ปกรณ์ พึ่งเนตร
สนธยา พิกุลทอง
สมศักดิ์ หุ่นงาม
ศูนย์ข่าวอิศรา...รายงาน
“ไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าหน้าที่ปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก ทั้งๆ ที่เคยมีบทเรียนมาแล้วจากเรื่องโจรนินจา ซึ่งก็เกิดขึ้นในอำเภอระแงะนี่แหละ….”
ประโยคดังกล่าวเป็นคำพูดเสียงเครียดๆ ที่แฝงไปด้วยความอัดอั้นของสาวใหญ่ภรรยาของตำรวจ สภ.อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ที่เอ่ยถึงเหตุการณ์จับโจรนินจาเมื่อกว่า 2 ปีก่อน เทียบเคียงกับเหตุการณ์ที่บ้านตันหยงลิมอ เมื่อวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา
ในความคิดของเธอ เห็นว่านาวิกโยธินทั้ง 2 นายไม่น่าจะต้องจบชีวิตลงอย่างอเนจอนาถซ้ำอีก เพราะฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐก็เคยมีประสบการณ์ในลักษณะเดียวกันนี้มาก่อนแล้ว ในเหตุการณ์จับโจรนินจา ซึ่งที่แท้ก็คือตำรวจพลร่ม 2 นาย ที่บ้านบือนังกือเปาะ ต.ตันหยงมัส อ.ระแงะ จ.นราธิวาส โดยเจ้าหน้าที่รัฐทั้ง 21 นายก็เสียชีวิตอย่างสยดสยองไม่ต่างกัน
บ้านบือนังกือเปาะ อยู่ห่างจากตัว อ.ระแงะ ประมาณ 6 กิโลเมตร เป็นหมู่บ้านเงียบๆ มีถนนสายเดียวตัดผ่าน เราแวะที่ร้านขายของชำแห่งหนึ่งเพื่อสอบถามเรื่องราวในอดีตแต่ทุกคนในร้านมีทีท่าไม่อยากพูดถึงเหตุการณ์ที่หมู่บ้านของพวกเขาตกเป็นจำเลยของสังคมมานานกว่า 2 ปี
“ฉันไม่ได้ไปดูกับเขาหรอก รู้แต่ว่ามีคนจับตำรวจพลร่ม 2 นายได้ แล้วเอาไปไว้ที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน จากนั้นก็มีคนนอกพื้นที่หลายพันคนเข้ามาทำร้ายตำรวจจนตาย” หญิงวัยกลางคนเจ้าของร้านตอบคำถามของเราและเป็นข้อมูลเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่เราได้รับที่ทำการผู้ใหญ่บ้านหมู่ 5 ซึ่งเป็นบ้านอยู่อาศัยของอิสมาแอ ตอรี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 5 บ้านบือนังกือเปาะผู้ใหญ่บ้าน ที่ซึ่งตำรวจพลร่มทั้ง 2 นายถูกทำร้ายจนเสียชีวิต
ด้วยความหวังเพียงน้อยนิดว่าจะได้ข้อเท็จจริงจากปากของผู้ที่อยู่ร่วมเหตุการณ์ แต่แล้วก็ต้องผิดคาด เมื่อผู้ใหญ่บ้านแสดงท่าทีเต็มใจที่จะคุยด้วย แม้ว่าขณะที่เราไปถึง เขาไม่ได้อยู่ที่บ้าน แต่ก็สั่งให้ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านออกมาต้อนรับขับสู้อย่างดี ก่อนจะรีบเดินทางกลับมาในอีกครู่ใหญ่ๆ
