สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เปิดมิติใหม่การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนฐานรากด้วยนวัตกรรม ผ่านโครงการหมู่บ้านนวัตกรรมเพื่อสังคม นำร่องที่ชุมชนสาเกตนคร จังหวัดร้อยเอ็ด เผยผลความสำเร็จในการผสานนวัตกรรมเข้ากับวิถีชีวิตและอัตลักษณ์ท้องถิ่นอย่างลงตัว ส่งผลกระทบเชิงบวกครอบคลุมพื้นที่ถึง 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเกษตรวิสัย อำเภอปทุมรัตน์ และอำเภอโพนทราย ประชากรกว่า 21,992 คน ผ่านการนำนวัตกรรม 20 โครงการช่วยแก้ปัญหาตอบโจทย์ประเด็นหลักความต้องการของชุมชน ตั้งแต่การพัฒนาเกษตรสมัยใหม่ การแปรรูปผลิตภัณฑ์พื้นบ้านสู่สินค้ามูลค่าสูง ไปจนถึงการสร้างแบรนด์ท้องถิ่นระดับพรีเมียม นำร่องด้วย “KULA BEEF” ที่ใช้กระบวนการบ่มเนื้อ 28 วัน สร้างอัตลักษณ์ท้องถิ่น และ “V-PROMPT” ระบบฟาร์มอัจฉริยะ IoT เพิ่มผลผลิตมะเขือเทศกว่า 40% มุ่งยกระดับรายได้ คุณภาพชีวิต และสร้างความยั่งยืนให้เศรษฐกิจฐานรากอย่างเป็นรูปธรรม
ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ NIA เปิดเผยว่า โครงการหมู่บ้านนวัตกรรมเพื่อสังคม เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ NIA ใช้ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการนำนวัตกรรมไปแก้ปัญหาและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม โดยไม่ใช่เพียงแค่การถ่ายทอดเทคโนโลยีแบบเดิม ๆ แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมที่สมบูรณ์ ซึ่งผสานความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชนท้องถิ่น และนักวิจัย เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ตรงจุด และสามารถตอบสนองความต้องการของชุมชนได้ โดยโครงการนี้มีหนึ่งตัวอย่างความสำเร็จที่น่าสนใจคือชุมชนสาเกตนคร จังหวัดร้อยเอ็ด ที่สามารถนำนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ได้ครอบคลุมถึง 3 อำเภอ และมีประชาชนผู้ได้รับประโยชน์ในพื้นที่กว่า 21,992 คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ชุมชนแห่งนี้ตั้งอยู่ในทุ่งกุลาร้องไห้ อันเป็นแหล่งเกษตรกรรมที่อุดมสมบูรณ์ แต่ยังขาดการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่จะช่วยยกระดับมูลค่าผลผลิตและคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
“บทบาทของ NIA นอกเหนือจากการสนับสนุนงบประมาณและเทคโนโลยีแล้ว ยังทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างผลงานนวัตกรรมที่มีคุณภาพกับความต้องการของชุมชน โดย NIA ได้ร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรหลัก อาทิ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ สกสว. หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ หรือ บพท. สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ หรือ วช. และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน ในรูปแบบหุ้นส่วนทางกลยุทธ์ เพื่อขับเคลื่อนตามทิศทางของกองทุน ววน. แผนงาน P11 (S2) ที่เน้นการผลักดันนวัตกรรมไปแก้ไขปัญหาความยากจนด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสม ดังนั้น การดำเนินงานในครั้งนี้เริ่มต้นจากการลงพื้นที่และประชุมเชิงปฏิบัติการร่วมกับทุกภาคส่วน ทั้งองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นและผู้แทนชุมชน เพื่อรับฟังปัญหาและความต้องการที่แท้จริง