จรรยา พละมาตย์
ศูนย์ข่าวอิศรา สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
“ความรักมั่นคงของพระเจ้าไม่เคยยั้งหยุด พระเมตตาคุณหลั่งลงมาอยู่เสมอ ใหม่ทุกเช้าเร้าในดวงใจซาบซึ้งทุกๆ วันใหม่ พระองค์ทรงความเที่ยงตรงยิ่งนัก พระองค์ทรงความเที่ยงตรง....” เสียงเพลงที่มีเนื้อหาและทำนองไม่คุ้นหูนัก ซึ่งดังแว่วออกมาจากโบสถ์คริสต์ เสมือนเป็นเครื่องยืนยันว่า ศาสนาคริสต์ก็มีตัวตนในดินแดน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เช่นกัน
ทุกๆ เช้าวันอาทิตย์ กิจกรรมของเหล่าคริสตชนดำเนินไปตามปกติ ณ ทุกๆ สถานนมัสการที่เรียกว่า “โบสถ์” หรือ “คริสตจักร” ซึ่งมีอยู่ราว 20 แห่งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถือเป็นวิถีของผู้มีศรัทธาในพระเยซูร่วม 1,000 คน ที่เกาะเกี่ยวเหนี่ยวยึดกัน ทั้งนิกายโรมันคอทอลิก และโปรแตสแตนท์
และแม้ที่ผ่านมาศาสนาคริสต์จะเป็นศาสนาที่ถูกพูดถึงไม่มากนักในดินแดนแห่งนี้ แต่ย่างก้าวที่มั่นคงของคริสตจักรใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งๆ ที่ใช้เวลาเพียง 30 กว่าปี ก็ทำให้เส้นทางของศาสนาคริสต์ น่าสนใจศึกษาไม่น้อย
“โบสถ์แรกที่เรามาตั้ง อยู่ที่ อ.เมือง จ.ยะลา เมื่อประมาณ 30 กว่าปีก่อน” หลวงพ่อกุสตาฟ โรเซ่น บาทหลวงประจำโบสถ์เจริญศรี ซึ่งดูแลสังฆมณฑลใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เล่าถึงการเข้ามาของศาสนาคริสต์ในพื้นที่นี้
“หลังจากนั้นก็เริ่มมีโบสถ์เล็กๆ 2 แห่ง โบสถ์ขนาดใหญ่ 4 แห่ง และโรงเรียนอีก 2 โรง แต่ช่วงแรกๆ ที่ยังไม่ได้สร้างโบสถ์ พวกเราก็จะอยู่บ้านใกล้ๆ กัน และทำพิธีภายในบ้าน”
หลวงพ่อกุสตาฟ เล่าว่า วัตถุประสงค์ของการมาที่นี่ คือพระเจ้าบอกว่าเรามีหน้าที่ต้องประกาศต่อทุกชาติทุกศาสนา ให้คนอื่นรู้ว่ามีพระเจ้า นี่เป็นหน้าที่ของคริสตชน ไม่มีเหตุผลอื่น
“ถือเป็นธุระของเราที่ต้องบอกให้เขาได้รู้ แต่ถ้าเขาไม่รู้ ก็เป็นธุระของเขา” หลวงพ่อกุสตาฟ บอก
สำหรับโบสถ์เจริญศรี ในตัวเมืองปัตตานีนั้น สร้างมาประมาณ 15-16 ปีแล้ว ทุกๆ วันอาทิตย์จะมีชาวบ้านมารวมตัวกันกว่า 100 คน ทั้งที่เป็นประชาชนทั่วไป นักศึกษา นักธุรกิจ และข้าราชการ เพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน
และกิจกรรมหนึ่งก็คือการขับขานบทเพลงเพื่อสรรเสริญความรักของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์
“ความรักมั่นคงของพระเจ้าไม่เคยยั้งหยุด พระเมตตาคุณหลั่งลงมาอยู่เสมอ ใหม่ทุกเช้าเร้าในดวงใจซาบซึ้งทุกๆวันใหม่ พระองค์ทรงความเที่ยงตรงยิ่งนัก พระองค์ทรงความเที่ยงตรง....”