“พวกคุณเป็นนักข่าวคนแรกที่มาคุยกับผมแบบนี้” เป็นคำทักทายแรกของอิสมาแอ “ที่ผ่านมาข่าวลงผิดตลอด ไม่ตรงกับความจริง และไม่เคยมีคนมาถามผมบ้างเลย เรื่องที่เกิดขึ้นไม่เหมือนกับที่ตันหยงลิมอ มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง” อิสมาแอ เล่าย้อนเรื่องราวแบบที่เรียกได้ว่าเหมือนกับเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง เพราะเขาจำได้แม้กระทั่งวัน เดือน ปี ที่เกิดเหตุการณ์
“วันนั้นวันที่ 26 เมษายน 2546 เป็นวันเสาร์ มีตลาดนัด ผมจำได้ดี ช่วงเช้าเวลาประมาณ 6 โมง มีชาวบ้านมาแจ้งว่าพบคนแปลกหน้า 2 คนในสวนยาง ผมจึงส่งผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านและลูกน้องรวม 4 คนออกไปรับตัว”
อิสมาแอ บอกว่า ข่าวลือเรื่องโจรนินจามีมานานนับปีแล้ว แต่ไม่ได้เริ่มต้นจากหมู่บ้านของเขา เป็นคำร่ำลือที่แพร่มาจากหมู่บ้านบาโงอาแซซึ่งอยู่ใกล้เคียงกัน โดยชาวบ้านอ้างว่าเห็นโจรนินจา 2 คน และกำลังติดตามล่าตัวกันอยู่
“ชาวบ้านตามล่าโจรนินจากันมาตั้งแต่คืนก่อน กระทั่งเช้าผมได้รับแจ้งจากลูกบ้านของผม ก็เลยส่งผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และลูกน้องเข้าไปดู โดยผมรออยู่ที่ถนนใหญ่ เมื่อสอบถามกันจนรู้แน่ชัดว่าเป็นตำรวจพลร่ม ผู้ช่วยฯ ก็พาออกมาส่งให้ผม โดยยืนยันว่าให้มาหาผู้ใหญ่บ้านแล้วจะปลอดภัย” อิสมาแอ ระบุ
ทว่าสถานการณ์ที่ทำท่าว่าจะคลี่คลายไปด้วยดีกลับตึงเครียดขึ้นจนเกินกว่าที่ใครจะคาดได้ เมื่อข่าวที่สองตำรวจพลร่มถูกนำตัวมายังบ้านผู้ใหญ่ อิสมาแอแพร่ออกไป ประชาชนจากต่างอำเภอซึ่งต้องสัญจรผ่านเส้นทางของหมู่บ้าน เพื่อไปจับจ่ายซื้อของที่ตลาดนัดตันหยงมัส ต่างได้ข่าวเรื่องโจรนินจาและพากันแห่มาดูตัว
“ข่าวมันไปเร็ว เพราะแทบทุกคนมีโทรศัพท์มือถือ ทำให้คนที่ผ่านไปมาซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจากพื้นที่อื่น ทั้งปัตตานี และยะลาพากันจอดรถดู ผมเห็นว่าสถานการณ์ชักจะคุมไม่ได้ จึงพาตำรวจพลร่มทั้ง 2 นายไปที่บ้าน หากาแฟให้กิน หาบุหรี่ให้สูบ แล้วก็ติดต่อปลัดกับนายอำเภอให้มารับตัวไป” อิสมาแอ กล่าว
อย่างไรก็ตาม การเดินทางของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและตำรวจ สภ.อ.ระแงะ ดูจะช้ากว่าชาวบ้านจากต่างถิ่นซึ่งทยอยกันมาอย่างทะลักทะลายด้วยกระแสข่าวลือไม่ถึงชั่วโมง บริเวณหน้าบ้านของอิสมาแอ ก็มีฝูงชนรวมตัวกันอยู่นับพันคน
“ถนนเส้นนี้คนนอกพื้นที่จะผ่านไปมาตลอด ใครมาก็พูดกันต่อๆ ว่านินจาอยู่บ้านผู้ใหญ่ฯ แล้วก็โทร.เล่าให้กันฟัง ใครต่อใครก็แห่กันมา ผมเห็นท่าไม่ดี เลยพาตำรวจทั้ง 2 นายเข้าไปหลบในบ้าน ผมยังจำได้ว่าตำรวจทั้ง 2 นายตบบ่าผมแล้วบอกว่า ขอบคุณที่ช่วยเหลือ แล้วสักวันเขาจะกลับมาตอบแทนบุญคุณ”
