“ในมุมมองนิสคิดว่าลูกค้านึกถึงเราในแง่ของ Souvenir เพราะต้องบอกว่าเราเกิดมาจากตรงนั้นแล้วเราก็ยัง keep character นั้นอยู่ แต่ว่ามันก็อาจจะมีความแบบไม่ใช่แค่ซูวีเนียร์ให้ต่างชาติอาจจะเป็นแบบของขวัญให้เพื่อนหรือของขวัญให้คนรู้จักมากขึ้น
มีตัวเลือกใหม่ ๆ ให้เขาแบบได้เลือกช้อปกับเรา(ถ้าพูดถึงหมวดสินค้าของแบรนด์ ANONA) คือจริง ๆ ถ้าให้นิสแบ่งจริง ๆ นิสจะแบ่งเป็นแบบพวก “ไทยดีไซน์” ก็คือถ้าไทยดีไซน์ก็จะบอกว่าเรามี น้องยักษ์นะ แล้วก็มีพวกถุงหอมที่เป็นดีไซน์ไทยเลย อะไรเงี้ย แล้วก็กลุ่ม “อโรม่า” ก็จะเป็นกลุ่มที่ใช้ในบ้าน พวกแบบก้านไม้ สเปรย์ เทียน อะไรเงี้ยพวกนี้ก็จะอโรม่า” สุพิชชา กอเจริญพาณิชย์ หรือ คุณยูนิส เจ้าของแบรนด์ ‘ANONA’ อโรม่าที่ระลึกมีดีไซน์ของความเป็นไทย และมีเอกลักษณ์ บอกถึงความเป็นที่รู้จักและการจดจำแบรนด์ได้ของลูกค้าที่มีมาอย่างยาวนานนับ 10 ปีแล้วสำหรับ ANONA จากจุดเริ่มต้นที่เจ้าของธุรกิจเองมี Passion ในการสร้างแบรนด์ของตัวเองมากกว่าการเติบโตในสายงานประจำในองค์กรใหญ่ ๆ เพราะหลังจากที่เรียนจบแล้วและลองทำงานประจำ(พนักงานธนาคาร) อยู่ประมาณ 2 ปีก็ตัดสินใจลาออกเพื่อมาเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองแทน ด้วยทุนก้อนเล็ก ๆ จากเงินเก็บส่วนตัวและเริ่มต้นทำทุกอย่างมาด้วยตัวเองก่อน
“จุดเริ่มต้นของแบรนด์ ANONA ก็จะเป็นตัว “น้องยักษ์” ค่ะที่เป็นสินค้าแรกของเราเลย ซึ่งจริง ๆ แล้วนิสทำมาประมาณจะสิบปีแล้วตอนนั้นก็คือมีความคิดที่ว่า อยากจะขายสินค้าที่ระลึกที่มีความเป็นไทยค่ะ ให้ชาวต่างชาติ แล้วก็มีการทำรีเสิร์ชค้นคว้าข้อมูลอะไรเงี้ยค่ะก็พบว่าเออแบบกลุ่ม “เครื่องหอม” ของไทย สมุนไพรไทยอะไรอย่างเงี้ย เป็นสินค้าที่มีความต้องการในกลุ่มนักท่องเที่ยวค่อนข้างสูง แต่ว่าการที่จะเข้ามาเป็นผู้เล่นคนใหม่นิสก็มองว่ามันควรที่จะมีความแตกต่างแบบถ้าเป็นแบบธรรมดา ๆ อะไรเงี้ย ก็ยากที่จะแบบไปแย่งมาร์เก็ตแชร์จากผู้เล่นเดิม ๆ ได้ซึ่งตอนนั้นเองนิสก็เลยแบบพยายามจะดีไซน์แพ็กเกจให้มีความแตกต่างจากสินค้าเดิม ๆ ที่มีอยู่ในท้องตลาด”
