ยะลา - เผยหน่วยข่าวกรองชายแดนใต้พบความเคลื่อนไหวของ “กลุ่มญิฮาดอิสลามรัฐปัตตานี” ตามแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย เชื่อ ส.ค.นี้จะมีการก่อเหตุในพื้นที่อีกระลอกใหญ่
มีรายงานจากหน่วยข่าวความมั่นคงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า เจ้าหน้าที่ได้สืบทราบว่าได้การเคลื่อนไหวของกลุ่มญิฮาดอิสลามเพื่อรัฐปัตตานี บริเวณด้านรัฐเปรัค ประเทศมาเลเซีย โดยพบว่ามีการนำเอกสารนำส่งให้กับแกนนำในประเทศมาเลเซีย และแกนนำใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เดินทางเข้าไปในประเทศมาเลเซีย
โดยมีข้อความเขียนว่า “1785 NOVEMBER” และมีข้อความเป็นภาษารูมีแปลได้ว่า “กองกำลังญิฮาดอิสลามเพื่อรัฐปัตตานี” มีอักษรย่อว่า “GJIP” พร้อมทั้งมีคำแปลเป็นภาษารูมีอีกว่า “กือเลาะกันญิฮาด อิสลามปัตตานี” พร้อมตราประทับลงท้ายที่มีลักษณะเป็นปืนใหญ่คู่เมืองปัตตานีสีแดง 2 กระบอกอยู่ทั้ง 2 ด้าน และใต้ปืนใหญ่มีอักษรสีเขียวเขียนว่า “ญิฮาด” โดยประทับไว้หัวกระดาษเอกสารและท้ายเอกสารฉบับดังกล่าว
จากข้อความในเอกสารดังกล่าว ขณะนี้หน่วยข่าวความมั่นคงได้มีการคาดว่า อาจจะเป็นการนัดหมายอย่างใดอย่างหนึ่งของกองกำลังดังกล่าว เพื่อมีการนัดพบกับระดับแกนนำที่ก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่มีแผนจะก่อเหตุในรูปแบบต่างๆ ในช่วงเดือน ส.ค.นี้
เช่น ในพื้นที่ จ.ยะลา ประกอบด้วย ในเขต อ.เมือง อ.ยะหา อ.เบตง อ.รามัน อ.ธารโต และ อ.บันนังสตา
ส่วนที่ จ.ปัตตานี ประกอบด้วย ในเขต อ.เมือง อ.หนองจิก อ.โคกโพธิ์ อ.ยะรัง อ.มายอ อ.แม่ลาน และ อ.ทุ่งยางแดง
ใน จ.นราธิวาส ประกอบด้วย ในเขต อ.เมือง อ.เจาะไอร้อง อ.สุไหงปาดี อ.ระแงะ อ.จะแนะ อ.ตากใบ อ.สุคิริน อ.สุไหงโก–ลก อ.รือเสาะ
สำหรับในเขต จ.สงขลา ประกอบด้วย อ.เทพา อ.สะบ้าย้อย และ อ.จะนะ
หน่วยข่าวความมั่นคงยังประเมินเกี่ยวเอกสารดังกล่าวว่า ความหมายในเอกสารอาจมีความหมายอยู่ในตัวมันเอง เนื่องจากที่ผ่านมาเอกสารในการปลุกระดมเป็นเพียงเอกสารสั้นๆ 2–3 บรรทัด แต่มีความชัดเจนและเข้าใจเฉพาะกลุ่ม ซึ่งกลุ่มญิฮาดอิสลามรัฐปัตตานีนี้จะมีการเรียกร้องให้ต่อสู้เพื่อปลดปล่อยรัฐปัตตานี
ด้วยการอ้างว่าพวกตนเองเคยปกครองกันมาก่อน และทุกคนมีเชื้อชาติมลายู นับถือศาสนาอิสลาม มาเป็นการเรียกร้องให้เป็นสงครามศักดิ์สิทธิ์ หรือสงครามศาสนา เพื่อแบกรับภารกิจจากพระผู้เป็นเจ้าในการใช้กฎหมายของพระเจ้า คือเป็นรัฐอิสลาม โดยมีการเรียกร้องให้มีการต่อสู้ในรูปแบบของการปฏิวัติ แต่จะต้องอยู่บนพื้นฐานของอิสลาม และการศรัทธาในอิสลาม