ทว่าการช่วยเหลือด้วยความหวังดีดังกล่าว กลับถูกตีความจากกลุ่มผู้ชุมนุมว่า ผู้ใหญ่บ้านเข้าข้างโจรนินจา จึงเริ่มมีเสียงตะโกนด่าทอในทำนองว่าช่วยโจรให้สบาย แต่ชาวบ้านต้องลำบากยืนตากแดด มิไยที่อิสมาแอจะพยายามชี้แจงซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าทั้งสองคนเป็นตำรวจไม่ใช่โจร แต่ก็ไม่มีใครยอมฟัง
แรงกดดันขยายวงไปถึงขั้นที่ผู้ชุมนุมซึ่งเพิ่มจำนวนเป็นหลายพันคนแล้วในตอนนั้นเตรียมการจะพังประตูและเผาบ้านของอิสมาแอ ขณะที่ตำรวจ สภ.อ.ระแงะ กับเจ้าหน้าที่จากอำเภอเพิ่งจะมาถึงได้ไม่นาน และสถานการณ์เริ่มชัดเจนว่าพวกเขามาสายเกินไป
“ที่ข่าวบอกว่าตำรวจมากัน 200-300 นายไม่เป็นความจริง ตำรวจมากันไม่กี่นาย กับ อส.อีก 7-8 คน คุณคิดดูก็แล้วกันว่าคนแค่นี้จะคุมชาวบ้านหลายพันคนได้อย่างไร”
ในช่วงเวลาอันวิกฤตนั้น อิสมาแอยืนยันว่าเขาได้ทำหน้าที่ในฐานะผู้ใหญ่บ้านอย่างดีที่สุดแล้ว ส่วนการมารับตัวพลร่มทั้ง 2 นายออกไป เป็นหน้าที่ของตำรวจกับฝ่ายปกครอง ซึ่งก็มีข้าราชการระดับสูงในพื้นที่ทยอยตามเข้ามา และพยายามชี้แจงทำความเข้าใจอีกหลายต่อหลายครั้ง กระทั่งสุดท้ายเมื่อสถานการณ์เข้าขั้นควบคุมไม่ได้
เขาก็ตัดสินใจขอร้องให้ชาวบ้านที่แออัดยัดเยียดกันอยู่ด้านหน้า ช่วยเปิดทางให้พลร่มทั้งสองเดินออกไป
“คนที่อยู่ด้านหน้าๆ ได้ยินเสียงชี้แจงก็พอเข้าใจ แต่พวกที่มาใหม่ พวกที่อยู่ด้านหลังมันไม่ฟัง แล้วก็มีการพูดปลุกระดมตลอดว่าตำรวจ 2 คนนี้อุ้มเด็กที่ดุซงญอบ้างอะไรบ้าง สุดท้ายก็ดันๆ กันเข้ามา ทั้งเตะทั้งต่อยจนพลร่มทั้ง 2 นายล้มลง จากนั้นเกิดอะไรขึ้นผมไม่เห็นอีกแล้ว มันชุลมุนมาก ฝุ่นคลุ้งตลบไปหมด” อิสมาแอ เล่าเสียงเครียด
เมื่อฝุ่นจางลง ผู้ชุมนุมหลายพันคนก็สลายไปอย่างรวดเร็ว ร่างของ 2 ตำรวจพลร่ม นอนนิ่งอยู่กลางลาน ตามร่างกายปรากฏรอยช้ำจากการถูกทุบตี และทำร้ายด้วยอาวุธรวมทั้งของมีคมนานาชนิด ตำรวจทั้งสองนายเสียชีวิตไปแล้ว
“หมู่บ้านของเราถูกมองในแง่ลบมาโดยตลอด ทั้งๆ ที่ไม่เคยเกิดเหตุรุนแรงขึ้นเลย แม้แต่เผาตู้โทรศัพท์ก็ยังไม่เคยมี ผมยืนยันว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่เหมือนกับที่ตันหยงลิมอ เพราะของเราเป็นการไปรับเจ้าหน้าที่มาอยู่ในที่ปลอดภัย และคนที่ทำร้ายเป็นคนนอกหมู่บ้าน ส่วนที่ตันหยงลิมอ เป็นการจับตัวเจ้าหน้าที่ แล้วก็ถูกทำร้ายจนตาย” อิสมาแอ กล่าว
