้งที่กำลังย่างเข้าสู่หน้าร้อน –หน้าร้อนของประเทศไทยที่ว่ากันว่าฤทธิ์ของมันแทบทำให้ตับละลาย แต่ขณะที่เราอยู่บนทางหลวงสายมุ่งสู่จังหวัดนราธิวาสยามนี้กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงด้วยอิทธิพลของหมอกฝนที่ยังตกลงมาอย่างสม่ำเสมอสืบมาแต่ปลายปีก่อน ส่งผลให้อากาศยามเช้าตรู่เย็นชื่น สองข้างทางหนาทึบด้วยแมกไม้ นั่นรวมทั้งเทือกเขาบูโดซึ่งกำลังสำลักสายหมอกขาวโพลน นับเป็นภาพที่งดงามเกินบรรยายด้วยตัวอักษร เราใช้เวลาซึมซับความงามนั้นได้เพียงไม่นานนัก รถของเราก็แล่นเข้าสู่เขตเมืองนรา ขณะแสงเงินแสงทองกำลังทาบทาขึ้นเหนือทุ่งนาตะวันออก

ใครคนหนึ่งโพล่งขึ้นมาว่า “วันนี้เราจะไปเข้าคุก” หลังมองเห็นป้าย “เรือนจำกลางนราธิวาส” เด่นมาแต่ไกล –ใช่วันนี้เราจะพาไปเข้าคุก, แต่เป็นคุกในมิติที่แตกต่างจากคุกในภาพยนตร์โดยสิ้นเชิง

พวกเราเดินทางมาถึงเรือนจำกลางนราธิวาส และได้รับการต้อนรับอย่างดีจากเจ้าหน้าที่และผู้บัญชาการเรือนจำกลางนราธิวาส “บุญธรรม กำลังเกื้อ” ซึ่งเพิ่งย้ายมาประจำการที่นี่เมื่อ 3 ตุลาคม 2548 หลังจากประจำที่เรือนจำกลางเบตงนานหลายปี

ชาร้อนส่งกลิ่นหอมกรุ่น พร้อมปาท่องโก๋ร้อนๆ และสังขยาหอมหวาน นับเป็นมื้อเช้าที่วิเศษอย่างยิ่ง และหลังจากนั้นบทสนทนาก็เริ่มต้นขึ้น


“นี่...พวกเราทำเองทั้งนั้น” ท่าน ผบ.เรือนจำ ชี้ไปที่ถ้วยน้ำชาและปาท่องโก๋ เราต่างยิ้มภูมิใจและนับตนเองว่าเป็นบุคคลภายนอกไม่กี่คน ที่ได้มีโอกาสมานั่งจิบชาเคี้ยวปาท่องโก๋กลางเรือนจำ และด้วยรสชาติชั้นเยี่ยมจากฝีมือของผู้ต้องขัง

ผบ.เรือนจำเมืองนรากล่าวต่อว่า “ที่นี่เราอยู่กันเป็นครอบครัว เรามีนักโทษในความควบคุมมากกว่า 800 คน แต่อยู่ระหว่างการคุมขังเพื่อดำเนินและต่อสู้คดีในชั้นศาลประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ ผมทำตัวเป็นเสมือนหัวหน้าครอบครัว ทำให้ทุกคนเลิกคิดเลิกวาดภาพของคุกในหนังภาพยนตร์ให้หมด เพราะโลกมันหมุนมาไกลมากแล้ว”

ใครคนหนึ่งคิด, คุกเยี่ยงหนัง “ชอว์แช็งค์”หรือ “ขัง 8” และอีกหลากหลายเรื่องคงไม่ใช่สถานที่ให้พวกเรามาเยี่ยมเยือนอย่างสบายใจนัก หากแต่ในโลกของความเป็นจริง เมื่อเรามองผ่านรั้วลวดหนามและกรงเหล็กไปยังลานปูนกว้าง เราเห็นผู้ต้องขังหลายสิบคนกำลังนั่งจิบชาและพูดคุยรับแดดอุ่นๆ ตอนเช้ากันอย่างรื่นรมย์ ยิ่งวันนี้คือ วันรำลึกวันประสูติของท่านศาสดานบี มูฮัมหมัด หรือ “วันเมาลิด” ซึ่งทางเรือนจำอนุญาตให้เป็นวันหยุดของนักโทษ ทำให้สีหน้าท่าทางของนักโทษแต่ละคนดูผ่อนคลายอย่างยิ่ง

