ระนอง -จังหวัดระนองสั่งตรวจสอบการรับจำนำเมล็ดกาแฟ หลัง คชก. สั่งให้หยุดรับจำนำเมล็ดกาแฟชั่วคราว เหตุมีการร้องเรียน กลุ่มนายทุนสวมสิทธิ์ชาวบ้านนำกาแฟมาจำนำ
นายอนุรักษ์ พงศ์ประศาสน์ หัวหน้าสำนักงานการค้าภายในจังหวัดระนอง เปิดเผยว่า ขณะนี้คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร(คชก.) ได้สั่งให้จุดรับจำนำเมล็ดกาแฟทุกจุด ใน 8 จังหวัด ได้แก่ ชุมพร ระนอง กระบี่ พังงา สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ประจวบคีรีขันธ์ และอุตรดิตถ์ หยุดการรับจำนำเมล็ดกาแฟชั่วคราวไว้ก่อน
หลังจากที่ได้รับการร้องเรียนจากหลายฝ่ายว่า มีการรับจำนำเมล็ดกาแฟที่มิใช่ของเกษตรกรอย่างแท้จริง และมีการแสวงหาผลประโยชน์อันมิควรได้จากเกษตรกรในหลายพื้นที่ แต่ไม่ได้ระบุว่าที่จังหวัดใดบ้าง
สำหรับจังหวัดระนองมีเกษตรกรนำเมล็ดกาแฟ ไปจำนำกับองค์การคลังสินค้า(อคส.)แล้วจำนวน 3,061 ราย ปริมาณกาแฟ 8,228 ตัน คิดเป็นมูลค่า 300 ล้านบาท จากเกษตรกรที่ปลูกกาแฟทั้งหมด 7,798 ราย พื้นที่ 1 แสนไร่เศษ ผลผลิตประมาณ 17,493 ตัน
นายอนุรักษ์ กล่าวว่า การกระทำดังกล่าว น่าจะเป็นการนำเมล็ดกาแฟ ที่พ่อค้าคนกลางรับซื้อจากเกษตรกรบางส่วนไว้ในราคาต่ำกว่าราคารับจำนำ คือรับซื้อกิโลกรัมละ 28-30 บาท แต่ราคาที่รัฐบาลรับจำนำสูงสุดถึงกิโลกรัมละ 35 บาท ทำให้มีส่วนต่างของราคามาก จึงมีการนำเมล็ดกาแฟดังกล่าวมาสวมสิทธิ์ ซึ่งไม่ใช่ของเกษตรกรอย่างแท้จริง เกิดจากความโลภและเห็นแก่ได้ของคนไม่กี่คน แต่ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่ได้รับความเดือดร้อนไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ในส่วนของจังหวัดระนอง ผู้ว่าราชการจังหวัดได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบว่า มีการกระทำในลักษณะตามที่ คชก.ได้รับร้องเรียนหรือไม่ โดยมีการตรวจสอบเอกสารหลักฐานอย่างละเอียด ที่จุดรับจำนำของจังหวัดระนองทั้ง 5 จุด
จากนั้นนำมาเปรียบเทียบกับรายชื่อเกษตรกร พื้นที่ปลูกกาแฟและผลผลิต ที่ได้ขึ้นทะเบียนกับเกษตรจังหวัด ว่าตรงกันหรือไม่ เพราะเกษตรกรทุกรายที่นำเมล็ดกาแฟไปจำนำ ต้องมีใบรับรองการเป็นเกษตรกร หากชื่อและผลผลิตไม่ตรงกับที่แจ้งไว้ แสดงว่าต้องมีการสวมสิทธิเกิดขึ้น ต้องมีการสอบสวนและแจ้งความดำเนินคดี เพราะถือว่าเป็นการทุจริต หากมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย จะถูกเอาผิดทั้งทางวินัย และทางอาญา
ส่วนเกษตรกรจะถูกดำเนินคดีทางอาญา เพราะถือว่าเป็นการหลอกลวง ฉ้อโกง โดยภายในวันศุกร์นี้การตรวจสอบระดับจังหวัดจะทราบผล จากนั้นจะสรุปผลให้กรมการค้าภายในและ คชก. เพื่อรับทราบและสั่งการต่อไป
หัวหน้าสำนักงานการค้าภายในจังหวัดระนอง กล่าวด้วยว่า การรับจำนำเมล็ดกาแฟจะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 มีนาคมนี้ แต่ถูกสั่งให้หยุดรับจำนำชั่วคราว อาจจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรประมาณ ร้อยละ 10-20 เพราะส่วนใหญ่ได้จำนำหรือขายเมล็ดกาแฟไปแล้ว เมื่อการตรวจสอบข้อเท็จจริงเสร็จสิ้น คชก. คงจะสั่งให้มีการรับจำนำต่อไปอย่างแน่นอน
ส่วนเมล็ดกาแฟที่มีการลักลอบนำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อนำมาสวมสิทธิ์เป็นกาแฟของไทยสำนักงานศุลกากรระนอง ได้ตรวจสอบอย่างเข้มงวดตั้งแต่ต้นฤดูการผลผลิตแล้ว ไม่พบการกระทำความผิดแต่อย่างใด
นายอนุรักษ์ พงศ์ประศาสน์ หัวหน้าสำนักงานการค้าภายในจังหวัดระนอง เปิดเผยว่า ขณะนี้คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร(คชก.) ได้สั่งให้จุดรับจำนำเมล็ดกาแฟทุกจุด ใน 8 จังหวัด ได้แก่ ชุมพร ระนอง กระบี่ พังงา สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ประจวบคีรีขันธ์ และอุตรดิตถ์ หยุดการรับจำนำเมล็ดกาแฟชั่วคราวไว้ก่อน
หลังจากที่ได้รับการร้องเรียนจากหลายฝ่ายว่า มีการรับจำนำเมล็ดกาแฟที่มิใช่ของเกษตรกรอย่างแท้จริง และมีการแสวงหาผลประโยชน์อันมิควรได้จากเกษตรกรในหลายพื้นที่ แต่ไม่ได้ระบุว่าที่จังหวัดใดบ้าง
สำหรับจังหวัดระนองมีเกษตรกรนำเมล็ดกาแฟ ไปจำนำกับองค์การคลังสินค้า(อคส.)แล้วจำนวน 3,061 ราย ปริมาณกาแฟ 8,228 ตัน คิดเป็นมูลค่า 300 ล้านบาท จากเกษตรกรที่ปลูกกาแฟทั้งหมด 7,798 ราย พื้นที่ 1 แสนไร่เศษ ผลผลิตประมาณ 17,493 ตัน
นายอนุรักษ์ กล่าวว่า การกระทำดังกล่าว น่าจะเป็นการนำเมล็ดกาแฟ ที่พ่อค้าคนกลางรับซื้อจากเกษตรกรบางส่วนไว้ในราคาต่ำกว่าราคารับจำนำ คือรับซื้อกิโลกรัมละ 28-30 บาท แต่ราคาที่รัฐบาลรับจำนำสูงสุดถึงกิโลกรัมละ 35 บาท ทำให้มีส่วนต่างของราคามาก จึงมีการนำเมล็ดกาแฟดังกล่าวมาสวมสิทธิ์ ซึ่งไม่ใช่ของเกษตรกรอย่างแท้จริง เกิดจากความโลภและเห็นแก่ได้ของคนไม่กี่คน แต่ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่ได้รับความเดือดร้อนไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ในส่วนของจังหวัดระนอง ผู้ว่าราชการจังหวัดได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบว่า มีการกระทำในลักษณะตามที่ คชก.ได้รับร้องเรียนหรือไม่ โดยมีการตรวจสอบเอกสารหลักฐานอย่างละเอียด ที่จุดรับจำนำของจังหวัดระนองทั้ง 5 จุด
จากนั้นนำมาเปรียบเทียบกับรายชื่อเกษตรกร พื้นที่ปลูกกาแฟและผลผลิต ที่ได้ขึ้นทะเบียนกับเกษตรจังหวัด ว่าตรงกันหรือไม่ เพราะเกษตรกรทุกรายที่นำเมล็ดกาแฟไปจำนำ ต้องมีใบรับรองการเป็นเกษตรกร หากชื่อและผลผลิตไม่ตรงกับที่แจ้งไว้ แสดงว่าต้องมีการสวมสิทธิเกิดขึ้น ต้องมีการสอบสวนและแจ้งความดำเนินคดี เพราะถือว่าเป็นการทุจริต หากมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย จะถูกเอาผิดทั้งทางวินัย และทางอาญา
ส่วนเกษตรกรจะถูกดำเนินคดีทางอาญา เพราะถือว่าเป็นการหลอกลวง ฉ้อโกง โดยภายในวันศุกร์นี้การตรวจสอบระดับจังหวัดจะทราบผล จากนั้นจะสรุปผลให้กรมการค้าภายในและ คชก. เพื่อรับทราบและสั่งการต่อไป
หัวหน้าสำนักงานการค้าภายในจังหวัดระนอง กล่าวด้วยว่า การรับจำนำเมล็ดกาแฟจะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 มีนาคมนี้ แต่ถูกสั่งให้หยุดรับจำนำชั่วคราว อาจจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรประมาณ ร้อยละ 10-20 เพราะส่วนใหญ่ได้จำนำหรือขายเมล็ดกาแฟไปแล้ว เมื่อการตรวจสอบข้อเท็จจริงเสร็จสิ้น คชก. คงจะสั่งให้มีการรับจำนำต่อไปอย่างแน่นอน
ส่วนเมล็ดกาแฟที่มีการลักลอบนำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อนำมาสวมสิทธิ์เป็นกาแฟของไทยสำนักงานศุลกากรระนอง ได้ตรวจสอบอย่างเข้มงวดตั้งแต่ต้นฤดูการผลผลิตแล้ว ไม่พบการกระทำความผิดแต่อย่างใด