กองกำลังญิฮาดอิสลามรัฐปัตตานีในขณะนี้จะเป็นกลุ่มเยาวชนที่มีการคัดมาจากกลุ่มนักเรียนปอเนาะ นักเรียนโรงเรียนเอกชนที่สอนศาสนาอิสลามที่ยากจน ครอบครัวมีปัญหา โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนที่เป็นลูกหลานของกลุ่มนักต่อสู้ที่เสียชีวิตจากการต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ รวมทั้งกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสังคมในรูปแบบต่างๆ มาเป็นแนวร่วมของกลุ่มขบวนการนี้
เนื่องจากเยาวชนดังกล่าวจะสามารถปลุกเร้าและปลูกฝังร่วมอุดมการณ์ได้ง่าย และแกนนำของกลุ่มญิฮาดอิสลามปัตตานีจะมีการประสานกับกลุ่มนักการเมือง และนักการศาสนาในแต่ละพื้นที่ที่อยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งกลุ่มกองกำลังกลุ่มนี้จะมีการดำเนินงานในลักษณะองค์กรใต้ดิน ส่วนหนึ่งแอบแฝงอยู่ตามสถานศึกษาทางศาสนา โดยใช้องค์กรเหล่านี้บังหน้ามาโดยตลอด
จากการสืบทราบยังพบว่า ในขณะนี้ได้มีการดำเนินงานทางยุทธศาสตร์เพื่อมุ่งหมายในการจัดตั้งรัฐอิสลามปัตตานี โดยมีแผนการในระยะสั้น เช่น การก่อความไม่สงบเป็นช่วงๆ อย่างที่เกิดเหตุที่ผ่านมา และระยะยาวตามแผนการต่อสู้ 7 ขั้น ทั้งนี้ ในแผนระยะยาวจะเป็นในรูปแบบการจัดตั้งมวลชล จัดตั้งองค์กร (เพื่อการบังหน้า) จัดตั้งกองกำลัง ปลูกฝังอุดมการณ์ชาตินิยม เตรียมพร้อม และก่อการปฏิวัติ ซึ่งในขณะนี้จากแผนระยะยาวทำให้มีแนวร่วมที่เป็นกลุ่มเด็กระดับประถมศึกษาในโรงเรียนตาดีกา หรือศูนย์อบรมจริยธรรมอิสลามประจำมัสยิด
โดยมีอิหม่ามประจำมัสยิด และครูสอนศาสนา หรืออุสตาซบางแห่งที่เป็นสมาชิกของขบวนการเป็นผู้ดำเนินการ จนมีการแผ่ขยายเข้าไปสู่กลุ่มเยาวชนที่ศึกษาอยู่ในระดับมัธยมตามปอเนาะ หรือโรงเรียนเอกชนที่สอนศาสนาอิสลาม รวมไปถึงนักศึกษามหาวิทยาลัยบางแห่งในภาคใต้แล้ว
ส่วนเหตุการณ์การก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ขณะนี้ คาดว่าจะเป็นกลุ่มเยาวชนของกลุ่มญิฮาดอิสลามปัตตานี ซึ่งเยาวชนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ได้มีการจัดส่งไปศึกษาทางศาสนา พร้อมอบรมด้านการทหาร และการก่อวินาศกรรรมที่ประเทศแถบตะวันออกกลาง อย่าง ลิเบีย ซีเรีย อิรัก
โดยประเทศเหล่านี้จะมีการสนับสนุนการฝึกร่วมกับขบวนการอื่นๆ คือขบวนการปาเลสไตน์ ขบวนการอาเจาะห์เสรี และกลุ่มอาบูไซยาฟ และภายหลังจากการฝึกจนจบหลักสูตรก็จะเดินทางกลับมาปรับเปลี่ยนกับแกนนำและแนวร่วมในแต่ละพื้นที่ ซึ่งได้ถูกเจ้าหน้าที่กดดันไล่ล่าอย่างหนัก จึงได้มีการปรับเปลี่ยนกองกำลัง และกลุ่มเยาวชนกลุ่มนี้จะเข้าปฏิบัติการร่วมกับกองกำลังพันธมิตรของขบวนการเบอร์ซาตู โดยมีพื้นที่ปฏิบัติการในป่าเขาและชนบท เช่น การเผาโรงเรียน ฆ่าตัดคอ และลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่บริเวณดังกล่าว
มีรายงานจากหน่วยข่าวความมั่นคงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า เจ้าหน้าที่ได้สืบทราบว่าได้การเคลื่อนไหวของกลุ่มญิฮาดอิสลามเพื่อรัฐปัตตานี บริเวณด้านรัฐเปรัค ประเทศมาเลเซีย โดยพบว่ามีการนำเอกสารนำส่งให้กับแกนนำในประเทศมาเลเซีย และแกนนำใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เดินทางเข้าไปในประเทศมาเลเซีย
โดยมีข้อความเขียนว่า “1785 NOVEMBER” และมีข้อความเป็นภาษารูมีแปลได้ว่า “กองกำลังญิฮาดอิสลามเพื่อรัฐปัตตานี” มีอักษรย่อว่า “GJIP” พร้อมทั้งมีคำแปลเป็นภาษารูมีอีกว่า “กือเลาะกันญิฮาด อิสลามปัตตานี” พร้อมตราประทับลงท้ายที่มีลักษณะเป็นปืนใหญ่คู่เมืองปัตตานีสีแดง 2 กระบอกอยู่ทั้ง 2 ด้าน และใต้ปืนใหญ่มีอักษรสีเขียวเขียนว่า “ญิฮาด” โดยประทับไว้หัวกระดาษเอกสารและท้ายเอกสารฉบับดังกล่าว
จากข้อความในเอกสารดังกล่าว ขณะนี้หน่วยข่าวความมั่นคงได้มีการคาดว่า อาจจะเป็นการนัดหมายอย่างใดอย่างหนึ่งของกองกำลังดังกล่าว เพื่อมีการนัดพบกับระดับแกนนำที่ก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่มีแผนจะก่อเหตุในรูปแบบต่างๆ ในช่วงเดือน ส.ค.นี้
เช่น ในพื้นที่ จ.ยะลา ประกอบด้วย ในเขต อ.เมือง อ.ยะหา อ.เบตง อ.รามัน อ.ธารโต และ อ.บันนังสตา
ส่วนที่ จ.ปัตตานี ประกอบด้วย ในเขต อ.เมือง อ.หนองจิก อ.โคกโพธิ์ อ.ยะรัง อ.มายอ อ.แม่ลาน และ อ.ทุ่งยางแดง
ใน จ.นราธิวาส ประกอบด้วย ในเขต อ.เมือง อ.เจาะไอร้อง อ.สุไหงปาดี อ.ระแงะ อ.จะแนะ อ.ตากใบ อ.สุคิริน อ.สุไหงโก–ลก อ.รือเสาะ
สำหรับในเขต จ.สงขลา ประกอบด้วย อ.เทพา อ.สะบ้าย้อย และ อ.จะนะ
หน่วยข่าวความมั่นคงยังประเมินเกี่ยวเอกสารดังกล่าวว่า ความหมายในเอกสารอาจมีความหมายอยู่ในตัวมันเอง เนื่องจากที่ผ่านมาเอกสารในการปลุกระดมเป็นเพียงเอกสารสั้นๆ 2–3 บรรทัด แต่มีความชัดเจนและเข้าใจเฉพาะกลุ่ม ซึ่งกลุ่มญิฮาดอิสลามรัฐปัตตานีนี้จะมีการเรียกร้องให้ต่อสู้เพื่อปลดปล่อยรัฐปัตตานี
ด้วยการอ้างว่าพวกตนเองเคยปกครองกันมาก่อน และทุกคนมีเชื้อชาติมลายู นับถือศาสนาอิสลาม มาเป็นการเรียกร้องให้เป็นสงครามศักดิ์สิทธิ์ หรือสงครามศาสนา เพื่อแบกรับภารกิจจากพระผู้เป็นเจ้าในการใช้กฎหมายของพระเจ้า คือเป็นรัฐอิสลาม โดยมีการเรียกร้องให้มีการต่อสู้ในรูปแบบของการปฏิวัติ แต่จะต้องอยู่บนพื้นฐานของอิสลาม และการศรัทธาในอิสลาม
