กว่าเดือนเศษแล้วที่เหตุการณ์ลอบก่อวินาศกรรม 3 จุด ใน อ.หาดใหญ่ และ อ.เมืองสงขลา ได้ผ่านพ้นไป แต่ทว่าในความรู้สึกของคนทั่วไปเหมือนกลับรู้สึกว่าเพิ่งเกิดเหตุร้ายนี้ขึ้นมาหมาดๆ เพราะผู้บาดเจ็บส่วนหนึ่งก็ยังต้องทนกับสภาพบาดแผลที่เกิดจากแรงระเบิด และร่างกายผูกติดกับความพิการตลอดชีวิต ล้วนแล้วแต่ตอกย้ำความโหดร้ายของผู้ก่อการร้ายที่ปราศจากความเมตตา และตระหนักในคุณค่าของชีวิตผู้อื่น นอกจากกระทำการเพื่อตอบสนองความต้องการบางอย่างโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ
หนึ่งในเหยื่อระเบิดที่กลายสัญลักษณ์ของเหตุการณ์เมื่อค่ำวันอาทิตย์ที่ 3 เม.ย.48 นั่นคือชีวิตของเด็กตัวน้อยในวัยช่างเจรจา “น้องฮ่องเต้” หรือ ด.ช.พัชรพล เจริญศิลป์ วัย 4 ขวบ ซึ่งติดตามคุณพ่อ หรือ นายณัฐพล เจริญศิลป์ ผู้ล่วงลับไปท่าอากาศยานนานาชาติหาดใหญ่ เพื่อรับคุณแม่นางวาสนา เจริญศิลป์ ที่กำลังจะมาพบหน้าลูกชายจอมซนในไม่ช้า แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อสองพ่อลูกคู่นี้กลายเป็นเหยื่อของแรงระเบิด
ในขณะที่ผู้เป็นพ่อไม่สามารถร้องขอชีวิตต่อมัจจุราชได้ คงเหลือเพียงเด็กตัวน้อยที่มีสภาพบาดเจ็บสาหัส ร่างกายซีกขวาถูกแรงระเบิดทั้งตัวรวมทั้งศีรษะ เป็นแผลไหม้ที่แขน - ขา หน้าท้อง และลำไส้ทะลัก ก่อนที่จะถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลหาดใหญ่ รวมกับผู้บาดเจ็บคนอื่นๆ นับสิบคน เป็นภาพที่น่าสังเวชแก่ผู้ที่พบเห็นและทราบข่าวในคืนนั้น ซึ่งนางวาสนา เจริญศิลป์ หรือ “แม่เปี๊ยก” ของ “น้องฮ่องเต้”เผยความรู้สึกหลังจากผ่านเหตุการณ์นั้นมาอย่างทำใจลำบาก
“ครั้งแรกที่รู้ข่าวว่าก็พยายามทำใจ ไม่ว่าสภาพของลูกจะเป็นอย่างไร ก็ขอให้ยังมีร่างกายที่พอสัมผัสกันได้ แต่เมื่อวินาทีแรกที่เห็นลูกอาการสาหัสแทบเอาชีวิตไม่รอด คุณหมอต้องดูแลและช่วยเหลือนาทีต่อนาที และคนส่วนใหญ่หรือแม้แต่เราเองเห็นว่าโอกาสที่จะรอดมีน้อยมาก จึงได้แต่ก็คิดปลอบใจตัวเองตลอดเวลาว่าลูกเราจะต้องรอดชีวิต แม้จะกลัวก็ตาม” นางวาสนากล่าวพลางมองดู “น้องฮ่องเต้” เล่นเครื่องเล่นภายในห้องกิจกรรมบำบัดกับญาติๆ ด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม เสมือนไม่เคยมีรับความเจ็บปวดใดๆ มาก่อน