จนทราบโจทย์ปัญหาในประเด็นที่ชุมชนต้องการแก้ไข ครอบคลุมตั้งแต่นวัตกรรมการเกษตร การแปรรูปผลิตภัณฑ์ชุมชนพื้นบ้าน การบริหารจัดการน้ำ ปศุสัตว์และแมลงเศรษฐกิจ เครื่องจักรสำหรับหัตถกรรมพื้นถิ่น การตลาดดิจิทัล และการจัดการสิ่งแวดล้อม หลังจากนั้น จึงเปิดรับผลงานนวัตกรรมที่พร้อมขยายผลเข้ามาตอบโจทย์เหล่านี้ ซึ่งจากการคัดเลือกอย่างเข้มข้น ปัจจุบันมีผลงานนวัตกรรม 20 โครงการ ที่นำเข้ามาขยายผลในพื้นที่ชุมชนสาเกตนคร ซึ่งตอบโจทย์ตามประเด็นปัญหาที่ชุมชนเผชิญ แต่ละโครงการล้วนมีเอกลักษณ์และจุดแข็งที่แตกต่างกัน แต่มีเป้าหมายเดียวกันคือการยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตของชุมชนอย่างยั่งยืน”
ดร. กริชผกา กล่าวเพิ่มเติมว่า ความโดดเด่นของโครงการนี้อยู่ที่การเชื่อมโยง Soft Power หรืออัตลักษณ์ท้องถิ่นเข้ากับนวัตกรรมอย่างลงตัว เช่น “โครงการโคเนื้อทุ่งกุลา” ของห้างหุ้นส่วน ทุ่งกุลาอินเตอร์เทรด จำกัด ร่วมกับ บริษัท นครพนม บีฟ (ไทยแลนด์) จำกัด เป็นกรณีศึกษาที่ชัดเจนของการผสานนวัตกรรมกับทรัพยากรท้องถิ่น นำมายกระดับผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นให้ก้าวสู่ตลาดพรีเมียมที่ช่วยสร้างรายได้เพิ่มขึ้นให้กับเกษตรกร และยังช่วยยกระดับมาตรฐานการเลี้ยงโคในพื้นที่ทั้งหมด ทำให้เกษตรกรได้เห็นว่าการเลี้ยงโคแบบมีมาตรฐานสามารถสร้างมูลค่าที่สูงขึ้นได้จริง ก่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงและดูแลโคให้ดีขึ้น รวมถึงการสร้างเครือข่ายผู้เลี้ยงโคที่มีคุณภาพในพื้นที่ จึงส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนในวงกว้าง อีกตัวอย่างที่น่าสนใจคือ “โครงการ V-PROMPT” ของวิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรบ้านสวนอินนา ร่วมกับ บริษัท เอสโลจิสต์ จำกัด ที่นำเทคโนโลยี IoT Smart Farm มาประยุกต์ใช้ในการควบคุมอุณหภูมิและความชื้นในโรงเรือนปลูกผักเศรษฐกิจ ช่วยให้เกษตรกรสามารถปรับปรุงและควบคุมคุณภาพผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลงและเกษตรกรมีกำไรเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
นายชัชวาลย์ เบญจสิริวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด กล่าวว่า การเข้ามาสนับสนุนของ NIA ในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ โดยเฉพาะจังหวัดร้อยเอ็ด ในส่วนขององค์ความรู้ เทคโนโลยี และโมเดลการพัฒนา ช่วยยกระดับศักยภาพของชุมชนเป็นอย่างมาก ทั้งในด้านการพัฒนาโคเนื้อ เกษตรมูลค่าสูง การแปรรูปสินค้า และระบบน้ำอัจฉริยะ ถือเป็นการสร้างฐานรากที่สำคัญให้เกษตรกรสามารถก้าวเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมได้จริง โดยจังหวัดได้วางเป้าหมายชัดเจนในการผลักดันร้อยเอ็ดให้เป็น ‘ศูนย์กลางโคเนื้อคุณภาพ’ ของภาคอีสาน มีแผนสนับสนุนโรงงานแปรรูปเนื้อครบวงจร โดยใช้งบพัฒนาจังหวัดและความร่วมมือกับภาคเอกชนควบคู่กันไป รวมถึงการส่งเสริมเครือข่ายเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อให้เข้มแข็งขึ้น ทั้งด้านการผลิต มาตรฐานฟาร์ม และการบริหารจัดการ เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดระดับสูง และการผลักดันผลผลิตการเกษตรกรที่มีมูลค่าสูง เช่น มะเขือเทศเชอร์รี่
“เรื่องตลาดเป็นหัวใจสำคัญ จึงได้ทำงานร่วมกับหอการค้าจังหวัด พาณิชย์จังหวัด และบริษัทรู้รักสามัคคีร้อยเอ็ด วิสาหกิจเพื่อสังคม เพื่อสร้างช่องทางตลาดทั้งภายในและภายนอกจังหวัด การส่งเสริมการสร้างแบรนด์สินค้า การเพิ่มมูลค่าผ่านการแปรรูป รวมถึงการเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ประกอบการอาหาร เครื่องดื่ม และเกษตรแปรรูป ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้ผลผลิตของเกษตรกรมีตลาดรองรับที่มั่นคงและยั่งยืนในอนาคต จังหวัดพร้อมร่วมมืออย่างเต็มที่เพื่อผลักดันให้คนในพื้นที่เข้าถึงเทคโนโลยี ใช้นวัตกรรมเพิ่มรายได้ และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และเพื่อส่งเสริมให้ร้อยเอ็ดเป็นจังหวัดนำร่องด้านนวัตกรรมของประเทศไทย”
นายสว่าง สุขแสง จากห้างหุ้นส่วน ทุ่งกุลาอินเตอร์เทรด จำกัด ผู้เสนอโครงการ "โคเนื้อทุ่งกุลา เนื้อโคคุณภาพพรีเมี่ยมและผลิตภัณฑ์เนื้อโคแปรรูปมูลค่าสูง" ภายใต้แบรนด์ “KULA BEEF” เปิดเผยว่า จุดเริ่มต้นเกิดจากความต้องการแก้ปัญหาให้เกษตรกรทุ่งกุลาที่เลี้ยงโคมานานแต่ขายได้ราคาต่ำ เนื่องจากเกษตรกรขาดความรู้ด้านการตัดแต่งซากและการพัฒนามาตรฐาน ทำให้คุณภาพเนื้อไม่สม่ำเสมอ จึงขายได้ราคาเพียง 170-200 บาทต่อกิโลกรัม แต่หลังนำเทคนิคการบ่มเนื้อมาประยุกต์ใช้ เกษตรกรสามารถปรับตัวได้ดีขึ้น ราคาโคที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้นจากเนื้อโคตามท้องตลาดทั่วไป
มีราคาอยู่ที่ 450-1,200 บาทต่อกิโลกรัม และยังเกิดการสร้างงาน สร้างเครือข่ายความร่วมมือ ตั้งแต่การคัดเลือกสายพันธุ์
การจัดการสุขภาพ ไปจนถึงเทคนิคการแปรรูปหลังฆ่า โดยนวัตกรรมหลักของโครงการ KULA BEEF คือ “กระบวนการบ่มเนื้อแบบวิทยาศาสตร์” ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มความนุ่ม สร้างกลิ่นรสที่เป็นเอกลักษณ์ และยกระดับคุณภาพเนื้อโคให้ได้มาตรฐานสากล โดยมีการนำเทคนิคการบ่มเนื้อมาประยุกต์ใช้ เริ่มจากการเตรียมเนื้อด้วยการแช่ในเอนไซม์ Papain 0.5%
ซึ่งเป็นเอนไซม์ธรรมชาติจากมะละกอดิบ เพื่อช่วยให้เส้นใยโปรตีนแตกตัว จากนั้นจะนำไปบ่มต่อในห้องควบคุมอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ที่ 4 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 28 วัน ช่วงเวลาและอุณหภูมิดังกล่าวเป็นค่าที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้เอนไซม์ทำงานเต็มที่ ทำให้เนื้อมีความนุ่ม มีกลิ่นหอมธรรมชาติ และเกิด ‘รสนวล’ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ KULA BEEF
“ตลาดเนื้อโคพรีเมียมทั้งระดับโลกและในประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับเนื้อคุณภาพสูงและรสชาติที่โดดเด่น แต่เนื้อจากญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นเนื้อคุณภาพสูงนั้น คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ยากเนื่องจากมีราคาสูง แต่ KULA BEEF ได้พิสูจน์แล้วว่า เนื้อโคพื้นบ้านไทยสามารถยกระดับขึ้นสู่ตลาดพรีเมียมได้เช่นกัน ด้วยราคาที่ทุกคนจับต้องได้ หากได้รับการจัดการคุณภาพด้วยนวัตกรรมที่เหมาะสม ซึ่งที่ผ่านมาจังหวัดร้อยเอ็ดเป็น
ที่รู้จักจากข้าวหอมมะลิทุ่งกุลา แต่วันนี้ KULA BEEF ได้กลายเป็นเอกลักษณ์ใหม่ที่ผู้คนจดจำ นอกจากนี้ การพัฒนาเนื้อโค
พรีเมียมยังช่วยสร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ชาวบ้านได้มีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน เกิดการกระจายรายได้สู่หลากหลายอาชีพ และทำให้คนรุ่นใหม่จำนวนมากเริ่มกลับมาบ้านเกิด โดยเฉพาะกลุ่มที่เคยย้ายไปทำงานในเมืองใหญ่ เมื่อเห็นศักยภาพใหม่ของภาคการเกษตรและโอกาสในการสร้างธุรกิจมูลค่าสูงในพื้นที่บ้านเกิดของตนเอง ก็ตัดสินใจนำความรู้ด้านเทคโนโลยี การบริหารจัดการ และแนวคิดการตลาดสมัยใหม่กลับมาช่วยยกระดับการผลิตท้องถิ่นมากขึ้น”
