ตรัง – โรงพยาบาลย่านตาขาว กลับลำปัดรับผิดชอบ 2 ครอบครัว “จันทร์ทอง-บุญอยู่” สลับตัวเด็กจากโรงพยาบาลนานกว่า 10 ปี พ่อแม่เอะใจยกโขยงตรวจดีเอ็นเอจนถึงบางอ้อ โร่หารองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดตรัง ขอความเป็นธรรมเยียวยาด้านสภาพจิตใจเด็ก
วานนี้ (9 ม.ค.) นายอุดมเดช วรรณบวร รองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดตรัง, นายธนิต ชูเพ็ง สมาชิกสภาจังหวัดตรัง เขตกิ่ง อ.หาดสำราญ ได้นำราษฏร 2 ครอบครัว ซึ่งเป็นชาว ต.หาดสำราญ เข้าร้องเรียนต่อสื่อมวลชน ว่า ถูกโรงพยาบาลย่านตาขาว สลับตัวเด็กตั้งแต่คลอดที่โรงพยาบาล
โดยเหตุเกิดเมื่อปี 2538 ทั้งสองครอบครัว ประกอบด้วย ครอบครัวของนายชำนาญ กับนางประทุม จันทร์ทอง อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 72 หมู่ที่ 9 ต.หาดสำราญ กิ่ง อ.หาดสำราญ นำบุตรสาวที่ตัวเองเลี้ยงดูมาตั้งแต่แรกคลอด โดยไม่ทราบว่า มีการสลับกัน คือ เด็กหญิงอรวรรณ (น้องหนึ่ง) จันทร์ทอง เกิดวันที่ 14 พฤษภาคม 2538 ปัจจุบันอายุ 10 ขวบ ขณะนี้กำลังศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านหนองสมาน ต.หาดสำราญ ผู้ซึ่งพ่อ-แม่ เข้าใจว่า เป็นบุตรแท้จริงของตนเอง
กับเด็กชายกิตติศักดิ์ (น้องแน็ค) จันทร์ทอง อายุ 5 ขวบ น้องชายคนเล็ก และครอบครัวของนายสมเจตน์ กับนางวันดี บุญอยู่ อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 41/3 หมู่ที่ 3 ต.หาดสำราญ นำบุตรชายที่ตัวเองเลี้ยงมาตั้งแต่คลอด เนื่องจากเข้าใจว่าเป็นบุตรที่ถูกต้อง คือ เด็กชายจีรวุฒิ บุญอยู่ เกิดวันที่ 10 พฤษภาคม 2538 ปัจจุบันอายุ 10 ขวบ กำลังศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านหนองสมาน เช่นเดียวกับเด็กหญิงอรวรรณ และเด็กชายสราวุฒิ บุญอยู่ น้องชายเด็กชายจีรวุฒิ เข้าร้องเรียนต่อสื่อมวลชน
พร้อมกับเล่าย้อนเหตุการณ์เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในวันที่ออกจากโรงพยาบาลวันแรกว่า รับเอกสารจากโรงพยาบาลแล้ว ตนทั้งสองเดินทางไปที่สำนักทะเบียนราษฏร เทศบาลตำบลย่านตาขาว เพื่อแจ้งเกิดบุตร เมื่อไปถึงเจ้าหน้าที่ขอดูเอกสารก็ทักท้วงว่า ทำไมชื่อเด็กกับเพศ ไม่สอดคล้องกัน ขอให้กลับไปติดต่อที่โรงพยาบาลใหม่ เมื่อตนทั้งสองกลับไปที่โรงพยาบาลแล้วถามเจ้าหน้าที่คนนั้น ซึ่งตนไม่ทราบว่าชื่ออะไรรับเอกสารไป แล้วขีดฆ่าช่องระบุเพศใหม่โดยที่ไม่ได้มีการตรวจสอบใหม่
นางประทุม และนางวันดี แม่ของเด็กทั้งสองก็ระบุเหมือนกันว่า ตนทั้งสองเจ็บท้องคลอดพร้อมกัน และคลอดเด็กในเวลาใกล้เคียงกัน และหลังคลอดก็สลบไปโดยไม่ทราบว่าบุตรที่คลอดเพศใด และเมื่อเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดเด็กเสร็จแล้ว ก็นำไปมอบให้กับญาติที่รออยู่หน้าห้องคลอด จึงคิดว่าเจ้าหน้าที่คงมีการสลับเด็กกันช่วงขณะนำเด็กไปมอบให้กับญาติ
นายชำนาญ และนายสมเจตน์ กล่าวว่า ครอบครัวของตนทั้งสองเป็นญาติห่างๆ กัน เพียงแต่อาศัยอยู่คนละหมู่บ้านกันห่างกันประมาณ 2 กิโลเมตร เมื่อพบเจอหน้าของเด็กทั้งสองบ่อยครั้งก็เกิดความรู้สึกสงสัย จึงชักชวนกันไปตรวจพิสูจน์เลือดที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ตรัง ปรากฏว่า เลือดของเด็กทั้งสองไปตรงกับพ่อแม่ของอีกฝ่าย จึงมั่นใจว่า ตอนคลอดเด็กทั้งสองที่โรงพยาบาลย่านตาขาวน่าจะมีการสลับเด็กกัน เนื่องจากตอนคลอดแม่ของเด็กก็เจ็บท้องคลอดพร้อมกัน และคลอดในวันและเวลาเดียวกัน เมื่อผลตรวจเลือดออกมาเป็นแบบนี้ จึงเข้าพบโรงพยาบาลย่านตาขาว
ต่อมาเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ที่ผ่านมา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลย่านตาขาว ได้นำครอบครัวของตนทั้งสอง พร้อมเด็กขึ้นกรุงเทพมหานคร เพื่อไปตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอ กับแพทย์หญิงคุญหญิงพรทิพย์ โรจน์สุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์อีกครั้ง
ท้ายที่สุด ก็ได้รับคำยืนยันว่า มีการสลับเด็กกันจริง เมื่อกลับถึงบ้านก็ได้รับการติดต่อจากโรงพยาบาลย่านตาขาว ว่า พร้อมจะรับผิดชอบค่าเสียหายต่อเรื่องที่เกิดขึ้น โดยให้ครอบครัวของตนทั้งสองเรียกร้องมา แต่ตนทั้งสองก็ไม่ได้เรียกร้อง จากนั้นโรงพยาบาลย่านตาขาว ก็บอกว่าพร้อมจะชดใช้ค่าเสียหายเป็นทุนการศึกษาให้กับเด็กทั้งสองคนครอบครัวละ 300,000 บาท
นายสมเจตน์ กล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม ที่ผ่านมา มีตัวแทนของโรงพยาบาลย่านตาขาว นัดครอบครัวของตนไปพบ ณ ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลหาดสำราญ โดยไม่มีครอบครัวนายชำนาญ โดยบอกกับตนว่า โรงพยาบาลจะไม่รับผิดชอบค่าเสียหายแล้ว เพราะไม่ทราบจะรับผิดชอบด้วยเรื่องอะไร เนื่องจากพ่อ-แม่เด็กมีการสลับเด็กกันเอง ซึ่งความจริงครอบครัวของตนทั้งสองก็ไม่อยากคิดอะไรมาก เนื่องจากหลังเกิดเรื่องรู้สึกสงสารความรู้สึกของลูกที่ตนทั้งสองได้เลี้ยงดูมา เนื่องจากจนถึงขณะนี้ลูกที่แท้จริงก็ไม่กล้ามองหน้าพ่อ-แม่ที่แท้จริง ขณะที่ลูกซึ่งตนทั้งสองเลี้ยงดูมาก็เสียใจ กลัวว่าจะต้องถูกพรากไปจากครอบครัวที่ตัวเองอยู่มาตั้งแต่เด็ก
แม้ใจจริงตนอยากจะได้ลูกกลับคืน แต่สงสารลูกและเด็กก็ยอมรับไม่ได้ มาถึง ณ เวลานี้ก็คงจะต้องเลี้ยงดูกันต่อไป เพียงแต่จะไม่กีดกันให้แต่ละฝ่ายไปมาหาสู่กันได้ แต่อยากให้โรงพยาบาลย่านตาขาวรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่มาโยนความผิดให้กับครอบครัวของตนทั้งสอง