สิ่งที่ค้างคาใจอิสมาแออย่างยิ่งก็คือ ไม่มีนักข่าว แม้เพียงคนเดียวที่จะมาถามเขา ถามชาวบ้านว่า เหตุการณ์ความจริงในวันนั้นเป็นอย่างไร และนี่คือรอยด่างที่ทำให้ คนบือนังกือเปาะ ถูกมองว่าเป็นผู้รุมฆ่าสองตำรวจพลร่วม
“นักข่าวเข้ามาพร้อมกับตำรวจ แต่ไม่มีใครมาถามหาความจริง มาถามผม หรือชาวบ้านเลย และก็มีการเสนอข่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของชาวบ้านบือนังกือเปาะ ชาวบ้านรุมฆ่าตำรวจ ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมข่าวออกไปเช่นนี้ เพราะไม่มีชาวบ้านของผมไปร่วมก่อเหตุด้วย พวกที่ก่อเหตุจะเป็นใครมาจากไหน ผมก็ไม่รู้”
อิสมาแอบอกว่า หลังเกิดเหตุก็ไม่กลัว และพร้อมจะเปิดเผยความจริงทั้งหมด เพราะถือว่าทำหน้าที่อย่างถูกต้อง และเป็นฝ่ายที่ได้ช่วยเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วย ไม่ได้ช่วยคนร้าย แต่ไม่มีนักข่าวมาสอบถามเขาเลย ไม่ว่าจะเป็นในขณะเกิดเหตุ หรือหลังจากเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว
“ข่าวทุกข่าวไปหากันแค่โรงพักระแงะเท่านั้น ในขณะที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ก็ทำงานล่าช้า หลังเกิดเหตุมีคราบเลือด มีหลักฐานตกอยู่เยอะมาก แต่ไม่เก็บหลักฐานอะไรเลย ผมเองต้องเก็บหลักฐานทุกอย่างในที่เกิดเหตุ ทั้งไม้ มีด พร้า เอาไว้ถึง 15 วัน ก็ไม่มีใครสนใจ จึงตัดสินใจไปทิ้งลงคลอง จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงมาติดต่อมาว่าจะเอา ต้องไปงมมาให้อีก”
ถึงวันนี้ กรณีสังหาร 2 ตำรวจพลร่มยังไม่จบ เพราะเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 4 คน คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลจังหวัดสงขลา โดยผู้ใหญ่บ้านอิสมาแอต้องขึ้นให้การในฐานะพยานด้วย
ลมร้อนพัดผ่านมาวูบหนึ่ง แต่กระแสลมแรงไม่สามารถพัดพาเรื่องร้ายๆ ให้ปลิวหายไปจากความทรงจำของชาวบือนังกือเปาะได้ ผู้ใหญ่บ้านฝากคำพูดทิ้งท้ายที่เป็นความหวังอย่างเนิ่นนานในหัวใจของเขา
“ผมอยากให้สังคมเข้าใจหมู่บ้านของเราเสียที”
ประมวลข่าวเกี่ยวเนื่อง "สังหาร2นายทหารนาวิกโยธิน-ตันหยงลิมอ"
สนธยา พิกุลทอง
สมศักดิ์ หุ่นงาม
ศูนย์ข่าวอิศรา...รายงาน
“ไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าหน้าที่ปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก ทั้งๆ ที่เคยมีบทเรียนมาแล้วจากเรื่องโจรนินจา ซึ่งก็เกิดขึ้นในอำเภอระแงะนี่แหละ….”
ประโยคดังกล่าวเป็นคำพูดเสียงเครียดๆ ที่แฝงไปด้วยความอัดอั้นของสาวใหญ่ภรรยาของตำรวจ สภ.อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ที่เอ่ยถึงเหตุการณ์จับโจรนินจาเมื่อกว่า 2 ปีก่อน เทียบเคียงกับเหตุการณ์ที่บ้านตันหยงลิมอ เมื่อวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา
ในความคิดของเธอ เห็นว่านาวิกโยธินทั้ง 2 นายไม่น่าจะต้องจบชีวิตลงอย่างอเนจอนาถซ้ำอีก เพราะฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐก็เคยมีประสบการณ์ในลักษณะเดียวกันนี้มาก่อนแล้ว ในเหตุการณ์จับโจรนินจา ซึ่งที่แท้ก็คือตำรวจพลร่ม 2 นาย ที่บ้านบือนังกือเปาะ ต.ตันหยงมัส อ.ระแงะ จ.นราธิวาส โดยเจ้าหน้าที่รัฐทั้ง 21 นายก็เสียชีวิตอย่างสยดสยองไม่ต่างกัน
บ้านบือนังกือเปาะ อยู่ห่างจากตัว อ.ระแงะ ประมาณ 6 กิโลเมตร เป็นหมู่บ้านเงียบๆ มีถนนสายเดียวตัดผ่าน เราแวะที่ร้านขายของชำแห่งหนึ่งเพื่อสอบถามเรื่องราวในอดีตแต่ทุกคนในร้านมีทีท่าไม่อยากพูดถึงเหตุการณ์ที่หมู่บ้านของพวกเขาตกเป็นจำเลยของสังคมมานานกว่า 2 ปี
“ฉันไม่ได้ไปดูกับเขาหรอก รู้แต่ว่ามีคนจับตำรวจพลร่ม 2 นายได้ แล้วเอาไปไว้ที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน จากนั้นก็มีคนนอกพื้นที่หลายพันคนเข้ามาทำร้ายตำรวจจนตาย” หญิงวัยกลางคนเจ้าของร้านตอบคำถามของเราและเป็นข้อมูลเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่เราได้รับที่ทำการผู้ใหญ่บ้านหมู่ 5 ซึ่งเป็นบ้านอยู่อาศัยของอิสมาแอ ตอรี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 5 บ้านบือนังกือเปาะผู้ใหญ่บ้าน ที่ซึ่งตำรวจพลร่มทั้ง 2 นายถูกทำร้ายจนเสียชีวิต
ด้วยความหวังเพียงน้อยนิดว่าจะได้ข้อเท็จจริงจากปากของผู้ที่อยู่ร่วมเหตุการณ์ แต่แล้วก็ต้องผิดคาด เมื่อผู้ใหญ่บ้านแสดงท่าทีเต็มใจที่จะคุยด้วย แม้ว่าขณะที่เราไปถึง เขาไม่ได้อยู่ที่บ้าน แต่ก็สั่งให้ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านออกมาต้อนรับขับสู้อย่างดี ก่อนจะรีบเดินทางกลับมาในอีกครู่ใหญ่ๆ
“พวกคุณเป็นนักข่าวคนแรกที่มาคุยกับผมแบบนี้” เป็นคำทักทายแรกของอิสมาแอ “ที่ผ่านมาข่าวลงผิดตลอด ไม่ตรงกับความจริง และไม่เคยมีคนมาถามผมบ้างเลย เรื่องที่เกิดขึ้นไม่เหมือนกับที่ตันหยงลิมอ มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง” อิสมาแอ เล่าย้อนเรื่องราวแบบที่เรียกได้ว่าเหมือนกับเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง เพราะเขาจำได้แม้กระทั่งวัน เดือน ปี ที่เกิดเหตุการณ์