หากไม่มีกรงเหล็กแน่นหนาและรั้วลวดหนามพันธนาการพื้นที่อยู่ตรงหน้า ภาพที่เราเห็นคงเป็นร้านน้ำชายามเช้าที่ไหนสักแห่งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

“หลังจาก อธิบดีกรมราชทัณฑ์คนปัจจุบัน คือท่าน ‘นัทธี จิตสว่าง’ เข้ามาดำรงตำแหน่ง ท่านพยายามยกระดับเรือนจำ ให้พัฒนาเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั่วประเทศ นโยบายของกรมราชทัณฑ์คือการควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพ พัฒนาจิตวิสัยกลับตนเป็นคนดี และมีการแยกย่อยไปอีกว่า ต้องยึดกฎบัติของสหประชาชาติในการควบคุมดูแลผู้ต้องขังหรือนักโทษ คือ การกิน การหลับนอน และกรณีเจ็บป่วยต้องได้รับการรักษาพยาบาล ที่นี่เรายึดหลักดังกล่าวอย่างไม่บกพร่อง ทั้งยังพัฒนาเพิ่มเติมในส่วนที่เราเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี มีประโยชน์

เช่นผมจัดลานน้ำชาให้เพื่อให้พวกเขาได้ผ่อนคลายความตึงเครียดลง จัดกิจกรรมกีฬา กิจกรรมทางศาสนา ซึ่งผมเห็นว่ามันเป็นอีกวิธีหนึ่ง ที่จะทำให้ผู้ต้องโทษคดีที่เป็นภัยของสังคมได้มีเวลาสำหรับตนเองมากขึ้น เหมือนการเยียวยาจิตใจไปในตัว หากวันหนึ่งพวกเขาก้าวเท้าออกไปจากเรือนจำ เขาจะได้กลับตนเป็นคนดี” ผู้บัญชาการกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

นอกจากนั้น ท่านผู้บัญชาการเรือนจำยังบอกว่า ที่นี่มีการฝึกอาชีพหลายอย่างเพื่อให้นักโทษได้มีวิชาชีพติดตัวหลังได้รับอิสรภาพ และที่สำคัญการใช้ชีวิตของเหล่านักโทษทุกคนในรั้วเรือนจำแห่งนี้ ต้องได้รับการดูแลเยี่ยงบุคคลในครอบครัวเดียวกัน และ เท่าเทียมกันทุกคน

“นักโทษมากกว่า 800 คน ให้ผมเดินไปถามสารทุกข์สุกดิบทุกคนคงเป็นเรื่องยาก แต่ผมมีวิธีการดูแลของผมเอง นั่นคือ ผมมี ‘ตู้แดง’ เป็นสื่อกลางในการพูดคุย หรือแม้กระทั่งการร้องทุกข์ต่างๆไว้ ผมจะเป็นผู้ถือกุญแจไปไขด้วยตนเองสัปดาห์ละครั้ง ใครอยากคุยอะไรกับผมก็เขียนจดหมายมาใส่ไว้ ผมจะอ่าน และจะติดตามไปคุยกับเขาในภายหลัง
ส่วนการร้องทุกข์ต่างๆ หากอยู่พร้อมหน้า 800 กว่าคนพร้อมทั้งเจ้าหน้าที่เรือนจำ คงไม่มีใครกล้าร้อง ผมจึงให้เขียนจดหมายมาใส่ไว้ ปรากฏว่ามีมามากมายทีเดียว ผมก็ดูว่าใครมีปัญหาอะไร ขาดเหลือสิ่งใด อะไรที่ผมช่วยได้ก็จะช่วยทันที ไม่ว่าเรื่องอาหารการกิน ความสะอาด หรือการปรับปรุงสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในชีวิตประจำวันของพวกเขา แต่ทีนี้บางอย่างที่อยู่เหนือนอกกฎเกณฑ์ กฎระเบียบ หรือผิดกฎหมายเราก็ทำให้ไม่ได้”