ณ ตอนนั้นเองคือน้องยักษ์ยังไม่ได้เป็นที่ Popular เท่าทุกวันนี้ยังเป็นอะไรที่ใหม่ ณ เมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว สินค้าที่ระลึกส่วนใหญ่ก็จะเป็นช้าง เป็นตุ๊กตุ๊กหรืออะไรอย่างเงี้ย แต่ “ยักษ์” ยังไม่มีตอนนั้นเราก็คิดหลายตลบเหมือนกัน ว่าเอ๊ะอะไรนะที่มันยังไม่มี แต่มีความ Iconic ที่มีความเป็นไทยแต่มันยังไม่มี“แล้วเราก็แบบดีไซน์ออกมาว่าเออแบบเป็น หัวน้องยักษ์ไหม? อะไรเงี้ย แต่เราก็พยายามที่จะทำให้มันดูเฟรนด์ลี่ ไม่น่ากลัว เข้าถึงได้ แล้วก็ไปศึกษาเกี่ยวกับสมุนไพรเราก็ศึกษาเกี่ยวกับเรื่อง “กลิ่น” อะไรเงี้ยค่ะ ก็เลยออกมาเป็นน้องยักษ์ก่อนตัวแรก” ก็เป็นตัวสร้างชื่อที่ทำให้หลาย ๆ คนรู้จักแบรนด์เรา
กว่า 10 ปีของแบรนด์ ANONA แจ้งเกิดมาจากยาดม “น้องยักษ์”
มีทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ซื้อกลับไปฝาก หรือแบบคนไทยที่ซื้อเป็น welcome gift ให้ชาวต่างชาติ“ก็พอหลังจากนั้นเราก็ต่อยอดมาเป็น “น้องหนุมาน” คือเป็นหนุมาน(ชื่อตัวละครเอกในวรรณคดีไทย “รามเกียรต์”) ซึ่งในกล่องเราก็จะมีเป็นแผ่นพับที่เล่าเรื่องราวของแต่ละตัวละคร ซึ่งเราก็แบบเหมือนถอดเรื่องราวมาจากรามเกียรติ์เลยแต่ว่าแบบ เราเอามาแปลเป็นภาษาอังกฤษซึ่งทำให้คนที่ซื้อไปเป็นของฝากหรืออะไรอย่างเงี้ย พอเขาได้รับไปเขาก็จะได้เรียนรู้เรื่องราวStory เกี่ยวกับวรรณคดีไทยด้วยอะไรเงี้ย สนุก ๆ ค่ะ”
นิสมองว่าการทำธุรกิจเราไม่สามารถที่จะอยู่นิ่งเฉยได้ เราต้องมีการออกสินค้าใหม่ออกมาเรื่อย ๆ เพื่อแบบสร้างความตื่นตา ตื่นใจ ให้กับลูกค้าคือแล้วเรา ANONA ด้วยความเป็นไทยเราเริ่มมาจาก “ยักษ์" แต่เราก็เออเราก็รู้สึกว่ามันก็สามารถต่อยอด ต่อยอดไปเป็นคาแรคเตอร์อื่นได้ เป็นฟังก์ชันอื่นได้ ซึ่งตัวนี้จะเป็น “บาล์ม” ฟังก์ชันจะเป็นการทา ทาได้-ดมได้ เราก็เลยทำเป็นหนุมานแล้วกัน ก็เป็นอีกตัวละครหนึ่งที่มีความโดดเด่น การตลาดในช่วงเริ่มแรกคือผ่านช่องทางออนไลน์ก่อน
เปิดตลาดด้วยออนไลน์ แต่มีจุด “ฝากขาย” ที่เน้นกลุ่มลูกค้าหลัก