กองกำลังญิฮาดอิสลามรัฐปัตตานีในขณะนี้จะเป็นกลุ่มเยาวชนที่มีการคัดมาจากกลุ่มนักเรียนปอเนาะ นักเรียนโรงเรียนเอกชนที่สอนศาสนาอิสลามที่ยากจน ครอบครัวมีปัญหา โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนที่เป็นลูกหลานของกลุ่มนักต่อสู้ที่เสียชีวิตจากการต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ รวมทั้งกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสังคมในรูปแบบต่างๆ มาเป็นแนวร่วมของกลุ่มขบวนการนี้
เนื่องจากเยาวชนดังกล่าวจะสามารถปลุกเร้าและปลูกฝังร่วมอุดมการณ์ได้ง่าย และแกนนำของกลุ่มญิฮาดอิสลามปัตตานีจะมีการประสานกับกลุ่มนักการเมือง และนักการศาสนาในแต่ละพื้นที่ที่อยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งกลุ่มกองกำลังกลุ่มนี้จะมีการดำเนินงานในลักษณะองค์กรใต้ดิน ส่วนหนึ่งแอบแฝงอยู่ตามสถานศึกษาทางศาสนา โดยใช้องค์กรเหล่านี้บังหน้ามาโดยตลอด
จากการสืบทราบยังพบว่า ในขณะนี้ได้มีการดำเนินงานทางยุทธศาสตร์เพื่อมุ่งหมายในการจัดตั้งรัฐอิสลามปัตตานี โดยมีแผนการในระยะสั้น เช่น การก่อความไม่สงบเป็นช่วงๆ อย่างที่เกิดเหตุที่ผ่านมา และระยะยาวตามแผนการต่อสู้ 7 ขั้น ทั้งนี้ ในแผนระยะยาวจะเป็นในรูปแบบการจัดตั้งมวลชล จัดตั้งองค์กร (เพื่อการบังหน้า) จัดตั้งกองกำลัง ปลูกฝังอุดมการณ์ชาตินิยม เตรียมพร้อม และก่อการปฏิวัติ ซึ่งในขณะนี้จากแผนระยะยาวทำให้มีแนวร่วมที่เป็นกลุ่มเด็กระดับประถมศึกษาในโรงเรียนตาดีกา หรือศูนย์อบรมจริยธรรมอิสลามประจำมัสยิด
โดยมีอิหม่ามประจำมัสยิด และครูสอนศาสนา หรืออุสตาซบางแห่งที่เป็นสมาชิกของขบวนการเป็นผู้ดำเนินการ จนมีการแผ่ขยายเข้าไปสู่กลุ่มเยาวชนที่ศึกษาอยู่ในระดับมัธยมตามปอเนาะ หรือโรงเรียนเอกชนที่สอนศาสนาอิสลาม รวมไปถึงนักศึกษามหาวิทยาลัยบางแห่งในภาคใต้แล้ว
ส่วนเหตุการณ์การก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ขณะนี้ คาดว่าจะเป็นกลุ่มเยาวชนของกลุ่มญิฮาดอิสลามปัตตานี ซึ่งเยาวชนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ได้มีการจัดส่งไปศึกษาทางศาสนา พร้อมอบรมด้านการทหาร และการก่อวินาศกรรรมที่ประเทศแถบตะวันออกกลาง อย่าง ลิเบีย ซีเรีย อิรัก
โดยประเทศเหล่านี้จะมีการสนับสนุนการฝึกร่วมกับขบวนการอื่นๆ คือขบวนการปาเลสไตน์ ขบวนการอาเจาะห์เสรี และกลุ่มอาบูไซยาฟ และภายหลังจากการฝึกจนจบหลักสูตรก็จะเดินทางกลับมาปรับเปลี่ยนกับแกนนำและแนวร่วมในแต่ละพื้นที่ ซึ่งได้ถูกเจ้าหน้าที่กดดันไล่ล่าอย่างหนัก จึงได้มีการปรับเปลี่ยนกองกำลัง และกลุ่มเยาวชนกลุ่มนี้จะเข้าปฏิบัติการร่วมกับกองกำลังพันธมิตรของขบวนการเบอร์ซาตู โดยมีพื้นที่ปฏิบัติการในป่าเขาและชนบท เช่น การเผาโรงเรียน ฆ่าตัดคอ และลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่บริเวณดังกล่าว