แต่ท่าน ผบ.เรือนจำบอกว่า การสร้างบรรยากาศหรือการกำหนดกิจกรรมดังกล่าวคงทำไม่ได้เหมือนกันทุกเรือนจำเพราะข้อจำกัดของแต่ละเรือนจำไม่เหมือนกัน เช่น สถานที่กับจำนวนนักโทษ หรือแม้แต่ถัวเฉลี่ยของจำนวนระยะเวลาโทษจำคุกของนักโทษก็ต้องมาพิจารณา

“ที่นี่เรามีถัวเฉลี่ยโทษจำคุกไม่เกิน 15 ปี ส่วนโทษที่หนักกว่าจะถูกส่งไปที่อื่น หากใกล้ครบกำหนดโทษก็ค่อยกลับมาประจำที่นี่ต่อ การที่เราใช้วิธีการเช่นนี้ เพราะนักโทษคดีที่ต้องโทษไม่หนักมาก หมายถึงนักโทษที่มีโอกาสกลับคืนไปสู่สังคม เขาพร้อมได้รับการเยียวยาและเราก็ต้องรับหน้าที่นี้” ผบ.บุญธรรมกล่าว

หลังจากการพูดคุยอย่างเป็นกันเองสักครู่หนึ่ง ท่านผู้บัญชาการเรือนจำก็นำเราเปิดประตูรั้วเข้าไปด้านใน ที่นั่นจึงเป็นอีกโลกหนึ่งที่เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากเข้าไปสัมผัส และครั้งนี้คือประสบการณ์ชีวิตอันล้ำค่าของเราเอง

อย่างที่ท่าน ผบ.กล่าวไว้ “ทุกคนคือครอบครัวเดียวกัน” เพราะหลังจากท่านเดินเข้าไป ก็มีเสียงทักทายอย่างอ่อนน้อมจากทุกคน แต่เนื่องจากลานน้ำชามีพื้นที่จำกัดเหล่านักโทษจึงใช้วิธีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาใช้บริการ และเนื่องจากวันนี้คือวันหยุดพิเศษที่ทางเรือนจำกำหนดให้ นักโทษบางส่วนจึงใช้เวลาว่างดังกล่าวนั่งจับกลุ่มพูดคุยกับเพื่อนักโทษด้วยกันเอง

“ช่วงแรกที่เข้ามาอยู่ที่นี่รู้สึกเครียดและอึดอัดมาก เกร็ง กลัว ทำอะไรไม่ถูก แต่พอท่านผู้บังคับบัญชาการเรือนจำกลางท่านบุญธรรม ย้ายมาประจำที่นี่ ท่านได้จัดระเบียบผู้ต้องขังใหม่โดยยึดนโยบายการอยู่ร่วมกันแบบครอบครัว มีการนั่งจิบน้ำชาตอนเช้าและท่านสอนวิชาชีพให้กับนักโทษ เช่น เย็บอวน ช่างไม้ ช่างเหล็ก และที่สำคัญท่านมีการจัดหาผ้าที่ใช้ในการทำพิธีละหมาด ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองอยู่ที่บ้าน ทุกอย่างมันดีขึ้นมาก นักโทษทุกคนก็ชอบ” นักโทษชายวัย 35 ปีจากคดียาเสพติดรายหนึ่งบอกเล่าให้เราฟัง ขณะกรุ่นไอร้อนๆ จากถ้วยชายังไหลล่องกระทบแดดเช้า เขายกมันขึ้นมาจิบอย่างผ่อนคลายแล้วกล่าวต่อ

“พวกเราก็เข้าใจในสภาพที่ตนเองเป็นอยู่ทุกคน เรารู้ว่าเราคือ “นักโทษ” ที่การใช้ชีวิตถูกจำกัดทั้งกรอบและรูปแบบไม่เหมือนคนทั่วไป สถานที่ก็จำกัด แออัดด้วยคนหมู่มาก แต่ขณะเดียวกันเมื่อผู้ควบคุมดูแลพวกเราใจกว้าง และเข้าใจในความเป็นมนุษย์ สิ่งดีๆ หลายอย่างก็เกิดขึ้น ทำให้เรารู้ว่าชีวิตของเราก็มีค่าเช่นเดียวกับคนทั่วไป” นักโทษคนดังกล่าวบอกเล่าอย่างเป็นกันเอง