อย่างไรก็ดี บางบทเพลงก็ขับร้องเพื่อแสดงความเสียใจในความผิดบาปของตน และปรารถนาให้พระเจ้าทรงอภัยให้
“ชำระใจของข้า โปรดชำระให้งามเรืองรองดั่งทองคำ ชำระใจของข้าให้สะอาด จิตใจที่โง่เขลาและหลงทาง...โปรดฟื้นใจภายใน....ให้ชีวิตบริสุทธิ์ พ้นจากมารจากอบาย...โปรดเถิดพระเจ้าผู้บริสุทธิ์…”
พิธีกรรมอีกอย่างหนึ่งของเหล่าคริสตชน คือ “การอธิษฐาน”
“การอธิษฐานเป็นช่องทางที่เราจะใช้สนทนากับพระเจ้าที่ยังทรงพระชนม์อยู่ และพร้อมจะรับฟังการวิงวอน ร้องทูลสิ่งที่ตนอยากจะพึ่งพา และความหนักอกหนักใจต่างๆ” ปาริฉัตร เสริฐสม คริสเตียนวัย 20 ปีจากคริสตจักรความหวังปัตตานี อธิบาย
“นอกจากเราจะอธิษฐานเพื่อตนเองแล้ว เรายังสามารถอธิษฐานเพื่อคนอื่นที่มีความทุกข์ได้ด้วย” เธอว่า
อีกสิ่งหนึ่งที่คริสเตียนขาดไม่ได้ในการมาคริสตจักรทุกวันอาทิตย์ ก็คือการฟังธรรมเทศนาจากผู้อำนวยการคริสตจักร
ชอุ่ม ธรรมกีรติ หญิงชราวัย 55 ปี ซึ่งเป็นสมาชิกในคริสตจักรความหวังปัตตานีมากว่า 10 ปี กล่าวว่า ถ้าใครมาคริสตจักรแล้วยังไม่ได้ฟังเทศนา ก็เหมือนกับมาไม่ถึงคริสตจักร เพราะการฟังเทศนา ทำให้เราเปลี่ยนแปลงชีวิตและความคิดของเราให้ดีขึ้น
เป็นที่ทราบกันดีว่า ศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม ยิ่งในสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้เช่นนี้ ศาสนายิ่งมีความสำคัญทั้งในแง่ของการให้กำลังใจ และชี้ทางสว่างเพื่อให้มีพลังในการดำเนินชีวิตต่อไปท่ามกลางความตึงเครียดและรุนแรง
ธีรยุทธ์ ลีนานุนารถ ผู้อำนวยการคริสตจักรความหวังปัตตานี กล่าวว่า พระเจ้าปรารถนาให้เรามีส่วนในการทำสิ่งดีเพื่อสังคม ยิ่งในสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้ คิดว่าทุกคนในสังคมต้องช่วยกันทั้งหมด ที่สำคัญผู้นำศาสนาต้องสอนให้ดี ให้ถูกต้องครบถ้วน ต้องไม่พยายามเรียกร้องหรือสร้างเงื่อนไขให้เกิดความโกรธแค้น ชิงชัง
“ทุกคนต้องยืนอยู่ภายใต้พื้นฐานจิตใจที่มีความรัก รักทุกคนให้ได้อย่างไม่มีเงื่อนไข รักได้แม้กระทั่งศัตรูหรือคนที่ทำให้ตนบาดเจ็บ คริสเตียนเชื่อว่าพื้นฐานของคนทุกคนนั้นอยากเป็นคนดี ไม่ว่าจะไปทำร้ายคนอื่นด้วยเหตุผลประการใดก็ตาม เราจึงอยากเปลี่ยนศัตรูให้เป็นมิตรด้วยหลักการของความรัก”
ด้วยหลักคิดเช่นนี้ ทำให้ ธีรยุทธ์ เชื่อมั่นว่า หลักการสมานฉันท์เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะคลี่คลายปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้จะต้องใช้เวลา เห็นผลช้า และต้องใช้ความอดทนสูงมากก็ตาม
“ที่ผ่านมาหลายคนอดทนรอไม่ได้ จึงตัดสินใจกลับไปใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา ซึ่งความรุนแรงจะทำให้คนบาดเจ็บ และบาดแผลเหล่านั้นเองที่จะนำไปสู่การสั่งสมความโกรธแค้นถึงรุ่นถัดไป จนปัญหาพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ” ผู้อำนวยการคริสตจักรความหวังปัตตานี กล่าว