“วันนั้นวันที่ 26 เมษายน 2546 เป็นวันเสาร์ มีตลาดนัด ผมจำได้ดี ช่วงเช้าเวลาประมาณ 6 โมง มีชาวบ้านมาแจ้งว่าพบคนแปลกหน้า 2 คนในสวนยาง ผมจึงส่งผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านและลูกน้องรวม 4 คนออกไปรับตัว”
อิสมาแอ บอกว่า ข่าวลือเรื่องโจรนินจามีมานานนับปีแล้ว แต่ไม่ได้เริ่มต้นจากหมู่บ้านของเขา เป็นคำร่ำลือที่แพร่มาจากหมู่บ้านบาโงอาแซซึ่งอยู่ใกล้เคียงกัน โดยชาวบ้านอ้างว่าเห็นโจรนินจา 2 คน และกำลังติดตามล่าตัวกันอยู่
“ชาวบ้านตามล่าโจรนินจากันมาตั้งแต่คืนก่อน กระทั่งเช้าผมได้รับแจ้งจากลูกบ้านของผม ก็เลยส่งผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และลูกน้องเข้าไปดู โดยผมรออยู่ที่ถนนใหญ่ เมื่อสอบถามกันจนรู้แน่ชัดว่าเป็นตำรวจพลร่ม ผู้ช่วยฯ ก็พาออกมาส่งให้ผม โดยยืนยันว่าให้มาหาผู้ใหญ่บ้านแล้วจะปลอดภัย” อิสมาแอ ระบุ
ทว่าสถานการณ์ที่ทำท่าว่าจะคลี่คลายไปด้วยดีกลับตึงเครียดขึ้นจนเกินกว่าที่ใครจะคาดได้ เมื่อข่าวที่สองตำรวจพลร่มถูกนำตัวมายังบ้านผู้ใหญ่ อิสมาแอแพร่ออกไป ประชาชนจากต่างอำเภอซึ่งต้องสัญจรผ่านเส้นทางของหมู่บ้าน เพื่อไปจับจ่ายซื้อของที่ตลาดนัดตันหยงมัส ต่างได้ข่าวเรื่องโจรนินจาและพากันแห่มาดูตัว
“ข่าวมันไปเร็ว เพราะแทบทุกคนมีโทรศัพท์มือถือ ทำให้คนที่ผ่านไปมาซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจากพื้นที่อื่น ทั้งปัตตานี และยะลาพากันจอดรถดู ผมเห็นว่าสถานการณ์ชักจะคุมไม่ได้ จึงพาตำรวจพลร่มทั้ง 2 นายไปที่บ้าน หากาแฟให้กิน หาบุหรี่ให้สูบ แล้วก็ติดต่อปลัดกับนายอำเภอให้มารับตัวไป” อิสมาแอ กล่าว
อย่างไรก็ตาม การเดินทางของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและตำรวจ สภ.อ.ระแงะ ดูจะช้ากว่าชาวบ้านจากต่างถิ่นซึ่งทยอยกันมาอย่างทะลักทะลายด้วยกระแสข่าวลือไม่ถึงชั่วโมง บริเวณหน้าบ้านของอิสมาแอ ก็มีฝูงชนรวมตัวกันอยู่นับพันคน
“ถนนเส้นนี้คนนอกพื้นที่จะผ่านไปมาตลอด ใครมาก็พูดกันต่อๆ ว่านินจาอยู่บ้านผู้ใหญ่ฯ แล้วก็โทร.เล่าให้กันฟัง ใครต่อใครก็แห่กันมา ผมเห็นท่าไม่ดี เลยพาตำรวจทั้ง 2 นายเข้าไปหลบในบ้าน ผมยังจำได้ว่าตำรวจทั้ง 2 นายตบบ่าผมแล้วบอกว่า ขอบคุณที่ช่วยเหลือ แล้วสักวันเขาจะกลับมาตอบแทนบุญคุณ”
ทว่าการช่วยเหลือด้วยความหวังดีดังกล่าว กลับถูกตีความจากกลุ่มผู้ชุมนุมว่า ผู้ใหญ่บ้านเข้าข้างโจรนินจา จึงเริ่มมีเสียงตะโกนด่าทอในทำนองว่าช่วยโจรให้สบาย แต่ชาวบ้านต้องลำบากยืนตากแดด มิไยที่อิสมาแอจะพยายามชี้แจงซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าทั้งสองคนเป็นตำรวจไม่ใช่โจร แต่ก็ไม่มีใครยอมฟัง
แรงกดดันขยายวงไปถึงขั้นที่ผู้ชุมนุมซึ่งเพิ่มจำนวนเป็นหลายพันคนแล้วในตอนนั้นเตรียมการจะพังประตูและเผาบ้านของอิสมาแอ ขณะที่ตำรวจ สภ.อ.ระแงะ กับเจ้าหน้าที่จากอำเภอเพิ่งจะมาถึงได้ไม่นาน และสถานการณ์เริ่มชัดเจนว่าพวกเขามาสายเกินไป
“ที่ข่าวบอกว่าตำรวจมากัน 200-300 นายไม่เป็นความจริง ตำรวจมากันไม่กี่นาย กับ อส.อีก 7-8 คน คุณคิดดูก็แล้วกันว่าคนแค่นี้จะคุมชาวบ้านหลายพันคนได้อย่างไร”
ในช่วงเวลาอันวิกฤตนั้น อิสมาแอยืนยันว่าเขาได้ทำหน้าที่ในฐานะผู้ใหญ่บ้านอย่างดีที่สุดแล้ว ส่วนการมารับตัวพลร่มทั้ง 2 นายออกไป เป็นหน้าที่ของตำรวจกับฝ่ายปกครอง ซึ่งก็มีข้าราชการระดับสูงในพื้นที่ทยอยตามเข้ามา และพยายามชี้แจงทำความเข้าใจอีกหลายต่อหลายครั้ง กระทั่งสุดท้ายเมื่อสถานการณ์เข้าขั้นควบคุมไม่ได้
เขาก็ตัดสินใจขอร้องให้ชาวบ้านที่แออัดยัดเยียดกันอยู่ด้านหน้า ช่วยเปิดทางให้พลร่มทั้งสองเดินออกไป
“คนที่อยู่ด้านหน้าๆ ได้ยินเสียงชี้แจงก็พอเข้าใจ แต่พวกที่มาใหม่ พวกที่อยู่ด้านหลังมันไม่ฟัง แล้วก็มีการพูดปลุกระดมตลอดว่าตำรวจ 2 คนนี้อุ้มเด็กที่ดุซงญอบ้างอะไรบ้าง สุดท้ายก็ดันๆ กันเข้ามา ทั้งเตะทั้งต่อยจนพลร่มทั้ง 2 นายล้มลง จากนั้นเกิดอะไรขึ้นผมไม่เห็นอีกแล้ว มันชุลมุนมาก ฝุ่นคลุ้งตลบไปหมด” อิสมาแอ เล่าเสียงเครียด
เมื่อฝุ่นจางลง ผู้ชุมนุมหลายพันคนก็สลายไปอย่างรวดเร็ว ร่างของ 2 ตำรวจพลร่ม นอนนิ่งอยู่กลางลาน ตามร่างกายปรากฏรอยช้ำจากการถูกทุบตี และทำร้ายด้วยอาวุธรวมทั้งของมีคมนานาชนิด ตำรวจทั้งสองนายเสียชีวิตไปแล้ว
“หมู่บ้านของเราถูกมองในแง่ลบมาโดยตลอด ทั้งๆ ที่ไม่เคยเกิดเหตุรุนแรงขึ้นเลย แม้แต่เผาตู้โทรศัพท์ก็ยังไม่เคยมี ผมยืนยันว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่เหมือนกับที่ตันหยงลิมอ เพราะของเราเป็นการไปรับเจ้าหน้าที่มาอยู่ในที่ปลอดภัย และคนที่ทำร้ายเป็นคนนอกหมู่บ้าน ส่วนที่ตันหยงลิมอ เป็นการจับตัวเจ้าหน้าที่ แล้วก็ถูกทำร้ายจนตาย” อิสมาแอ กล่าว