แม้ในขณะนั้น ครอบครัว “เจริญศิลป์”จะพบกับความมืดมนในชีวิตที่ต้องสูญเสียเสาหลักของบ้านไป และยังไม่รู้ชะตากรรมของหนูน้อยว่าจะออกมาเป็นเช่นไร แสงสว่างก็บังเกิดขึ้น เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทรงโปรดเกล้าฯ รับ “น้องฮ่องเต้” เป็นคนไข้ในพระบรมราชูปถัมภ์ด้วยพระเมตตา
ด้วยทีมแพทย์และการรักษาที่ดีที่สุดเท่าที่วิทยาการทางการแพทย์ในประเทศไทยจะมีได้ ทำให้สภาพร่างกายค่อยๆ ดีขึ้นมาเรื่อยๆ จากที่เป็นแผลฉกรรจ์ ที่ลำคอ ศีรษะและดวงตาข้างขวา ซึ่งต้องพันแผลแทบทั้งตัว จนกระทั่งวันนี้ “น้องฮ่องเต้” สามารถเดิน เล่น กิน ได้อย่างปกติด้วยความไร้เดียงสา และทำกิจวัตรประจำวันเอง
แม้ว่า นางวาสนา ผู้เป็นแม่จะเหนื่อยน้อยลงในเรื่องของการเฝ้าดูอาการ แต่ต้องดูแลเรื่องการเคลื่อนไหวและทำกิจกรรมร่วมกันมากขึ้น เพราะจะมีคำถามที่ต้องตอบ “น้องฮ่องเต้” มากขึ้น ด้วยเหตุที่ “น้องฮ่องเต้” พูดคุยและเล่นกับญาติผู้ใหญ่เมื่ออยู่ที่บ้านมากกว่าวิ่งเล่นกับเพื่อนวัยเดียวกัน ทำให้มีพัฒนาการพูดและความคิดติดไปด้วย บางครั้งก็เหมือนมีความคิดอ่านที่เกินวัย แต่สิ่งที่ได้กลับคืนมาเมื่อเห็นลูกมีสุขภาพจิตที่สดใสได้ขนาดนี้ ซึ่งมากกว่าที่ผู้เป็นแม่คาดหวังเอาไว้เยอะมาก แม่เองก็มีความสุข
หากจะมีคำอธิบายที่ “น้องฮ่องเต้” เข้าใจง่ายตามจินตนาการของเด็กเล็กวัยกำลังเรียนรู้ถึงสิ่งที่เกิดกับชีวิตของเด็กน้อย ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะการรับพลังวิเศษจากอุลตร้าแมน ซึ่งเป็นฮีโร่ในโลกจินตนาการที่เคยดูจากวีซีดีบ่อยๆ นั่นเอง และยิ่งตอกย้ำความเป็นผู้พิทักษ์ความดีขึ้นอีก เมื่อผู้เป็นแม่อธิบาย “น้องฮ่องเต้” ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสอดคล้องกับพล็อตเรื่องที่เชื่อว่าคนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ว่าเป็นเพราะสัตว์ประหลาดที่จ้องเล่นงานจึงทำให้ “น้องฮ่องเต้” ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็มีอุลตร้าแมน ที่มาช่วยนำตัวมารักษา และขณะนี้เจ้าสัตว์ประหลาดได้แอบหนีไป ซึ่งทางตำรวจกำลังเร่งจับตัวอยู่
“ที่บ้านมักจะซื้อแผ่นซีดีการ์ตูนต่างๆ แต่จะสังเกตได้ว่า “น้องฮ่องเต้” จะชอบดูเรื่องอุลตร้าแมนมาก เพราะจะดูซ้ำๆ และจะจำเหตุการณ์ได้ ก็เลยเลือกดูเฉพาะเรื่องนี้ เขาเคยบอกแม่นะ ว่าโตขึ้นมาอยากเป็นอุลตร้าแมน แม้ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่พอรู้ว่าทุกคนต้องมีอาชีพ และต้องเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ เขาก็อยากเป็นทหารเรือ