ด้าน นายแพทย์สินไชย รองเดช ผู้อำนวยการโรงพยาบาลย่านตาขาว อำเภอย่านตาขาว จังหวัดตรัง กล่าวว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2538 สมัยที่ตนเองยังไม่มารับตำแหน่งที่นี่จึงให้คำตอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้ ต้องไปถามนายแพทย์วิรัช เกียรติเมธา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดตรัง ซึ่งได้รับทราบปัญหาเรื่องนี้แล้ว และน่าจะเป็นผู้ที่ให้คำตอบได้ดีที่สุด แต่ยืนยันว่า ในวันไปฟังผลตรวจดีเอ็นเอ จากแพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจน์สุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2548 ที่ผ่านมา ซึ่งตนเป็นคนนำเด็กทั้งสองคน พร้อมพ่อ-แม่ไปด้วยตนเอง และยืนยันว่า ผลตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอ ออกมาว่ามีการสลับเด็กกันจริง
นายแพทย์สินไชย กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่ที่ผู้ปกครองเด็ก ระบุว่า โรงพยาบาลย่านตาขาวจะรับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้น เป็นทุนการศึกษาของเด็กทั้งสองคนๆ ละ 300,000 บาทนั้นไม่เป็นความจริง และตนไม่เคยพูดว่าโรงพยาบาลย่านตาขาว จะรับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้น เพียงแต่นายแพทย์สาธารณสุขให้ตนเข้าไปถามพ่อ-แม่เด็กทั้งสอง ว่า อยากให้ช่วยทุนการศึกษาเด็กเท่าไหร่ให้บอกมาจะไปหางบประมาณมาช่วยให้
จากนั้นได้รับคำตอบจากพ่อ-แม่เด็ก ว่า ต้องการให้ช่วยครอบครัวละ 300,000 บาท ซึ่งเป็นความต้องการของพ่อ-แม่เด็ก ไม่ใช่ข้อเสนอของโรงพยาบาล โดยตนเป็นแค่คนกลางช่วยประสานให้เท่านั้น แต่ท้ายที่สุดทราบว่าไม่มีงบจะช่วยเหลือ จึงเรียนพ่อ-แม่เด็กตามนั้น ส่วนเรื่องอื่นๆ ให้ไปสอบถามนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดตรังเอง
ขณะที่ นายธนิต ชูเพ็ง สมาชิกสภาจังหวัดตรัง เขตกิ่ง อ.หาดสำราญ กล่าวว่า ผู้ปกครองของเด็กทั้งสองได้เข้าร้องขอความเป็นธรรมกับตน เพราะเห็นว่าโรงพยาบาลไม่รับผิดชอบต่อความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ตรงข้ามกลับโยนความผิดให้พ่อ-แม่เด็ก ตนเห็นว่า เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และเห็นว่า ชาวบ้านไม่ได้รับความเป็นธรรมจะดำเนินการในเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด และในวันพรุ่งนี้ตนจะนำเด็กทั้งสอง พร้อมผู้ปกครองเข้าพบนายเชิดพันธ์ ณ สงขลา ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง เพื่อให้มีการตั้งกรรมการสอบสวนโรงพยาบาลย่านตาขาว และเรียกร้องค่าเสียหาย เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับเด็กและครอบครัว