ศูนย์ข่าวอิศรา -ผ่านไปด้วยดีและประสบความสำเร็จเกินเป้าสำหรับการจัดงานสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จ.ปัตตานี ประจำปี 2549 ท่ามกลางความวิตกกังวลของทุกฝ่ายที่เป็นห่วงในเรื่องการก่อความไม่สงบ และเป็นที่น่ายินดีว่าตลอดช่วงเวลาของเดือนกุมภาพันธ์ โดยเฉพาะที่ จ.ปัตตานี สถานการณ์ค่อนข้างสงบ ทำให้การจัดกิจกรรมสมโภชเจ้าแม่ลิ่มกอเหนี่ยวในปีนี้คึกคักและมีสีสัน
“ประยูรเดช คณานุรักษ์” กรรมการเลขานุการมูลนิธิเทพปูชนียสถาน บอกว่า หลังจากเกิดสถานการณ์โดยเฉพาะปี 2547 ผู้ที่ศรัทธาในองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว นักท่องเที่ยวจากที่ต่างๆ หายไปเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะช่วงนั้นมีเหตุระเบิดพอดี ทำให้คนไม่กล้ามา แต่มาปีนี้ดีขึ้นหน่อยเริ่มมีนักท่องเที่ยวเข้ามา ทั้งจากต่างจังหวัดและต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย ซึ่งคาดหวังว่าสถานการณ์น่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ
จากตำนานย้อนรอยอดีตไม่ต่ำกว่าสามร้อยปี ประมาณสมัยอยุธยา ยุคนั้นปัตตานีเป็นเมืองท่าที่สำคัญย่านเอเชียอาคเนย์ มีชาวต่างชาติ เช่น จีน ริวกิว ญี่ปุ่น และฝรั่งชาติต่างๆมาติดต่อค้าขายมีความสัมพันธ์ไมตรีกับเจ้าเมืองปัตตานี โดยเฉพาะชาวจีนหนุ่มสาวสองพี่น้อง คือ ลิ้มเต้าเคี่ยน หรือลิ้มโต๊ะเคี่ยม พี่ชายและลิ้มกอเหนี่ยวน้องสาว มามีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับตำนานมัสยิดกรือเซะและปืนใหญ่พระยาตานี
ด้วยความใจเด็ดของลิ้มกอเหนี่ยวทำให้ชาวปัตตานีและชาวจังหวัดใกล้เคียง พากันนับถือยกย่องเป็นเจ้าแม่ผู้ให้ความเมตตาปราณี สมัยพระจีนคณานุรักษ์ นายอำเภอจีนปัตตานี (ตรงกับรัชสมัยรัชกาลที่ 5) ได้นำเอาต้นมะม่วงหิมพานต์ที่ลิ้มกอเหนี่ยวผูกคอตายมาแกะสลักเป็นเจ้าแม่ไว้สำหรับบูชา นำมาประดิษฐานไว้ที่ศาลเจ้าเล่งจูเกียง ถนนอาเนาะรู ตลาดเมืองปัตตานี ซึ่งในศาลเจ้านี้นอก จากจะมีรูปสลักองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ยังมีบรรดาพระที่ชาวจีนปัตตานีสมัยก่อนให้ความเคารพนับถือ เช่น เจ้าพ่อสือกง เจ้าพ่อฮกเต็ก เจ้าแม่กวนอิม
ในความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่มีในอดีตของผู้คนที่นับถือศาสนาอิสลาม ศาสนาจีน และศาสนาพุทธยังคงปรากฏมีให้เห็นถึงฐานที่อยู่อาศัยในย่านชุมชนต่างๆ รวมทั้งขนบธรรมเนียม ประเพณีต่างๆ ก็ได้มีการสืบทอดปฏิบัติกันมา
ถ้าพูดถึงคนไทยเชื้อสายจีนในพื้นที่ จ.ปัตตานี เมื่อเอ่ยถึง “นามสกุลคณานุรักษ์”คนส่วนใหญ่จะรู้จักกันดีว่าเป็นตระกูลเก่าแก่และมีความสัมพันธ์กับองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวมากทีเดียว
ประยูรเดช คณานุรักษ์ ทนายความหนุ่มวัย 50 ปี ปัจจุบันเป็นรองประธาน กกต.ปัตตานีบอกเล่าว่า บรรพบุรุษของเขาเป็นชาวจีนมาอยู่เมืองไทยในรัชสมัยรัชกาลที่ 3 ต่อมาได้ย้ายมาอยู่ปัตตานี ได้รับการแต่งตั้งเป็นหลวงสำเร็จกิจกรจางวาง ซึ่งเป็นนายอากรเก็บภาษีในชุมชนจีน เรียกว่า ตลาดจีนปัตตานี แถวถนนอาเนาะรูในปัจจุบัน
“คนจีนเมื่อไปอยู่ที่ไหนก็จะตั้งศาลเจ้า ที่ตั้งศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวหรือศาลเจ้าเล่งจูเกียง เดิมเป็นศาลเจ้าที่ ต่อมาได้มีการบูรณะเอาองค์พระหมอเป็นประธาน และอันเชิญองค์เจ้าแม่ลิ่มกอเหนี่ยวจากบ้านกรือเซะมาด้วยในปี 2427”
ประยูรเดช ยังบอกว่า ต้นตระกูลเดิมของคณานุรักษ์ คือ แซ่ตัน ถ้านับชั้นของตระกูล มีทั้งหมด 10 ชั้น โดยตนเป็นชั้นที่ 6 ซึ่งปัจจุบันมีทั้งญาติพี่น้องทั้งเป็นเชื้อสายอาหรับ มุสลิม และจีน แยกย้ายกันอยู่ทั้งที่ปัตตานี กรุงเทพฯ โดยเฉพาะเพื่อนที่เป็นมุสลิมมีมาก เราอยู่ร่วมกันได้ มีความผูกพันกัน
“เป็นการยอมรับกันในความเชื่อของแต่ละคน งานประเพณีของใครก็ปฏิบัติตามประเพณีของตน สมัยก่อนตอนผมเป็นเด็กก็ไปงานสุนัต หรืองานแต่งงาน คนมุสลิมก็ไปงานแต่งงานคนจีน คนจีนก็ไปงานแต่งงานของคนมุสลิม เป็นความผูกพันและยอมรับในวัฒนธรรมที่ต่างกันไม่ได้แบ่งแยก แต่มาระยะหลัง สถานการณ์ทำให้เกิดความเหินห่างกัน ต่างคนมายึดชนชาติมากขึ้น เมื่อก่อนไม่มีใครมาคิดว่าฉันเป็นมุสลิม คุณคือคนจีน กินข้าวกล่องเดียวกันไม่มีใครคิด แต่เดี๋ยวนี้เริ่มมีคนคิดเพราะสถานการณ์ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจกัน”
เขาสรุปว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตมาก “สิ่งที่เกิดขึ้นเราไม่รู้จุดหมายปลายทาง ไม่รู้ว่าจะแก้อย่างไร ไม่รู้ว่าใครคือคนทำ ซึ่งมันต่างกับสมัยก่อนเมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นเราคาดเดาได้ว่าเป็นใครสาเหตุเกิดจากอะไร ผมเองที่บ้านทำสวนยาง เกิดเหตุบ่อย เช่น ปิดสวน มีหนังสือเรียกค่าคุ้มครอง โดนประจำ แต่ว่าเมื่อโดนแล้ว เราสามารถพูดคุยได้ว่าเกิดจากอะไรแล้วในที่สุดก็เคลียร์กันได้ ไม่เคยจ่าย แต่แก้ปัญหาได้โดยการปรับความเข้าใจกัน”
“สาเหตุเพราะเขาไม่พอใจระบบทุนนิยมรึเปล่า แต่ในส่วนของคนจีนในพื้นที่เองผมคิดว่าไม่ได้ทำให้เกิดช่องว่าง เราพึ่งพาอาศัยกัน มีปัญหาอะไรก็ลงไปแก้ปัญหาอย่าง เช่น ที่ชุมชนกรือเซะ ผมพยายามเข้าไปร่วมกับชุมชน เช่น เทศกาลถือศีลอด ก็เอาข้าวสาร อินทผาลัม ไปช่วยชาวบ้านที่เดือดร้อน”
“กระทบกับการประกอบอาชีพ บางคนหนีปิดกิจการไปอยู่ที่กรุงเทพ หาดใหญ่ บางคนตามลูกหลานไปอยู่ด้วย ส่วนคนที่อยู่ก็ไม่มีการลงทุนเพิ่ม แต่ถ้าย้ายได้ก็จะย้ายไป ดังนั้นขณะนี้การขยายกิจการในหมู่คนจีนไม่มี มีแต่การชะลอ ซึ่งเป็นผลกระทบที่เห็นชัดเจน” เขาสรุปตอนท้ายอีกครั้งถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา
ในฐานะที่เป็นคนปัตตานี ประยูรเดช ยังเล่าต่อว่า เขาเองได้พยายามจะดึงคนให้กลับมา ซึ่งในการจัดงานสมโภชเจ้าแม่ลิ่มกอเหนี่ยว ก็พยายามจะบอกว่าเราไม่มีปัญหา ให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยอะๆ ในส่วนของชาวบ้านก็ให้พยายามพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว เพราะคนภายนอกจะได้นำเงินเข้ามาจับจ่ายซื้อของพื้นเมือง เช่น เสื้อผ้าบาติก อาหารทะเล
เมื่อถูกถามว่าเคยคิดจะย้ายไหม เขาตอบโดยไม่ต้องคิดว่า “ไม่คิดย้ายไปไหน นอก จากไม่คิดแล้วยังพยายามดึงให้คนกลับมา เพราะที่นี่ดีทุกอย่าง สภาพภูมิอากาศ ภูมิประเทศ ทรัพยากรทุกอย่างดีหมด มีเรื่องสถานการณ์อย่างเดียวซึ่งจะต้องมีการชี้แจงทำความเข้าใจกัน ซึ่งผมเชื่อว่าแก้ได้”
ปัญหาที่เกิดเป็นความไม่เข้าใจที่รุนแรง ใน แนวคิดที่ไม่ประสานกัน ถ้าเรายอมรับในเหตุ ผลที่ว่าโลกได้เปลี่ยนแปลง การอยู่อาศัยก็ต้องเปลี่ยนไม่ว่าจะอยู่ชนชาติไหน เดี๋ยวนี้ไม่มีพรมแดนแล้วจะอยู่อาศัยตรงไหนก็ได้ เราต้องยอมรับในสิ่งที่พัฒนาไป ในขณะเดียวกันก็ต้องสร้างความเข้าใจว่าตรงไหนผิด ตรงไหนถูก ยอมรับกัน เพราะวัฒนธรรม ความเชื่อของแต่ละคนต้องมี เพียง แต่ว่าทำอย่างไรที่จะให้เขายอมรับในวัฒนธรรมที่ต่างกัน ไม่รังแกกัน ไม่ทำร้ายกัน ปัญหาต่างน่าจะคลี่คลายลงได้
เมื่อถูกถามถึงนโยบายของรัฐบาลที่พัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประยูรเดช บอกว่า เท่าที่ดูในภาพรวมไปกันได้ แต่ในทางปฏิบัติไม่ได้ทำ ผมได้เรียกร้องหลายเรื่อง แต่รัฐบาลไม่ทำ เช่น จะต้องทำความเข้าใจระหว่าง คนจีน พุทธ มุสลิม ในเรื่องของปัญหาประวัติศาสตร์ที่เกิดความขัดแย้งกัน ควรจะมาพูดจากันว่าอันไหนทำได้หรือทำไม่ได้ เช่น ตำนานเจ้าแม้ลิ่มกอเหนี่ยว ประวัติศาสตร์ปัตตานีให้ชัดเจน ซึ่งแต่ละคนพูดถูกแต่เอามาปนกันในช่วงระยะเวลา
ดังนั้น อยากให้เจ้าหน้าที่ของรัฐทำงานอย่างเต็มที่ ปฏิบัติเป็นรูปธรรม เพราะเท่าที่เห็นยังเป็นความขัดแย้งในระดับสูงบ้าง ระดับผู้ปฏิบัติบ้าง ในส่วนของภาคเอกชนเองมีความตั้งใจที่จะช่วยแก้ปัญหา รัฐต้องส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามาสวนร่วมให้มาก โดยเฉพาะด้านวัฒนธรรม ประเพณี ซึ่งรัฐต้องเข้าใจและเป็นแกนหลักในการประสานงานเพื่อให้เกิดความสมานฉันท์
ในคำบอกเล่าของคุณประยูรเดช คณานุรักษ์ ซึ่งเป็นคนไทยเชื้อสายจีนคนหนึ่ง ได้สะท้อนให้เห็นชัดว่าในความแตกต่างทางวัฒนธรรม ของประชาชนเชื้อสายจีน มุสลิม และ พุทธ ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ได้เป็นอุปสรรคของการอยู่ร่วมกัน แต่ในทางกลับกันพวกเขาสามารถอยู่ร่วมกันได้ มีความผูกพันแบบฉันท์พี่น้อง
“ประยูรเดช คณานุรักษ์” กรรมการเลขานุการมูลนิธิเทพปูชนียสถาน บอกว่า หลังจากเกิดสถานการณ์โดยเฉพาะปี 2547 ผู้ที่ศรัทธาในองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว นักท่องเที่ยวจากที่ต่างๆ หายไปเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะช่วงนั้นมีเหตุระเบิดพอดี ทำให้คนไม่กล้ามา แต่มาปีนี้ดีขึ้นหน่อยเริ่มมีนักท่องเที่ยวเข้ามา ทั้งจากต่างจังหวัดและต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย ซึ่งคาดหวังว่าสถานการณ์น่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ
จากตำนานย้อนรอยอดีตไม่ต่ำกว่าสามร้อยปี ประมาณสมัยอยุธยา ยุคนั้นปัตตานีเป็นเมืองท่าที่สำคัญย่านเอเชียอาคเนย์ มีชาวต่างชาติ เช่น จีน ริวกิว ญี่ปุ่น และฝรั่งชาติต่างๆมาติดต่อค้าขายมีความสัมพันธ์ไมตรีกับเจ้าเมืองปัตตานี โดยเฉพาะชาวจีนหนุ่มสาวสองพี่น้อง คือ ลิ้มเต้าเคี่ยน หรือลิ้มโต๊ะเคี่ยม พี่ชายและลิ้มกอเหนี่ยวน้องสาว มามีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับตำนานมัสยิดกรือเซะและปืนใหญ่พระยาตานี
ด้วยความใจเด็ดของลิ้มกอเหนี่ยวทำให้ชาวปัตตานีและชาวจังหวัดใกล้เคียง พากันนับถือยกย่องเป็นเจ้าแม่ผู้ให้ความเมตตาปราณี สมัยพระจีนคณานุรักษ์ นายอำเภอจีนปัตตานี (ตรงกับรัชสมัยรัชกาลที่ 5) ได้นำเอาต้นมะม่วงหิมพานต์ที่ลิ้มกอเหนี่ยวผูกคอตายมาแกะสลักเป็นเจ้าแม่ไว้สำหรับบูชา นำมาประดิษฐานไว้ที่ศาลเจ้าเล่งจูเกียง ถนนอาเนาะรู ตลาดเมืองปัตตานี ซึ่งในศาลเจ้านี้นอก จากจะมีรูปสลักองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ยังมีบรรดาพระที่ชาวจีนปัตตานีสมัยก่อนให้ความเคารพนับถือ เช่น เจ้าพ่อสือกง เจ้าพ่อฮกเต็ก เจ้าแม่กวนอิม
ในความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่มีในอดีตของผู้คนที่นับถือศาสนาอิสลาม ศาสนาจีน และศาสนาพุทธยังคงปรากฏมีให้เห็นถึงฐานที่อยู่อาศัยในย่านชุมชนต่างๆ รวมทั้งขนบธรรมเนียม ประเพณีต่างๆ ก็ได้มีการสืบทอดปฏิบัติกันมา
ถ้าพูดถึงคนไทยเชื้อสายจีนในพื้นที่ จ.ปัตตานี เมื่อเอ่ยถึง “นามสกุลคณานุรักษ์”คนส่วนใหญ่จะรู้จักกันดีว่าเป็นตระกูลเก่าแก่และมีความสัมพันธ์กับองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวมากทีเดียว
ประยูรเดช คณานุรักษ์ ทนายความหนุ่มวัย 50 ปี ปัจจุบันเป็นรองประธาน กกต.ปัตตานีบอกเล่าว่า บรรพบุรุษของเขาเป็นชาวจีนมาอยู่เมืองไทยในรัชสมัยรัชกาลที่ 3 ต่อมาได้ย้ายมาอยู่ปัตตานี ได้รับการแต่งตั้งเป็นหลวงสำเร็จกิจกรจางวาง ซึ่งเป็นนายอากรเก็บภาษีในชุมชนจีน เรียกว่า ตลาดจีนปัตตานี แถวถนนอาเนาะรูในปัจจุบัน
“คนจีนเมื่อไปอยู่ที่ไหนก็จะตั้งศาลเจ้า ที่ตั้งศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวหรือศาลเจ้าเล่งจูเกียง เดิมเป็นศาลเจ้าที่ ต่อมาได้มีการบูรณะเอาองค์พระหมอเป็นประธาน และอันเชิญองค์เจ้าแม่ลิ่มกอเหนี่ยวจากบ้านกรือเซะมาด้วยในปี 2427”
ประยูรเดช ยังบอกว่า ต้นตระกูลเดิมของคณานุรักษ์ คือ แซ่ตัน ถ้านับชั้นของตระกูล มีทั้งหมด 10 ชั้น โดยตนเป็นชั้นที่ 6 ซึ่งปัจจุบันมีทั้งญาติพี่น้องทั้งเป็นเชื้อสายอาหรับ มุสลิม และจีน แยกย้ายกันอยู่ทั้งที่ปัตตานี กรุงเทพฯ โดยเฉพาะเพื่อนที่เป็นมุสลิมมีมาก เราอยู่ร่วมกันได้ มีความผูกพันกัน
“เป็นการยอมรับกันในความเชื่อของแต่ละคน งานประเพณีของใครก็ปฏิบัติตามประเพณีของตน สมัยก่อนตอนผมเป็นเด็กก็ไปงานสุนัต หรืองานแต่งงาน คนมุสลิมก็ไปงานแต่งงานคนจีน คนจีนก็ไปงานแต่งงานของคนมุสลิม เป็นความผูกพันและยอมรับในวัฒนธรรมที่ต่างกันไม่ได้แบ่งแยก แต่มาระยะหลัง สถานการณ์ทำให้เกิดความเหินห่างกัน ต่างคนมายึดชนชาติมากขึ้น เมื่อก่อนไม่มีใครมาคิดว่าฉันเป็นมุสลิม คุณคือคนจีน กินข้าวกล่องเดียวกันไม่มีใครคิด แต่เดี๋ยวนี้เริ่มมีคนคิดเพราะสถานการณ์ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจกัน”
เขาสรุปว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตมาก “สิ่งที่เกิดขึ้นเราไม่รู้จุดหมายปลายทาง ไม่รู้ว่าจะแก้อย่างไร ไม่รู้ว่าใครคือคนทำ ซึ่งมันต่างกับสมัยก่อนเมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นเราคาดเดาได้ว่าเป็นใครสาเหตุเกิดจากอะไร ผมเองที่บ้านทำสวนยาง เกิดเหตุบ่อย เช่น ปิดสวน มีหนังสือเรียกค่าคุ้มครอง โดนประจำ แต่ว่าเมื่อโดนแล้ว เราสามารถพูดคุยได้ว่าเกิดจากอะไรแล้วในที่สุดก็เคลียร์กันได้ ไม่เคยจ่าย แต่แก้ปัญหาได้โดยการปรับความเข้าใจกัน”
“สาเหตุเพราะเขาไม่พอใจระบบทุนนิยมรึเปล่า แต่ในส่วนของคนจีนในพื้นที่เองผมคิดว่าไม่ได้ทำให้เกิดช่องว่าง เราพึ่งพาอาศัยกัน มีปัญหาอะไรก็ลงไปแก้ปัญหาอย่าง เช่น ที่ชุมชนกรือเซะ ผมพยายามเข้าไปร่วมกับชุมชน เช่น เทศกาลถือศีลอด ก็เอาข้าวสาร อินทผาลัม ไปช่วยชาวบ้านที่เดือดร้อน”
“กระทบกับการประกอบอาชีพ บางคนหนีปิดกิจการไปอยู่ที่กรุงเทพ หาดใหญ่ บางคนตามลูกหลานไปอยู่ด้วย ส่วนคนที่อยู่ก็ไม่มีการลงทุนเพิ่ม แต่ถ้าย้ายได้ก็จะย้ายไป ดังนั้นขณะนี้การขยายกิจการในหมู่คนจีนไม่มี มีแต่การชะลอ ซึ่งเป็นผลกระทบที่เห็นชัดเจน” เขาสรุปตอนท้ายอีกครั้งถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา
ในฐานะที่เป็นคนปัตตานี ประยูรเดช ยังเล่าต่อว่า เขาเองได้พยายามจะดึงคนให้กลับมา ซึ่งในการจัดงานสมโภชเจ้าแม่ลิ่มกอเหนี่ยว ก็พยายามจะบอกว่าเราไม่มีปัญหา ให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยอะๆ ในส่วนของชาวบ้านก็ให้พยายามพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว เพราะคนภายนอกจะได้นำเงินเข้ามาจับจ่ายซื้อของพื้นเมือง เช่น เสื้อผ้าบาติก อาหารทะเล
เมื่อถูกถามว่าเคยคิดจะย้ายไหม เขาตอบโดยไม่ต้องคิดว่า “ไม่คิดย้ายไปไหน นอก จากไม่คิดแล้วยังพยายามดึงให้คนกลับมา เพราะที่นี่ดีทุกอย่าง สภาพภูมิอากาศ ภูมิประเทศ ทรัพยากรทุกอย่างดีหมด มีเรื่องสถานการณ์อย่างเดียวซึ่งจะต้องมีการชี้แจงทำความเข้าใจกัน ซึ่งผมเชื่อว่าแก้ได้”
ปัญหาที่เกิดเป็นความไม่เข้าใจที่รุนแรง ใน แนวคิดที่ไม่ประสานกัน ถ้าเรายอมรับในเหตุ ผลที่ว่าโลกได้เปลี่ยนแปลง การอยู่อาศัยก็ต้องเปลี่ยนไม่ว่าจะอยู่ชนชาติไหน เดี๋ยวนี้ไม่มีพรมแดนแล้วจะอยู่อาศัยตรงไหนก็ได้ เราต้องยอมรับในสิ่งที่พัฒนาไป ในขณะเดียวกันก็ต้องสร้างความเข้าใจว่าตรงไหนผิด ตรงไหนถูก ยอมรับกัน เพราะวัฒนธรรม ความเชื่อของแต่ละคนต้องมี เพียง แต่ว่าทำอย่างไรที่จะให้เขายอมรับในวัฒนธรรมที่ต่างกัน ไม่รังแกกัน ไม่ทำร้ายกัน ปัญหาต่างน่าจะคลี่คลายลงได้
เมื่อถูกถามถึงนโยบายของรัฐบาลที่พัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประยูรเดช บอกว่า เท่าที่ดูในภาพรวมไปกันได้ แต่ในทางปฏิบัติไม่ได้ทำ ผมได้เรียกร้องหลายเรื่อง แต่รัฐบาลไม่ทำ เช่น จะต้องทำความเข้าใจระหว่าง คนจีน พุทธ มุสลิม ในเรื่องของปัญหาประวัติศาสตร์ที่เกิดความขัดแย้งกัน ควรจะมาพูดจากันว่าอันไหนทำได้หรือทำไม่ได้ เช่น ตำนานเจ้าแม้ลิ่มกอเหนี่ยว ประวัติศาสตร์ปัตตานีให้ชัดเจน ซึ่งแต่ละคนพูดถูกแต่เอามาปนกันในช่วงระยะเวลา
ดังนั้น อยากให้เจ้าหน้าที่ของรัฐทำงานอย่างเต็มที่ ปฏิบัติเป็นรูปธรรม เพราะเท่าที่เห็นยังเป็นความขัดแย้งในระดับสูงบ้าง ระดับผู้ปฏิบัติบ้าง ในส่วนของภาคเอกชนเองมีความตั้งใจที่จะช่วยแก้ปัญหา รัฐต้องส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามาสวนร่วมให้มาก โดยเฉพาะด้านวัฒนธรรม ประเพณี ซึ่งรัฐต้องเข้าใจและเป็นแกนหลักในการประสานงานเพื่อให้เกิดความสมานฉันท์
ในคำบอกเล่าของคุณประยูรเดช คณานุรักษ์ ซึ่งเป็นคนไทยเชื้อสายจีนคนหนึ่ง ได้สะท้อนให้เห็นชัดว่าในความแตกต่างทางวัฒนธรรม ของประชาชนเชื้อสายจีน มุสลิม และ พุทธ ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ได้เป็นอุปสรรคของการอยู่ร่วมกัน แต่ในทางกลับกันพวกเขาสามารถอยู่ร่วมกันได้ มีความผูกพันแบบฉันท์พี่น้อง