xs
xsm
sm
md
lg

ภาพจำอันรางเลือนของสัมพันธ์ไทย-มลายู-เขมร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ศูนย์ข่าวอิศรา

ข่าวชาวมุสลิมจากประเทศเขมร จำนวนกว่า 80 คน พยายามเข้าประเทศไทยเพื่อที่จะเดินทางไปทำงานและศึกษาศาสนาอิสลามที่ประเทศมาเลเซีย และในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ไทยกำลังผลักดันกลับไป เพราะเกรงว่าคนเหล่านั้นจะไปร่วมกับขบวนการก่อการร้ายภาคใต้ของไทย จึงทำให้นึกถึงประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างชาวไทย ชาวมลายู และชาวเขมร ทางด้านการเมือง ศาสนา และวัฒนธรรม ซึ่งนักวิชาการไทยมักมองข้ามไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก

ซัยค์ฟากิฮฺ อาลี บินวันมูฮัมหมัด อัลฟาฏอนี ได้บันทึกใน “ตาริค ปาตานี” ซึ่งแปลโดยวัน มะโรหะบุตร ในบทที่ 8 ดังนี้ “.....ต่อมาบุตรชายของเจ้าอินทิราวังสา (ราชวงศ์พระเจ้าศรีวิชัยมาจากเมืองปาเล็มบัง เกาะสุมาตรา) ได้ครองเมืองปาตานีในราวปี ค.ศ.แปดร้อย ในสมัยเจ้าเมืองคนนี้ปกครองอยู่นั้นก็เกิดสงครามแย่งชิงอำนาจขึ้น คือ เจ้าเมืองไชยา ได้ทำสงครามกับเจ้าเมืองเขมร เมืองเขมรขณะนั้นชาวมลายูเรียกว่า “จามปากะปุระ” (เมืองจามปา) ต่อมาบุตรสาวเจ้าเมืองจามปากะปุระก็แต่งงานกับบุตรชายเจ้าเมืองไชยา ซึ่งขณะนั้นก็ต่างนับถือศาสนาพุทธด้วยกันทั้งนั้น” (เอกสารแปลของวัน มะโรหะบุตร ไม่ปรากฏ วันเดือนปี และสถานที่)

จากบันทึกดังกล่าว ปรากฏว่า เจ้าเมืองปาตานี พระเจ้าอินทิราได้จัดส่งกำลังไปช่วยเมือง ไชยา ทำสงครามกับเขมรจนได้รับชัยชนะในครั้งนั้นด้วย และปรากฏหลักฐานด้วยว่าสมัยโบราณ ปาตานีนั้นมีความสัมพันธ์กับชาวจามปาในเขมร ทางด้านการเมืองการปกครอง โดยผ่านเมืองไชยา (เจ้าเมืองเป็นเครือญาติใกล้ชิดกับเจ้าเมืองปาตานี)

ฮัจญีซักฮีร์ อับดุลลอฮ์ เขียนใน “ซัยค์ ดาวูด บิบอับดุลลอฮ์ อัล-ฟาฏอนี” ในบทที่ 1 ว่า “เมื่อปี ค.ศ.1577 ดาโต๊ะ มุสตาฟาร์ จัมมู (ยะหริ่ง) ปาตานี พร้อมด้วยน้องชายที่ชื่อว่า “ดาโต๊ะ ญามาลูดดิน” ยกกองทัพไปโจมตีเมืองญวน หรืออันนาม เนื่องจากมีความแค้นต่อกันมาก่อน ดาโต๊ะ มุสตาฟาร์ ได้สู้รบจนได้ชัยชนะ ดังนั้น ท่านจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองปกครองจามปา ได้รับการขนานนามว่า “ สุลต่าน อับดุลฮามิต” (ระหว่างปี 1577-1637) ชาวจามปา เรียกพระองค์ว่า “ Po Rome” ชาวจามและกลันตันจะรู้จักพระองค์ในอีกชื่อหนึ่งว่า “ Ong Tpoua”

บุตรของพระองค์ที่ชื่อว่า อาลี ได้เดินทางไปยังเกาะซูลาเวสสี และเดินทางกลับปาตานี ต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็น “ ดาโต๊ะ ศรี มหาราญาเลลา” อันเป็นตำแหน่งขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของปาตานีในสมัยการปกครองของราชินี อุงงู (ค.ศ.1624 - 1635)

(ฮัจญีซักฮีร์ อับดุลลอฮ์ “ซัยค์ ดาวูด บินอับดุลลอฮ์ อัลฟาฏอนี” ชะห์อาลาม:1990 จากเอกสารดังกล่าวแสดงว่า อาณาจักรจามปา ชาวมลายูปาตานีได้เคยมีอำนาจปกครอง จึงได้มีการถ่ายทอดศิลปวัฒนธรรม รวมทั้งรูปแบบการปกครอง จากชาวมลายูปาตานีมาก่อน และบุตรเจ้าเมืองจามปา (เขมร) ก็กลับไปมีอำนาจในปาตานีหมุนเวียนกันไม่ขาดสายในอดีต