นักโทษชายจากคดีลักทรัพย์รายหนึ่งก็กล่าวเสริมว่า รู้สึกดีกว่าตอนแรกที่เข้ามาในสถานที่แห่งนี้ เพราะมีกิจกรรมให้ทำและที่สำคัญได้กินน้ำชาตอนเช้าด้วย อีกทั้ง ผบ.เรือนจำเป็นคนใจดีมีการสอบถามทุกข์สุขและพูดคุยทุกวันจนทำให้ตนผ่อนคลายและสบายใจมากขึ้น ญาติพี่น้องที่มาเยี่ยมเยียนเมื่อทราบข่าวก็รู้สึกสบายใจที่บุตรหลานหรือคนใกล้ชิดซึ่งถูกควบคุมตัวอยู่ ได้รับการปฏิบัติดูแลเป็นอย่างดีจากทางเรือนจำ

“ชา กาแฟ หรือปาท่องโก๋ ชุดหนึ่งก็เพียงแค่ 10 บาท วันหนึ่งก็ใช้เงินเพียงแค่นี้ ญาติพี่น้องก็ไม่เป็นห่วงอะไร ได้นั่งดื่มชา นั่งพูดคุยกับเพื่อนในตอนเช้า ทำให้เรารู้สึกว่าเรามีสังคมของเราเองที่ไม่แตกต่างจากภายนอกเท่า
ไหร่นัก”

ส่วนนักโทษชายคดียาเสพติดอีกราย วัย20 ปี ซึ่งมีพื้นเพอยู่ที่จังหวัดตราด แต่มาต้องโทษคดียาบ้าในจังหวัดนราธิวาสเล่าให้ฟังว่า ถูกจำคุกมาแล้ว 4 ปี และจะสิ้นสุดโทษในต้นปี 2550 นี้ และได้รับเลือกมาช่วยงานผู้คุมนอกห้องขัง เนื่องจากเป็นนักโทษชั้นดีซึ่งมาจากความประพฤติดี

หน้าที่หลักของเขานอกเหนือจากการช่วยเหลือผู้คุมในการควบคุมนักโทษด้วยกันแล้ว ก็มีหน้าที่ช่วยยกน้ำชา ทำหน้าที่เปิดประตู และดูแลเจ้าหน้าที่ เขามีเพื่อนนักโทษรุ่นพี่รุ่นพ่ออีกนับสิบคนที่ได้รับหน้าที่นี้ ซึ่งจะมีสิทธิพิเศษคือ ได้รับการคัดเลือกขอพระราชทานอภัยโทษเป็นลำดับแรก นอกจากนั้นสามารถเดินเข้าออกนอกเขตรั้วด้านในได้ตลอดเวลา

“ทุกคนชอบในสิ่งที่ตัวเองได้รับ ผมว่าน่าจะนำไปใช้ในเรือนจำอื่นบ้าง ที่นี่มีการเล่นกีฬาเพื่อผ่อนคลายมีการจัดแข่งขันฟุตบอล และเซปักตะกร้อสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ผมรู้สึกสบายใจและมีความสุขที่ได้เล่นกีฬา” เขากล่าว

หลังจากใช้เวลาเยี่ยมเยือนพูดคุยและเก็บภาพบรรยากาศในแดนขังนักโทษชายซักพัก ทาง ผบ.เรือนจำก็นำเราไปเยี่ยมแดนขังหญิงบ้าง นับเป็นความน่าตื่นเต้นไม่น้อยที่มีโอกาสเข้าไปสู่สถานที่ต้องห้ามแห่งนี้ ก้าวแรกที่ผ่านประตูเหล็กหนาทึบเข้าไป เราเห็นภาพนักโทษหญิงหลายกลุ่ม บ้างทำงาน บ้างนั่งพูดคุย กันอยู่ภายในอาคารหลังหนึ่งและเป็นหลังเดียวภายในพื้น ที่กว้าง ยาวไม่เกิน 20 เมตร ใบหน้าของพวกเธอถูกปรุงแต่งด้วยเครื่องสำอางประทินลงพวงแก้มทั้งสองข้าง และริมฝีปากที่ดูแล้วมีสีสันลักษณะไม่เหมือนกับผู้ต้องขังแม้แต่น้อย ทุกคนส่งรอยยิ้มให้กับพวกเราด้วยท่าทางสดชื่น

“ที่นี่มีนักโทษหญิงอยู่ประมาณ 40 คน ถ้าเฉลี่ยกับพื้นที่อาจจะแคบไปสักนิดแต่เราใช้วิธีการจัดการจัด รูปแบบการใช้ชีวิตที่ดี ทำให้พวกเธออยู่ได้ไม่อึดอัด เรียกว่าคับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก ที่นี่นอกจากผู้ต้องขังทุกคนจะต้องรับรูปแบบการฝึกวิชาชีพแล้ว เรายังจัดโครงการปลูกพืชสวนครัวรั้วกินได้ในกระถาง ให้พวกเธอคอยดูแลพรวนดิน ให้ปุ๋ยและรดน้ำ เพื่อที่จะให้พวกเธอผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น” “พี่จุ๊” จุฑา สารบรรณ หัวหน้าเจ้าหน้าที่คุมผู้ต้องขังหญิง บอกว่า ได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่เรือนจำและผู้บังคับบัญชาการเรือนจำกลางนราธิวาส จัดตั้งโครงการหลายอย่างขึ้นเพื่อให้ผู้ต้องขังได้ฝึกเป็นวิชาชีพเมื่อพ้นโทษ อันเป็นแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

นักโทษหญิงรายหนึ่งซึ่งต้องโทษคดียาเสพติด เธอเป็นชาวอำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรีแต่มาแต่งงานและใช้ชีวิตอยู่ในจังหวัดนราธิวาสหลายปีบอกว่า เธอรับตำแหน่งหัวหน้าแม่ครัว ตอนแรกที่มาอยู่ที่นี่ก็มีการแบ่งงานตามความถนัด เช่นคนที่มีอาชีพขายน้ำชาก็ให้ช่วยทำน้ำชา ส่วนตัวเองเคยมีอาชีพขายอาหารตามสั่งมาก่อนเลยมีความสามารถในการทำอาหาร ผู้คุมเลยให้เป็นหัวหน้าแม่ครัวเพื่อช่วยดูแลและแบ่งหน้าที่ตามความถนัดของแต่ละคน

นักโทษสาวใหญ่เล่าด้วยท่าทางอารมณ์ดีว่า ถ้าวันไหนปากไม่แดง หน้าไม่สวยจะทำอาหารไม่ได้เด็ดขาด เธอเล่าถึงกิจวัตรประจำวันว่าที่นี่มีการแบ่งงานกันตามหน้าที่ ซึ่งจะมีทั้งหมด 4 แผนกด้วยกันคือ ฝ่ายอาหาร, ทำความสะอาด, ฝ่ายซักรีด และฝ่ายรดน้ำผักสวนครัว แต่แผนกแม่ครัวจะต้องตื่นตี 5 เพื่อทำอาหารให้เพื่อนนักโทษรวมทั้งผู้คุมรับประทานทาน ตามปกติทุกคนจะตื่นนอนตอน 6 โมงเช้า และทำหน้าที่ของตัวเองซึ่งจะมีการแบ่งตามความเหมาะสม และเมื่อถึงเวลา 8.00 น. จะเป็นเวลาที่ทุกคนจะรับประทานอาหารเช้าร่วมกัน

ในเรือนจำกลางจังหวัดนราธิวาสจะมีผู้ที่ต้องโทษเบา และต้องถูกคุมขังแทนค่าปรับที่กระทรวงยุติธรรมรับหน้าที่นี้มาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกทั้งยังมีผู้ต้องหาที่ถูกฝากขังขณะคดีอยู่ในชั้นศาล ทุกๆ 12 วันจึงมีผู้ต้องขังรายใหม่เข้ามาเป็นสมาชิกอยู่ภายในกำแพงปูนหนาทึบสูงนับ 10 เมตรแห่งนี้

“น.ส.นา (นามสมมติ)” สมาชิกใหม่ซึ่งเพิ่งถูกนำมาฝากขัง เธอมีพื้นเพเดิมอยู่จังหวัดขอนแก่น ต้องโทษคดีค้ายาอี และอีกสองแม่ลูกจากคดียาบ้า ซึ่งเป็นชาวนราธิวาส เล่าว่าช่วงแรก ๆที่เข้ามารู้สึกอึดอัดมาก เนื่องจากถูกจำกัดพื้นที่อยู่ภายในบริเวณรั้วปูนขนาดใหญ่ เห็นดวงตะวันเฉพาะตอนเที่ยงวันและตอนบ่าย แต่อยู่ไปสักระยะหนึ่งก็เริ่มปรับตัวได้ ไม่เครียดมาก เพราะด้วยกิจกรรมที่ทางเรือนจำได้จัดให้ โดยเฉพาะการให้ดูแลต้นไม้ เหมือนเราได้ทำสมาธิไปด้วย จึงทำให้ความคิดดีๆ เกิดขึ้น

“การดูแลต้นไม้มันช่วยได้มากจริง มาแรกๆ เครียด แต่พอเราได้รดน้ำ ใส่ปุ๋ย ประคบประหงมมัน พอออกดอกออกผลเราก็ดีใจ เหมือนเราประสบความสำเร็จ ชีวิตของเรามีค่ามากขึ้นแล้วนะ เมื่อรวมกับข้อคิดที่ดีจากท่าน
ผบ.เรือนจำด้วย ทำให้เราได้พบเจอกับสิ่งที่ดีมากขึ้น ทำอะไรก็ต้องคิดตลอด” น.ส.นา (นามสมมติ) ผู้ต้องขังสาวชาวขอนแก่นบอกกับเรา

ด้าน “มีน๊ะห์ (นามสมมติ)” นักโทษหญิงชาวมุสลิมผู้ต้องโทษคดีลักทรัพย์ เล่าให้ฟังว่า การใช้ชีวิตที่นี่ไม่แตกต่างกับการใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านมากนัก นอกจากอิสรภาพและรูปแบบการดำรงชีวิตซึ่งได้รับการจัดสรรจากเรือนจำแล้ว หลายอย่างก็ไม่แตก ต่าง บางอย่างก็ดีกว่าการอยู่ที่บ้าน เช่น ได้อยู่กับตนเองมากขึ้น ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย นอกเหนือจากนั้นก็ตามรูปแบบที่ทางเรือนจำจัดให้ วันจันทร์-ศุกร์ ใส่เครื่องแบบนักโทษ เสาร์-อาทิตย์ ใส่ชุดบ้านตามสบาย และถ้าใครปฏิบัติตัวดีก็จะมีการเลื่อนขั้นให้เป็นนักโทษชั้นดีขึ้นไปและจะมีการลดโทษตามความเหมาะสม เธอบอกกับเราว่าลำดับขั้นของนักโทษมี 6 ขั้น คือ เลว,เลวมาก,ปานกลาง,ดี,ดีมาก และดีเยี่ยม

“ภัทรพงศ์ หมวกสกุล” หัวหน้าฝ่ายควบคุมผู้ต้องขัง และยังดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายฝึกวิชาชีพเรือนจำกลางจังหวัดนราธิวาส เปิดเผยว่า ทางเรือนจำมีการฝึกวิชาชีพให้หลายประเภท ตามแต่ใครจะเลือกหาความรู้ให้กับตนเอง เพราะจะเป็นวิชาชีพที่ติดตัวออกไปให้ใช้ประโยชน์หลังได้รับอิสรภาพ

“เรามีการสอนเรื่องช่างไม้, ช่างเชื่อม, การถักอวน-แห นอกจากนั้นยังมีวิชาชีพที่สอนให้เป็นรายชั่วโมง เช่น การเดินสายไฟ, การก่ออิฐ และการซ่อมจักรยานยนต์ นี่เป็นข้อตกลงระหว่างกรมพัฒนาฝีมือแรงงานกับกรมราช ทัณฑ์” ภัทรพงศ์กล่าวและว่าต่อ