นายอดิศักดิ์ พานา ประธานวิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรบ้านสวนอินนา ผู้เสนอโครงการ V-PROMPT ซึ่งเป็นระบบควบคุมอุณหภูมิและความชื้นในโรงเรือนด้วยระบบ IoT Smart Farm สำหรับผักเศรษฐกิจ กล่าวว่า เกษตรกรในพื้นที่จะใช้หลักการตลาดนำการผลิตเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาผลผลิตล้นตลาด จึงเน้นปลูกพืชที่มีตลาดรองรับแน่นอน โดยปัจจุบันเน้นการปลูกมะเขือเทศสายพันธุ์ต่าง ๆ เป็นหลัก อย่างไรก็ตามเกษตรกรก็ประสบปัญหาจากการปลูกมะเขือเทศเช่นกัน โดยมีปัญหาหลัก 3 ประการ ได้แก่ สภาพอากาศและอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสม โรคและแมลงศัตรูพืช และปัญหาการขาดแคลนแรงงานในการดูแล แม้ว่ามะเขือเทศจะปลูกได้ในพื้นที่ร้อยเอ็ด แต่ต้องปลูกตามฤดูกาล โดยเฉพาะช่วงอุณหภูมิเย็นหรือฤดูหนาวจึงจะให้ผลผลิตที่ดี ซึ่งโครงการ V-PROMPT ที่ได้รับการสนับสนุนจาก NIA โดยการนำนวัตกรรมระบบ IoT Smart Farm เข้ามาช่วยลดข้อจำกัดด้านการปลูกพืชได้หลายด้าน ทั้งการควบคุมสภาพแวดล้อม ซึ่งระบบสามารถปรับอุณหภูมิในโรงเรือนให้เหมาะสมกับพืช ช่วยให้สามารถปลูกได้นอกฤดูกาล การป้องกันศัตรูพืช โดยโรงเรือนช่วยควบคุมแมลงได้ในระดับหนึ่ง ทำให้ลดการใช้สารเคมี ส่งผลดีต่อทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิต การประหยัดแรงงาน เนื่องจากระบบให้น้ำและปุ๋ยอัตโนมัติ
ช่วยลดภาระงานจากการรดน้ำด้วยมือ ทำให้เกษตรกรมีเวลาไปทำกิจกรรมอื่นได้มากขึ้น และการจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยระบบควบคุมการให้น้ำตรงเวลาและปริมาณที่แม่นยำ ทำให้ประหยัดน้ำและพืชเจริญเติบโตได้ดี
“เมื่อเทียบพื้นที่ขนาดเท่ากันกับการปลูกแบบดั้งเดิม ผลผลิตจากโรงเรือนที่ใช้นวัตกรรมระบบ IoT จะเพิ่มขึ้น 30-40% นอกจากนี้ยังได้ประโยชน์เพิ่มเติม คือช่วยลดภาระงานของเกษตรกร ทำให้มีเวลาไปทำกิจกรรมอื่น ๆ มากขึ้น อีกทั้งยังช่วยประหยัดน้ำและสามารถลดการใช้สารเคมีด้วยการควบคุมที่แม่นยำ ปัจจุบันชุมชนจะปลูกมะเขือเทศหลายสายพันธุ์ โดยมะเขือเทศจะมีรอบการปลูกใช้เวลา 6 เดือนต่อรอบ ในรอบการปลูกล่าสุดได้ลงปลูกต้นกล้า 20,000 ต้น คาดว่าจะได้ผลผลิตประมาณ 40 ตันต่อรอบ สามารถสร้างรายได้ให้เครือข่ายเกษตรกรรวมประมาณ 2 ล้านบาท แม้จะมีปัญหาด้านเงินทุนในการขยายโรงเรือนในกลุ่มเกษตรกรรายย่อย แต่โครงการ V-PROMPT ก็เป็นแบบอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อแก้ปัญหา และการสร้างเครือข่ายการผลิตร่วมกัน เป็นหัวใจสำคัญในการยกระดับผลผลิตและสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับชุมชน สำหรับผู้ที่ต้องการสร้างนวัตกรรมเพื่อสังคมในระดับชุมชน ควรเริ่มจากการทำความเข้าใจปัญหาอย่างแท้จริงของชุมชน ทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และสร้างการมีส่วนร่วมและการยอมรับในการใช้นวัตกรรม แต่ก็ต้องควรคำนึงถึงความเหมาะสมของผู้ใช้ด้วย เนื่องจากเกษตรกรบางรายโดยเฉพาะผู้สูงอายุอาจมีปัญหาในการใช้งานระบบ IoT ซึ่งต้องมีการถ่ายทอดความรู้และให้คำแนะนำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดผลสำเร็จสูงสุด”
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด* * *