ในประวัติศาสตร์ไทยกล่าวถึงชาวจามปา หรือชาวไทยเรียกว่า “แขกจาม” นั้นว่า “เดิมตั้ง ถิ่นฐานอยู่ทางตอนใต้ของเวียดนามบริเวณปากแม่น้ำโขง ชาวจามจำนวนหนึ่งได้อพยพมาตั้งถิ่นฐานในกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น โดยมีประชาคมอยู่บริเวณคลองคูจาม หรือที่เอกสารเก่าเรียกว่า “ปทาคูจาม” แปลว่า “ค่ายคูของชาวจาม” ซึ่งอยู่ด้านใต้ของเกาะเมืองใกล้กับวัดพุทไธศวรรย์..” (ดร.จุพิศพงศ์ จุฬารัตน์ “มุสลิมและขุนนางมุสลิมในสมัยอยุธยา” เอกสารสัมมนาฯจุฬา 2548)

ชาวจามปา หรือแขกจามเหล่านั้น ชาวไทยรู้จัก “ทหารอาสาจาม” ตามประวัติศาสตร์ไทย เคยมีมลายูมุสลิมเป็นแม่ทัพ ที่ชื่อ “พระยาราชบังสัน” หรือ ราญาฮาซัน (บุตรสุลต่านสุไลมานเจ้าเมืองสงขลา) เป็นแม่ทัพทำหน้าที่บังคับบัญชา ทหารจามได้เคยร่วมกับทหารไทยสู้รบกับอริราชศัตรู รักษาเอกราชของชาติไทย มาแต่โบร่ำโบราณ” แต่มาวันนี้ชาวจามเหล่านั้นกลับถูกรังเกียจโดยชาวไทยไม่ยอมให้เหยียบแผ่นดิน

หลังสงครามอินโดจีน พ.ศ.2518 มีชาวเขมรมุสลิมจำนวนหลายแสนคน ลงเรือหนีภัยคอมมิวนิสต์ ล่องเรือมาทางทะเลจีนใต้ ขึ้นฝั่งตามแนวชายฝั่งทะเลตะวันออกของอ่าวไทยตลอดไปจนถึงแหลมมลายู ชาวเขมรลี้ภัยเหล่านั้นได้รับการช่วยเหลือจากทั้งชาวไทยและมาเลเซีย แต่ส่วนใหญ่ได้อยู่อาศัยทำมาหาเลี้ยงชีพในมาเลเซีย เนื่องจากชาวเขมรมุสลิมหรือชาวจามสามารถสื่อภาษามลายูได้ โดยเฉพาะด้านฝั่งทะเลตะวันออกของแหลมมลายู เช่น รัฐกลันตัน ตรังกานู และปาหัง ลูกหลานของผู้อพยพเหล่านั้นจะได้รับการศึกษาทั้งทางศาสนาและวิชาชีพโดยการช่วยเหลือจากรัฐบาลมาเลเซีย จนกระทั่งมีฐานะความเป็นอยู่ดีขึ้น หรือดีกว่าคนที่อยู่ในประเทศเขมรของตนเสียอีก ดังนั้น ในแต่ละปีจะมีชาวเขมรมุสลิม หรือชาวจามปาจำนวนมากพยายาม จะไปอยู่ในประเทศมาเลเซีย โดยผ่านประเทศไทย ทำนองเดียวกับคนไทย รวมทั้งคนเอเชีย อื่น ๆ ต้องการการจะเข้าไปทำมาหากินในสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลียนั่นแหละ

จะเห็นว่า ชาวมลายูไม่ว่าในประเทศมาเลเซีย หรือในภาคใต้ของไทยจึงมีความสัมพันธ์ กับชาวจาม อย่างใกล้ชิด มาเป็นเวลานาน มีการถ่ายทอดความรู้ทางศาสนาและวัฒนธรรมต่อกัน ด้วยการสื่อภาษามาเลย์ กันได้อย่างกลมกลืนแทบจะเป็นภาษาเดียวกันแม้ชาวเขมรมุสลิม จะเรียกว่า ภาษานั้นว่า ภาษาจาม ก็ตาม ดังนั้น การที่ชาวเขมรมุสลิมจำนวนกว่า 80 คน ที่พยายามจะเดินทางไปมาเลเซีย เพื่อหางานทำและเรียนศาสนานั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นมาเป็นเวลานานแล้ว “ไม่น่าจะเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น และวิตกจริตกันมากมายดั่งที่เป็นข่าว”

สำคัญแต่ว่าชาวไทยมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่อพยพไปมาเลเซียโดยต่อเนื่อง กำลังฟ้องชาวโลกว่า ประเทศไทยมีการละเมิดสิทธิมนุษยชน และไม่มีหลักประกันความปลอดภัยในชีวิต เราแก้ไขปัญหานี้ได้หรือยัง


กำลังโหลดความคิดเห็น