“รูปแบบการดำเนินงานของเรือนจำกลางนราธิวาส จะว่าไปก็คล้ายกับรูปแบบ ‘ปลาทองในอ่างแก้ว’ คือการปฏิวัติองค์กรใหม่ สร้างทัศนคติ มุมมองให้สังคมเสียใหม่ จากแต่เดิมที่เคยเป็นระบบปิด เราก็ทำให้เป็นระบบเปิด สามารถตรวจสอบได้ โปร่งใสทั้งในแง่การบริหารงาน และด้านสิทธิมนุษยชน เราเปิดกว้างให้คนที่สนใจเข้ามาดูหรือตรวจสอบได้
การปฏิบัติต่อนักโทษหรือผู้ต้องขังของเราก็คำนึงถึงความปลอดภัยทั้งทางร่างกายและจิตใจ เราจะไม่ซ้ำเติมผู้ต้องหา ทุกคนได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมไม่ว่าจะต้องโทษข้อหาอะไร และเราจะทำให้ที่นี่เป็นบ้านของเขา ซึ่งสามารถใช้ชีวิตอยู่ในขณะต้องโทษได้อย่างปลอดภัย และพร้อมจะฟื้นฟูจิตใจของตนเองเป็นคนดี สามารถออกไปใช้ชีวิตร่วมกับสังคมได้ หลังได้รับอิสรภาพของตนเอง” หัวหน้าฝ่ายควบคุมและรักษาการณ์กล่าว
และเราตั้งคำถามว่า จากสถิติจำนวนนักโทษที่เพิ่มจำนวนขึ้นทุกขณะ สามารถเป็นตัวชี้วัดระดับปัญหาสังคมได้หรือไม่ นายภัทรพงศ์กล่าวว่า เรื่องการอาชญากรรมเกิดขึ้นมานานแล้วตั้งแต่ครั้งอดีต แต่ทุกวันนี้ระดับความรุนแรงได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก และยังมีเรื่องของยาเสพติดเข้ามาร่วมด้วย ยิ่งทำให้สังคมย่ำแย่หนักเข้าไปอีก

“ทั่วประเทศเรือนจำเกิดวิกฤติการณ์นักโทษล้นคุกเกือบทั้งสิ้น แม้แต่ของเราเอง หนทางแก้ไขคือต้องเรียกศีลธรรมให้กลับคืนสังคมโดยเร็วที่สุด ปลูกฝังจิตสำนึกความรับผิดชอบชั่วดีให้ทุกคน อย่าหลงมัวเมาไปในหนทางเสื่อม หากแต่เรายังวางเฉย เพิกเฉยต่อสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่เป็นอยู่ขณะนี้ก็จะถูกถ่ายทอดไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลานไม่มีที่สิ้นสุด และมันจะรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ” หัวหน้าฝ่ายควบคุมกล่าวทิ้งท้าย

ก่อนกลับ พวกเรายังได้เข้าร่วมงานเมาลิด (รำลึกวันประสูติของท่านศาสดา นบีมุฮัมหมัด) ซึ่งทางเรือนจำกลางจังหวัดนราธิวาสได้จัดขึ้นที่ศาลาอเนกประสงค์ภายในเรือนจำ มีนักโทษชาวมุสลิมเข้าร่วมพิธีหลายร้อยคน โดยทาง ผบ.เรือนจำได้เชิญประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาสเดินทางมาเป็นประธานในพิธี ซึ่งมีการอัญเชิญพระคัมภีร์ อัลกุรอาน มาอ่านโดยผู้ทรงคุณวุฒิของจังหวัดนราธิวาส และตัวแทนนักโทษภายในเรือนจำ หลังจากเสร็จสิ้นพิธีแล้วยังมีการแสดงการรำปันจักสีลัตโดยนักโทษที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างเชี่ยวชาญให้ทุกคนชมอีกด้วย

แดดเที่ยงแผดร้อน, เราเดินทางออกมาจากเรือนจำพร้อมกับรอยยิ้มอำลาจากเหล่าผู้คุมและนักโทษ หลายคนเดินมาส่งที่ประตูรั้ว พร้อมกับกล่าวอำลา “วันหลังแวะเข้ามาอีกนะ” เราต่างยิ้มขวยเขินกับไมตรีจิตดังกล่าว แต่หากเลือกได้ขอเข้ามาเยี่ยมเยือนในฐานะบุคคลภายนอกก็เพียงพอ แม้คำพูดของท่าน ผบ.เรือนจำจะยังคงดังก้องอยู่ในความประทับใจ “ที่นี่เหมือนบ้าน.... เราต่างเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน”...

แต่จะมีใครสักคนหรือไม่ ที่ออกจากบ้านหลังนี้แล้วต้องการกลับมาอาศัยเป็นครั้งที่สอง !?!...
กำลังโหลดความคิดเห็น