ส่วนเสื้อผ้าก็เป็นรูปการ์ตูนเรื่องอุลตร้าแมนด้วย มีทั้งที่พ่อและแม่ซื้อให้ แต่ทุกครั้งน้องฮ่องเต้จะเป็นคนเลือกเอง ซึ่งตอนนี้จะใส่เสื้อและกางเกงที่มีอุลตร้าแมนเกือบทุกวัน มีบ้างที่เป็นชุดธรรมดาอาทิตย์ละครั้ง”
แต่จะว่าไปแล้ว โลกของเด็กยังมีหลายเรื่อง ซึ่งยากที่ผู้ใหญ่จะอธิบายให้เข้าใจได้ เช่นเรื่องการเปลี่ยนแปลงและการสูญเสีย โดยเฉพาะเด็กคนนี้ที่ต้องสูญเสียพ่อ และสูญเสียร่างกายที่สมบูรณ์แบบ แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงไม่ลดน้อยคือจินตนาการและความน่ารักสดใสตามวัยที่ควรจะเป็น คงมีเพียงคนรอบข้างที่กลัวว่าหากให้ “น้องฮ่องเต้” รับรู้ความจริงเมื่อยังไม่ถึงเวลาอันสมควรจะเกิดผลเสียต่อสภาพจิตใจของเด็ก
“ตอนแรกกลัวเหมือนกันว่าสภาพร่างกายและความเจ็บปวดแบบนี้จะทำให้น้องฮ่องเต้กลายเป็นเด็กที่ซึมเศร้า รู้สึกมีปมด้อย แม่ก็ไม่เคยให้ดูกระจกเลย เพราะกลัวว่าเขาจะคิดมาก แต่ก็มีครั้งหนึ่งที่นักการเมืองท่านหนึ่งมาเยี่ยม และอัดรูปขนาดใหญ่ของน้องฮ่องเต้ตอนที่อุลตร้าแมน มาเยี่ยม เขาก็ไม่ทันรู้หรอกว่าเป็นตัวเอง เพราะอยากดูอุลตร้าแมนมากกว่า นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นสภาพของตัวเอง แต่น้องฮ่องเต้กลับมีความคิดในทางบวก อาจจะเป็นเพราะเรามาจากครอบครัวใหญ่ที่มีความอบอุ่น”
แม้สักวันหนึ่ง “น้องฮ่องเต้” จะต้องรับรู้ความจริงเรื่องการสูญเสียพ่อบังเกิดเกล้าไปชนิดไม่มีวันกลับ แต่การยื้อเวลาเพื่อรอการปรับตัวและค่อยๆ เรียนรู้ ก็เป็นสิ่งที่นางวาสนาเลือกที่จะใช้วิธีนี้กับลูกต่อไป เพราะเชื่อว่าสภาพร่างกายและจิตใจจะดีขึ้นอย่างที่เห็น เป็นผลมาจากการที่มีเกราะให้เขา ไม่ต้องรับรู้เรื่องราวภายนอก แต่มีวิธีการใช้ชีวิตตามขั้นตอนเป็นระเบียบที่ชัดเจน ดังเช่นทุกวันนี้เมื่อ “น้องฮ่องเต้”อยากรู้เรื่องอะไรก็จะถามแม่เท่านั้น เพื่อไม่ให้ข้อมูลที่ได้รับสับสน
“ตอนนี้ก็เข้าใจแล้วว่าตัวเองป่วย แต่ทุกๆ คนจะให้เขาเข้าใจว่ากำลังพักอยู่ที่โรงแรม เพราะเป็นข้อดีอย่างหนึ่งที่เมื่อพยาบาลมาช้า เราก็จะมีเหตุผลว่าหมอต้องเดินทางมาไกล และเขาจะบ่นว่าไม่อยากอยู่โรงพยาบาลเมื่อหมอทำแผล เพราะมันเจ็บมาก แต่เราก็ต้องปิดทุกวิถีทางไม่ให้รู้ความจริง โดยเฉพาะเมื่อจะมาห้องกิจกรรมบำบัดก็มีเส้นทางเฉพาะที่หลีกเลี่ยงจะพาอ้อมลงมาหน้าลิฟท์ ไม่ให้เจอคนไข้และหมอ
