xs
xsm
sm
md
lg

ลาก่อน “ซิมการ์ด” สวัสดี “นาฬิกาปลุก !?!”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รายงานศูนย์ข่าวหาดใหญ่.....
 
10 พฤษภาคม 2548 นับเป็นวันแรกที่มาตรการ จัดระเบียบการใช้และซื้อขาย “ซิมการ์ด” ที่ใช้กับโทรศัพท์มือถือได้ถูกบังคับใช้อย่างเป็นทางการในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยก่อนหน้านี้หลายฝ่ายได้แสดงความคิดเห็นในประเด็นนี้กันอย่างกว้างขวาง เจ้าหน้าที่รัฐมั่นใจว่าจะสามารถควบคุมการก่อเหตุลอบวางระเบิดได้ ด้วยวิธีจุดชนวนระเบิดจากโทรศัพท์มือถือได้ นักสิทธิมนุษยชนเป็นห่วงว่าจะกระทบต่อสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2540

ด้านร้านค้าและบริษัทยักษ์ใหญ่ ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการโทรศัพท์มือถือ กังวลว่ายอดขายจะลดวูบ ส่วนประชาชนก็กลัวว่าจะไม่ได้รับความสะดวกจากการซื้อโมบายโฟน ที่ก่อนหน้านี้แค่มีเงินก็สามารถซื้อหาได้อย่างสะดวก ไม่ต้องวุ่นวายกับเอกสารต่างๆ แต่อย่างใด

ส่วนกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่ก่อกวนอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และบางส่วนของจังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งมาตรการจัดระเบียบการใช้ซิมการ์ดดังกล่าว ในเบื้องต้นไม่มีความเห็นใดๆ เพราะจนถึงขณะนี้ก็ยังควานหาตัวมือบึ้มกันไม่เจอว่า ผู้ก่อการร้ายแท้จริงแล้วเป็นกลุ่มไหน มีใครเป็นแกนนำ และทำเพื่ออุดมการณ์อะไรกันแน่ ??!!

เพราะทุกครั้งที่มีการก่อเหตุ ผู้ก่อการร้ายมักจะมาแบบ “เหนือเมฆ” ภายหลังก่อการเสร็จก็มักจะหลบหายไปใน “กลีบเมฆ” ได้ทุกครั้งไป เจ้าหน้าที่เองก็ติดตามได้แค่ริม “ป่าละเมาะ” เพราะหวังว่าอาจจะจับกุมคนร้ายได้อย่าง “ละม่อม” เหมือนกับคดีทั่วๆ ไป

แต่นี่คือ “โจรมืออาชีพ” ไม่ใช่ “โจรกระจอก” เพราะก่อเหตุในใจกลางเมือง หรืออย่างเลวก็ซุ่มยิงเจ้าหน้าที่ริมป่าละเมาะ แต่สุดท้ายก็หลบหนีหายไปในกลีบเมฆเสมอ แสดงให้เห็นว่า “ไม่ธรรมดา”

จะสังเกตเห็นได้ว่า ในช่วงที่สังคมไทยมีการถกเถียงกันในเรื่องของการจัดระเบียบซิมการ์ด เพื่อขจัดปัญหาการใช้โทรศัพท์มือถือจุดชนวนระเบิดนั้น กลุ่มผู้ก่อการร้ายเองก็ไม่ได้คิดที่จะพัฒนาวิธีการก่อเหตุวางระเบิดให้ล้ำหน้าไปกว่าการใช้โทรศัพท์มือถือระบบดิจิตอล จุดชนวนแต่อย่างใด

แต่ก่อนหน้าที่มาตรการนี้จะมีผลบังคับใช้ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ประมาณ 2 สัปดาห์ เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดในพื้นที่ จ.นราธิวาส ก็สามารถเก็บกู้ระเบิดแสวงเครื่องที่ประกอบเข้ากับถังดับเพลิง บริเวณหลังธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขา อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ไว้ได้ทันก่อนที่จะเกิดระเบิดขึ้น ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า คนร้ายกลับมาใช้ “นาฬิกาปลุก” เป็นตัวจุดชนวนระเบิด แทนการใช้โทรศัพท์มือถือ

หลังจากนั้นในเหตุการณ์การลอบวางระเบิดในอีกหลายครั้งก็จะพบว่ายังมีอีกหลายวิธี ที่คนร้ายใช้จุดระเบิด ทั้งการต่อสายไฟยาว ลากเข้าไปกดจุดชนวนด้วยแบตเตอรี่ในป่าละเมาะ ที่เริ่มจะมีการก่อเหตุในลักษณะนี้ถี่ขึ้น การใช้วงจรตั้งเวลาเปิดปิดโทรทัศน์ มาต่อเข้ากับวงจรจุดระเบิด พบในที่เกิดเหตุ จ.ยะลา รวมทั้งการจุดระเบิดด้วยซิมการ์ด ก็ยังปรากฏให้เห็นที่ อ.เทพา และ อ.สะบ้าย้อย

แสดงให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมว่า กลุ่มผู้ก่อการร้ายไม่ “ยี่หระ” ต่อการจัด “ระเบียบซิมการ์ด” แต่อย่างใด เพราะเมื่อระบบ “ดิจิตอล” อันเป็นเทคโนโลยีทรงประสิทธิภาพถูกฝ่ายรัฐควบคุม (แต่ยังไม่มีคำตอบว่าจะได้ผลหรือไม่ เพราะซิมการ์ดเถื่อนจากประเทศเพื่อนบ้านก็สามารถใช้แทนกันได้) ระบบ “อนาล็อก” เช่น นาฬิกาปลุกแบบเข็ม ซึ่งเป็นเทคโนโยลีที่คาดกันว่าน่าจะล้าสมัยไปแล้ว จึงถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง

“เมื่อก่อนระเบิดที่คนร้ายนิยมใช้ก่อเหตุในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะใช้นาฬิกาปลุกตั้งเวลาเป็นตัวจุดชนวนระเบิด แต่ในช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมานี้คนร้ายได้เริ่มเปลี่ยนมาใช้โทรศัพท์มือถือ ซึ่งต่อไปก็คงจะมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เพราะมีเทคโนโลยีใหม่เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ คนที่กู้ก็จะต้องไม่หยุดนิ่ง ต้องพัฒนาหาความรู้ในการเก็บกู้อยู่เสมอๆ”

เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิดรายหนึ่ง กล่าวกับ “ผู้จัดการรายวัน” พร้อมกับให้ความเห็นเกี่ยวกับการจัดระเบียบซิมการ์ดว่า

“เมื่อรัฐบาลเข้มงวดการใช้ซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือมากขึ้น ก็คงจะป้องกันการลอบวางระเบิดได้ในระดับหนึ่ง เพราะจะทำให้สามารถตามจับกุมคนที่ก่อเหตุได้ แต่เราต้องอย่าลืมว่าคนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะจังหวัดที่มีพรมแดนติดกับประเทศมาเลเซีย สามารถเดินทางเข้าออก และหาซื้อซิมการ์ดจากมาเลย์ได้ง่าย รวมทั้งซิมการ์ดเถื่อน ที่มีอยู่อย่างเกลื่อนกราดตามแนวชายแดน และสามารถนำมาใช้งานในประเทศไทยได้ด้วย”

มองจากมุมของผู้เชี่ยวชาญที่คลุกคลีอยู่การปฏิบัติงานเก็บกู้วัตถุระเบิดในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และจากข้อมูลที่กล่าวมานั้น เราจะเห็นว่า แทนที่คนร้ายจะเลือกใช้วิธีการจุดชนวนระเบิดที่เป็นเทคโนโลยีขั้นสูงขึ้นไปกว่าการใช้โทรศัพท์มือถือจุดชนวน แต่ขณะนี้คนร้ายกลับเลือกที่จะหวนไปใช้วิธีเก่าๆ ซึ่งก็คุ้นเคยมือและใช้กันมาตลอดระยะเวลาในการก่อความไม่สงบในพื้นที่

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดเองก็นับว่า มีความเชี่ยวชาญในการเก็บกู้วัตถุระเบิดที่จุดชนวนด้วย “นาฬิกาปลุก” ขอเพียงแค่ทราบก่อนล่วงหน้า เพื่อจะได้มีเวลาทำการเก็บกู้ ไม่เฉพาะการใช้นาฬิกาปลุก แต่การใช้ซิมการ์ดจุดชนวนก็เช่นเดียวกัน หากรู้ก่อนและสามารถบล็อกสัญญาณโทรศัพท์มือถือได้ เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้ก็สามารถปฏิบัติได้อย่างไม่ลำบากลำบนนัก

แต่ปัญหาหลักก็คือ การลอบวางระเบิดที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้ง เจ้าหน้าที่แทบจะไม่มีโอกาสรับรู้ถึงจุดที่ระเบิดวางอยู่ รัฐจึงต้องขอความร่วมมือชาวบ้านให้ช่วยแจ้งเบาะแส และภายหลังจากที่มีการใช้ซิมการ์ดเป็นตัวจุดระเบิด รัฐจึงต้องออกมาตรการจัดระเบียบ เพื่อติดตามจับกุมคนร้ายหลังเหตุระเบิดผ่านพ้นไปแล้ว

ทว่า ฝ่ายรัฐเองกลับยังไม่มีการหารือมาตรการเชิงรุก เพื่อจะให้ได้มาซึ่งการรับรู้ความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนร้าย ก่อนที่จะมีการก่อเหตุ ทั้งด้านการข่าว และการสืบสวนสอบสวน หรือหากมีแต่ก็ยังด้อยประสิทธิภาพ ??!!

ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องใช้แต่ “มาตรการล้อมคอก” ที่ส่อให้เห็นความล้มเหลวในการควบคุมสถานการณ์การลอบวางระเบิดอย่างสิ้นเชิง เพราะสุดท้ายแล้วคนร้ายก็ยังคงสรรหาวิธีการก่อเหตุล้ำหน้าเจ้าหน้าที่รัฐอยู่ร่ำไป แม้จะเป็นวิธีการที่ดูคร่ำครึก็ตามที

“หลังจากรัฐบาลได้ออกมาตรการควบคุมการใช้ซิมการ์ดในโทรศัพท์มือถือระบบเติมเงิน และมีการตัดสัญญาณโทรศัพท์ในจุดที่พบวัตถุระเบิด กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบจึงเปลี่ยนรูปแบบการวางระเบิดมาใช้ระเบิดแบบตั้งเวลาด้วยนาฬิกาปลุก จะกำหนดเป้าหมายและเวลาในจุดที่เจ้าหน้าที่เดินทางมาเป็นประจำ ทำให้ยากต่อการควบคุม” พล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวเปิดเผย ความพยายามของกลุ่มผู้ก่อการร้าย (มติชน 15 พ.ค. 2548)

เมื่อเป็นดังนี้แล้ว พนักงานออฟฟิศที่ตื่นไปทำงานสายเป็นประจำ ก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจกันไว้แต่เนิ่นๆ เพราะในไม่ช้านี้ คุณอาจจะต้องแสดงบัตรประจำตัวประชาชนทุกครั้ง ที่เดินเข้าร้านขาย “นาฬิกาปลุก” เพื่อเหตุผลทางความมั่นคงของชาติ ตามมาตรการใหม่ของรัฐบาลก็เป็นได้!!!!
กำลังโหลดความคิดเห็น