ขณะที่ จิตรา ช่อแส้ง นักศึกษาฝึกงานจากโรงเรียนคริสตศาสนศาสตร์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งปัจจุบันทำงานอยู่ที่คริสตจักรพระพรปัตตานี กล่าวว่า ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ เหมือนกับที่พระเจ้าบอกไว้ในพระคัมภีร์
ดังนั้นเรายิ่งต้องรักและห่วงใยทุกคนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า ไปบอกเขาถึงความรักที่พระเจ้ามีต่อพวกเขา และเราต้องอธิษฐานเผื่อถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้เห็นทางออกของปัญหาโดยเร็วที่สุด
สำหรับคริสเตียนใน จ.ยะลา ก็มีความคิดเห็นไม่แตกต่างไปจากตัวแทนของคริสเตียนในปัตตานี นั่นก็คือหลักคิดเรื่อง “ความรัก” ตามพระคริสต์ธรรมคัมภีร์
“สังคมในคริสตจักรเรามีหลักการของความรัก ซึ่งพระเจ้าประทานให้เราก่อน จึงเป็นสิ่งที่เราต้องแบ่งปันให้คนทั่วไป แม้ไม่ใช่คริสเตียน” ชะณิวัล ใจเพียร ผู้อำนวยการคริสตจักรความหวังยะลา บอก
ส่วน สุพัตรา เพ็งด้วง นักศึกษาพยาบาลจาก จ.ยะลา ซึ่งเพิ่งหันมาศรัทธาคริสตศาสนาเพียงแค่ 1 ปี กล่าวว่า แต่ก่อนยังไม่รู้จักพระเจ้า จึงกลัวมากกับสถานการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นทุกวัน แต่เมื่อได้มารู้จักพระองค์แล้ว กลับมีความมั่นใจว่าพระองค์จะทรงดูแลเรา และอยู่กับเราด้วยเสมอไม่ว่าเราจะไปที่ใด
ด้านคริสเตียนใน จ.นราธิวาส แม้จะมีจำนวนน้อยกว่าที่ปัตตานีกับยะลา เพราะในเช้าวันอาทิตย์ บางคริสตจักรมีคนมาร่วมนมัสการพระเจ้าเพียง 8-9 คนเท่านั้น แต่จิตใจของคริสเตียนในนราธิวาสต่างเชื่อมั่นว่าจะได้รับการดูแลจากพระเจ้าให้ได้รับความปลอดภัย ไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไร หรือเดินทางไปที่ไหน
พันนี แก้วแสงอ่อน สมาชิกในคริสตจักรความหวังนราธิวาส เล่าให้ฟังว่า เธอทำธุรกิจขายเสื้อผ้ามือสอง ต้องไปรับสินค้าจากชายแดน แล้วนำไปขายยังสถานที่ต่างๆ จึงต้องเดินทางตลอด แต่กลับไม่รู้สึกหวาดกลัว เพราะมั่นใจว่าพระเจ้าจะทรงคุ้มครอง
“แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องไม่ประมาท ดำเนินชีวิตอย่างมีสติ และแบ่งปันต่อมนุษย์ทุกคนด้วยความรักของพระเจ้า” พันนี กล่าว
แน่นอนว่าสังคมใดที่อยู่ร่วมกันด้วยความรัก ความเอื้อเฟื้อ และแบ่งปัน ย่อมเป็นสังคมที่ปราศจากความขัดแย้ง และเป็นสังคมแห่งสันติสุขที่ทุกคนใฝ่หา
เพราะความรักระหว่างเพื่อนมนุษย์นั้น เปรียบเสมือนน้ำใสเย็นที่สามารถดับไฟแห่งความชิงชัง อันเป็นต้นเหตุของความรุนแรงทุกรูปแบบได้”
“พระเยซูตรัสว่า พวกท่านจงรักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน ด้วยสุดความคิดและด้วยสิ้นสุดกำลังของท่าน และธรรมบัญญัติที่สองนั้นคือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง”