xs
xsm
sm
md
lg

จากมีดเหล็กสู่ช้อนสแตนเลส “โพธิ์ทองอรัญญิก” กว่า 20 ปีทำธุรกิจที่ยึดหลัก “สินค้าต้องมีคุณภาพ”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เมื่อเหล็กไม่เป็นที่นิยมจึงหันมาใช้สแตนเลสในการผลิตสินค้าเครื่องใช้ต่างๆ “โพธิ์ทองอรัญญิก” เน้นการทำธุรกิจด้วยสินค้าที่มี “คุณภาพ” สู้กับวิกฤตและอุปสรรคในตลาด แม้จะอยู่ในช่วงขาลงแต่พัฒนาและคงคุณภาพสินค้าเอาไว้เพื่อส่งต่อสินค้าที่ดีให้กับผู้บริโภค


ว่าที่ร้อยตรีพสิษฐ์ นาคะบุตร เจ้าของธุรกิจโพธิ์ทองอรัญญิก เล่าว่า ดั้งเดิมในพื้นที่เป็นชุมชนทำมีดอรัญญิกและเป็นชุมชนคนลาวอพยพมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2 ซึ่งในช่วงนั้นมี 2 อาชีพคือการทำมีดและทำทอง แต่เนื่องด้วยการทำทองอยู่ห่างไกลส่งผลให้เกิดอันตรายได้ ทำให้เหลือเพียงอาชีพการทำมีดและนำไปขายที่ตลาดอรัญญิก ซึ่งเมื่อลูกค้าสนใจจะซื้อมีดก็มักจะถามว่ามีดที่ขายมาจากไหน คำตอบที่ได้ก็คือมีดอรัญญิก ทำให้กลายเป็นชื่อเรียกของมีดไปในที่สุด


ในช่วงแรกการผลิตมีดจะเป็นมีดที่ทำจากเหล็ก แต่หลังจากนั้นไม่นานก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นสแตนเลส เนื่องจากสแตนเลสจะมีเงา ไม่เป็นสนิม แต่เหล็กเป็นสนิม ทำให้สแตนเลสได้รับความนิยมมากกว่าและมีราคาสูงกว่า สามารถขึ้นรูปเป็นสินค้าได้หลายอย่างและเพิ่มมูลค่าได้ แต่ข้อเสียของสแตนเลสคือพอขึ้นรูปเป็นมีดแล้วจะคมสู้เหล็กไม่ได้ หลังจากนั้นก็เริ่มปรับเปลี่ยนเป็นของใช้ประเภทอื่น เช่น ช้อนและส้อม ปัจจุบันเป็นรุ่นที่ 3 ที่ดำเนินธุรกิจมากว่า 20 ปี


สำหรับการขายหลังจากที่เปลี่ยนมาเป็นเครื่องใช้สแตนเลสก็เจาะกลุ่มลูกค้าฝั่งยุโรปเป็นหลัก แต่หลังจากประสบกับสภาวะเศรษฐกิจไม่ดีธุรกิจก็เริ่มซบเซาลง ก็ทำการตลาดในไทยจนในช่วงโควิด-19 ระบาดหลายธุรกิจได้รับผลกระทบอย่างมาก แต่ช้อนส้อมของทางแบรนด์กลับได้รับผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า เนื่องจากผู้บริโภคหันมาเลือกซื้อของใช้ที่มีคุณภาพ ซึ่งช้อนส้อมที่ทำจากสแตนเลสจะไม่มีสารตกค้าง ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้นประมาณ 10-20% ภายใน 2-3 ปี แต่หลังจากหมดโควิด-19 ก็ทำให้ยอดขายนิ่งและตกลงมาเหมือนกับธุรกิจอื่นทั่วไป ปัจจุบันขายไทย 50% และต่างประเทศ 50% ส่งออกโดยผ่านพ่อค้าคนกลาง


กลุ่มลูกค้าในไทยส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มร้านอาหาร แต่เนื่องด้วยสินค้าจากจีนเข้ามาทำการตลาดในไทยในราคาที่ต่ำ ส่งผลให้ผู้ประกอบการร้านอาหารหันไปสั่งซื้อสินค้าจากจีนเป็นหลัก ทำให้กลุ่มลูกค้าเหล่านี้ลดน้อยลง แต่ทางแบรนด์ยังคงยึดเป้าหมายในการทำธุรกิจคือการคงคุณภาพสินค้าเอาไว้ไม่เข้าไปแข่งขันในตลาดราคากับจีน เพราะทางแบรนด์มองว่าสินค้าแต่ละชิ้นถ้าหากไม่หายก็สามารถใช้งานได้ยาวนาน ดีต่อสุขภาพได้อีกด้วยเพราะเวลานำไปใช้รับประทานอาหารแล้วไม่เกิดสารตกค้าง


ในส่วนของการทำการตลาดส่วนใหญ่จะเน้นการนำสินค้าไปออกบูธแสดงสินค้าเป็นหลัก แต่ภายหลังเริ่มหันมาทำการตลาดออนไลน์เพราะการออกบูธแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ปัจจุบันกำลังการผลิตลดน้อยลงจากเดิมวันละ 300 ชิ้นเหลือเพียงวันละ 120 ชิ้น และยังคงทำสต็อคเก็บเอาไว้ โดยลูกค้าหลักที่สั่งผลิตในตอนนี้คือโฮมโปรและร้านที่ศูนย์ศิลปาชีพระหว่างประเทศภายในสนามบินสุวรรณภูมิขาออก


ถ้าหากพูดถึงคู่แข่งในตลาดช้อนสแตนเลสในประเทศไทย ทางแบรนด์บอกว่ามีค่อนข้างน้อยเพราะสินค้าของแบรนด์เป็นงานแฮนด์เมด ส่วนเจ้าอื่นจะทำในลักษณะงานปั๊ม งานพิมพ์มากกว่า ซึ่งในยุคเศรษฐกิจแบบนี้ทางแบรนด์มองว่าไม่ได้ต่อสู้กับใคร แต่ต่อสู้กับตัวเองและพัฒนาการทำธุรกิจให้แบรนด์สามารถดำเนินต่อไปได้ โดยมีการพัฒนาเรื่องการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคว่ามีความต้องการสินค้าแบบไหนบ้าง เช่น ช้อนส้อมสำหรับผู้สูงอายุ จะต้องมีน้ำหนักที่เบากว่าวัยอื่น เป็นต้น รวมถึงศึกษาการทำการตลาดออนไลน์เพื่อให้ได้กลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น ปัจจุบันมีสินค้าทั้งหมด 3 ประเภท ได้แก่ 1.ของใช้ในครัว 2.ของฝากของที่ระลึก และ 3.ของตั้งโชว์ ซึ่งสินค้าที่ขายดีที่สุดคือของใช้ในครัว เช่น ช้อน ส้อม เป็นต้น


เมื่อธุรกิจกำลังอยู่ในช่วงขาลงทางแบรนด์มองเห็นโอกาสในการดำเนินธุรกิจให้ไปต่อได้ ทำให้ได้รู้จักกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธพว. หรือ SME D Bank ที่เข้ามาสนับสนุนเรื่องสินเชื่อเงินลงทุนหมุนเวียน เพื่อนำมาพัฒนาและต่อยอดธุรกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ และเสริมองค์ความรู้พร้อมข้อแนะนำในการทำธุรกิจ


ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่ดำเนินธุรกิจมาเจออุปสรรคหลายอย่างแต่ธุรกิจยังดำเนินต่อไปได้ จุดแข็งคือ “คุณภาพ” ที่มีต่อสินค้า เมื่อทำสินค้าให้มีคุณภาพแล้วส่งผลให้ลูกค้าบอกต่อปากต่อปาก ซึ่งทางแบรนด์มองว่าการยึดหลักทำสินค้าให้มีคุณภาพนั้นเป็นสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจ เพราะเป็นสิ่งที่คงทนและทำให้ยืนอยู่ในตลาดได้ยาวนาน


“ผมยังเชื่อว่าคนที่อยากจะใช้สินค้าที่มีคุณภาพยังมีอยู่ในตลาด คนร้อยคนผมว่าถ้ามีคนอยากได้สินค้าที่มีคุณภาพผมก็ดีใจแล้ว เพราะใช้แล้วดีต่อตัวเขาเองและคนรอบข้าง อาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราใส่ใจคนอื่น” เจ้าของแบรนด์ ระบุ


อย่างไรก็ตาม ธุรกิจในช่วงนี้อยู่ในช่วงที่ประคองตัวและมองว่าในอนาคตถ้าหากมีทายาทสืบต่อก็ดำเนินธุรกิจไปได้ แต่ถ้าหากไม่มีก็คงต้องหยุด แต่ถึงกระนั้นการผลิตสินค้าก็ยังคงยืนตลาดโฮมโปรและสุวรรณภูมิเอาไว้เหมือนเดิม เพียงแต่ไม่ได้นำสินค้าไปเร่ขายเหมือนในอดีตนั่นเอง นอกจากนี้ทางแบรนด์มีทั้งขายส่งและขายปลีกเพื่อกระจายสินค้าให้ได้มากที่สุด

ติดต่อเพิ่มเติม
Facebook : Phoethong Aranyik Handiwork




* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด* * *


กำลังโหลดความคิดเห็น