สิ่งที่ค้างคาใจอิสมาแออย่างยิ่งก็คือ ไม่มีนักข่าว แม้เพียงคนเดียวที่จะมาถามเขา ถามชาวบ้านว่า เหตุการณ์ความจริงในวันนั้นเป็นอย่างไร และนี่คือรอยด่างที่ทำให้ คนบือนังกือเปาะ ถูกมองว่าเป็นผู้รุมฆ่าสองตำรวจพลร่วม
“นักข่าวเข้ามาพร้อมกับตำรวจ แต่ไม่มีใครมาถามหาความจริง มาถามผม หรือชาวบ้านเลย และก็มีการเสนอข่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของชาวบ้านบือนังกือเปาะ ชาวบ้านรุมฆ่าตำรวจ ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมข่าวออกไปเช่นนี้ เพราะไม่มีชาวบ้านของผมไปร่วมก่อเหตุด้วย พวกที่ก่อเหตุจะเป็นใครมาจากไหน ผมก็ไม่รู้”
อิสมาแอบอกว่า หลังเกิดเหตุก็ไม่กลัว และพร้อมจะเปิดเผยความจริงทั้งหมด เพราะถือว่าทำหน้าที่อย่างถูกต้อง และเป็นฝ่ายที่ได้ช่วยเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วย ไม่ได้ช่วยคนร้าย แต่ไม่มีนักข่าวมาสอบถามเขาเลย ไม่ว่าจะเป็นในขณะเกิดเหตุ หรือหลังจากเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว
“ข่าวทุกข่าวไปหากันแค่โรงพักระแงะเท่านั้น ในขณะที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ก็ทำงานล่าช้า หลังเกิดเหตุมีคราบเลือด มีหลักฐานตกอยู่เยอะมาก แต่ไม่เก็บหลักฐานอะไรเลย ผมเองต้องเก็บหลักฐานทุกอย่างในที่เกิดเหตุ ทั้งไม้ มีด พร้า เอาไว้ถึง 15 วัน ก็ไม่มีใครสนใจ จึงตัดสินใจไปทิ้งลงคลอง จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงมาติดต่อมาว่าจะเอา ต้องไปงมมาให้อีก”
ถึงวันนี้ กรณีสังหาร 2 ตำรวจพลร่มยังไม่จบ เพราะเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 4 คน คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลจังหวัดสงขลา โดยผู้ใหญ่บ้านอิสมาแอต้องขึ้นให้การในฐานะพยานด้วย
ลมร้อนพัดผ่านมาวูบหนึ่ง แต่กระแสลมแรงไม่สามารถพัดพาเรื่องร้ายๆ ให้ปลิวหายไปจากความทรงจำของชาวบือนังกือเปาะได้ ผู้ใหญ่บ้านฝากคำพูดทิ้งท้ายที่เป็นความหวังอย่างเนิ่นนานในหัวใจของเขา
“ผมอยากให้สังคมเข้าใจหมู่บ้านของเราเสียที”
ประมวลข่าวเกี่ยวเนื่อง "สังหาร2นายทหารนาวิกโยธิน-ตันหยงลิมอ"