ส่วนหนึ่งเพราะเขามีความรู้สึกที่ดีและจดจำถึงความน่าอยู่ของโรงแรม ปกติครอบครัวจะพากันไปพักผ่อนเที่ยวทะเลปีละ 2 - 3 ครั้ง น้องฮ่องเต้จะชอบเล่นน้ำในสระมาก ตื่นแต่เช้าไปบอกพนักงานให้เปิดสระ แม้ว่าอากาศหนาวก็ตาม ทำให้จำภาพเหล่านั้นได้อย่างมีความสุข”
ล่าสุด “ครอบครัวเจริญศิลป์”ก็ย้าย “น้องฮ่องเต้”กลับไปใช้ชีวิตที่บ้านวาสนา เลขที่ 1742/35 ม.8 หมู่บ้านศรีสอ้าน ต.เขารูปช้าง อ.เมือง จ.สงขลา ท่ามกลางญาติสนิทที่ตามไปส่งด้วยความอบอุ่นและระหว่างเดินทางเข้านั้น "ครอบครัวเจริญศิลป์" ก็ได้อัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชีนาถ กลับไปที่บ้านเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ และด้วยความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้น
และในวันที่ 16 พ.ค.นี้ ทุกโรงเรียนจะเปิดภาคเรียนที่1 ปีการศึกษา 2548 “น้องควีน” ด.ญ.สิตานันท์ ซึ่งเป็นพี่สาวของ “น้องฮ่องเต้” กำลังจะต้องไปโรงเรียนเช่นกัน ปัญหาใหม่ก็ตามมา ทั้งในเรื่องของการดูแลลูกๆ ทั้ง 2 คน ซึ่งอย่างน้อยระหว่างที่ไม่มีใครอยู่บ้านก็ต้องมีพี่เลี้ยงไว้คอยดูแลและทำกิจกรรมระหว่างรอทุกคนกลับบ้านในตอนเย็น ค่าใช้จ่ายต่างๆ ภายในบ้าน และบทบาทของผู้เป็นแม่ที่ต้องเปลี่ยนไป เพื่อทำหน้าที่แทนพ่อได้ด้วย
ในส่วนของการศึกษา แม้ว่าก่อนนี้ “น้องฮ่องเต้”จะสามารถสอบเข้าเรียนในระดับชั้นอนุบาลของโรงเรียนอนุบาลสงขลาได้นั้น แต่ตอนนี้เวลาทั้งหมดต้องหมดไปกับพักฟื้นและเตรียมร่างกายให้พร้อมเข้าเรียนตามปกติในปีการศึกษา 2549 ซึ่งนายสมหมาย ขวัญทองยิ้ม ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลสงขลา ได้ยืนยันว่า “น้องฮ่องเต้” มีสิทธิ์เข้าเรียนได้เหมือนเช่นเดิม เนื่องจากผู้ปกครองได้มาขึ้นทะเบียนเป็นนักเรียนไว้เรียบร้อยแล้ว และทางโรงเรียนได้อนุญาตให้ “น้องฮ่องเต้” สามารถเข้าเรียนหลังจากร่างกายหายเป็นปกติแล้ว
“จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวทำให้ชีวิตหลายอย่างเปลี่ยนไป ทั้งต้องหยุดงานที่บริษัท ไทยยูเนี่ยน ซีฟู้ด จำกัด มาเดือนกว่าๆ แล้ว แม้ว่าบริษัทจะเข้าใจในเหตุผล แต่ก็เกรงใจที่ต้องถูกรองรับจากบริษัทมากเกินไป จนเกิดความไม่สบายใจ ส่วนน้องควีน ก็ต้องไปโรงเรียน จึงต้องมีคนคอยดูแลน้องฮ่องเต้ในลักษณะเป็นพี่เลี้ยงที่เล่นกิจกรรมกับเขาได้ ทำให้ไม่เบื่อระหว่างที่ทุกคนกลับถึงบ้าน
เมื่อกลับไปใช้ชีวิตครอบครัวที่บ้านอีกครั้ง ก็ต้องคุยกับลูกๆ โดยเฉพาะน้องควีน ที่ต้องเข้าใจว่ามีแม่เพียงคนเดียวที่ดูแลลูกๆ เพราะฉะนั้นเขาต้องเข้มแข็งและดูแลน้องได้ ช่วยแบ่งเบาภาระของแม่ ซึ่งต้องทำงานด้วย ส่วนตัวแม่เองก็ต้องดูแลใส่ใจทุกเรื่อง จากเดิมพ่อจะมีส่วนในการดูแลลูก ทั้งสอนการบ้าน เป็นเพื่อนเล่น หาอาหารการกินได้มากกว่าแม่”
แต่อย่างไรก็ตาม นางวาสนา ก็ยังทำหน้าที่หลักๆ ในการดูแล “น้องฮ่องเต้” โดยวางแผนว่าหลังจากนำ “น้องฮ่องเต้” กลับบ้านแล้ว จะเป็นคนทำแผลเองวันละครั้ง ซึ่งคงจะเป็นช่วงเย็นหลังเลิกงาน และตามประมาณการรักษาของแพทย์ 2 เดือนถัดไป “น้องฮ่องเต้” ต้องกลับมาผ่าตัดครั้งที่ 6 เพื่อนำลำไส้ใหญ่เย็บเข้าในตำแหน่งเดิมและตกแต่งบาดบริเวณแผลลำคอ ตลอดจนการรักษาเปลือกตาให้เป็นปกติ โดยเมื่อเข้าสู่เดือนที่ 6 แผลทั้งหมดน่าจะเรียบร้อยจนสามารถใส่ดวงตาเทียมได้
“ตอนนี้ก็ฝึกทำความสะอาดแผลให้น้องฮ่องเต้ เขาก็จะบอกว่าไม่ว่าใครก็ทำแผลให้เขารู้สึกเจ็บทุกคน แต่ก็อยากให้แม่ทำแผลมากกว่าคนอื่นๆ ต่อไปเราก็ต้องจัดเวลาให้เขามากที่สุด แต่เรื่องงานก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะทำแล้วมีความสุข รู้สึกผูกพันเหมือนบ้านหลังหนึ่ง เพราะฉะนั้นถึงจะมีที่ใหม่ติดต่อเข้ามาก็คงจะไม่พิจารณา อีกอย่างเป็นงานที่เราคิดว่าทำได้ดีอยู่แล้ว” นางวาสนากล่าวด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น เป็นคำสัญญาจากแม่ว่าจะดูแล “น้องฮ่องเต้” อย่างดีที่สุดต่อไป
แม้ถึงขณะนี้จะยังไม่มีบทสรุปเรื่องราวใน “ครอบครัวเจริญศิลป์” ว่าจะลงเอยอย่างไรแต่หากผู้นำของครอบครัวได้สลัดอาการโศกเศร้า อย่างไม่ย่อท้อต่อชะตาชีวิตแล้ว ประกอบกับโอกาสที่สังคมเปิดให้ใช้ชีวิตได้อย่างปกติ โดยเฉพาะชีวิตด้านการศึกษาของ “น้องฮ่องเต้” ที่คาดหวังว่าจะกลับไปเป็นนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 1 อีกครั้ง ในปีการศึกษา 2549 ในโรงเรียนปกติที่จะสร้างเสริมด้านสติปัญหาให้พัฒนาไปตามวัย แม้จะล่าช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันไปบ้าง แต่เชื่อว่าในวันนั้นสภาพจิตใจของ “น้องฮ่องเต้” จะเข้มแข็งและมีความอดทนมากกว่าเด็กในวัยเดียวกันอย่างแน่นอน
และอีกสิ่งหนึ่งที่ “แม่เปี๊ยก น้องควีน น้องฮ่องเต้” ตลอดจนชาวหาดใหญ่และคนไทยทั้งประเทศกำลังจับตามอง ด้วยความหวังที่เจือด้วยคำถามก็คือ อีกนานเท่าใดหนอ “อุลตร้าแมนเมืองไทย” ถึงจะจัดการกับเหล่าสัตว์ประหลาด และนำความสันติสุขมาสู่บ้านเมืองได้สักที