เราก็เหมือนเริ่มจากการยิงโฆษณาผ่านเฟซบุค “แต่ว่านอกเหนือจากนั้นแล้วเราก็ต้องไปหา “จุดวางขาย” ไปเดินตามห้างฯ ในห้างที่เราคิดว่ามีกลุ่มชาวต่างชาติเข้าถึง ตอนนั้นไปเซ็นทรัลเวิลด์เพราะว่าต่างชาตินิยมเดินแถวนั้นอยู่แล้ว จุดจำหน่ายก็เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เราโต” เพราะว่า ณ ตอนนั้นก็คิดว่าเนี่ยถ้าต่างชาติเขามา เขาคงไม่มาซื้อออนไลน์กับเรา คือออนไลน์คิดว่าเอออาจจะทำให้คนไทยรู้จักเรามากขึ้นแต่ว่ากลุ่มนักท่องเที่ยว ยังไงเขาต้องแบบซื้อตามจุดที่เขาเข้าถึงได้
“ตอนแรกเราก็จะไปแบบร้านที่เขาไม่ได้แบบเป็นของห้างโดยตรง เขาอาจจะเป็นการเช่า การตอบรับค่อนข้างดีด้วยเหมือนโปรดักเรามันขายที่หน้าตาด้วย แบบแค่แว้บแรกก็ดูเป็นซูวีเนียร์อยู่แล้ว จริง ๆ เราก็ต้องมองดูร้านที่มันเหมาะกับสินค้าเรา ก็คือเขาขายสินค้ากลุ่มนี้อยู่แล้ว เขาเห็นแล้วเขาสนใจอ้าวเราก็ดิวกันอะไรเงี้ย แล้วก็ในส่วนของออนไลน์มันก็ซัพพอร์ตเราในแง่ที่ว่า มันก็มีจัดซื้อของห้างฯ หรือแบบของช่องทางต่าง ๆ ที่เขาแบบเห็นโปรดักส์เราแล้วเขาอยากจะเอาเข้าไปวาง เขาก็ติดต่อมา”
คือก่อนหน้านั้นก็คือเราเหมือนได้รับสนใจจากกลุ่มลูกค้าด้วย โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าเอเชียอย่าง ไต้หวันเขาก็เอาไปรีวิวให้เอง หรือแบบคนจีนที่เขาซื้อเขาก็ซื้อทีละเยอะ ๆ อะไรเงี้ย พอเรามีจุดจำหน่ายที่มันเหมาะสมที่เขาเข้าถึงได้ คือเหมือนกับ มันก็ไปได้ด้วยดี“จริง ๆ ณ ตอนนั้นก็มีเซ็นทรัลเวิลด์แล้วก็มีพวก เซ็นทรัลชิดลม เซ็นทรัลเอ็มบาสซี ตรงนั้นคือเราวางแบบค่อนข้างเยอะเลยเพราะว่ามันเป็นแนวบีทีเอสที่แบบเขาเข้าถึง แล้วก็มีไปวางในสนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมืองก็มี” แต่ว่าจุดเปลี่ยนก็คือช่วง “โควิด-19” ห้างฯ Shutdown แล้วก็โดนคืนสินค้ากลับมาค่อนข้างเยอะ แบบจากหน้าห้างฯ หน้าร้านต่าง ๆ เพราะว่าห้างฯ ก็ปิดเขาก็ตีของกลับมา ซึ่งเราก็ต้องมาแบบมาคัดสินค้าใหม่แล้วเราก็ต้องเอามากระจายสู่ช่องทางของเราเอง คือ ออนไลน์
ปรับตัวรับวิกฤต เปลี่ยนเป็น “โอกาส” ของการเติบโต
ต้องปรับตัวโดยการที่เราออกไลน์สินค้าใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์คน ณ ช่วงเวลานั้น ซึ่งตอนนั้นคนส่วนมากก็เออใช้ชีวิตอยู่ในบ้านแบบว่า work from home นู่นนี่นั่นแบบว่าต้นไม้ขายดี ของประดับบ้านขายดี ฯลฯ “เราก็เลยแบบเหมือนด้วยความที่วัตถุดิบเรามันมีการใช้ “อโรม่า” อยู่แล้ว มีการนำวัตถุดิบที่แบบเออเรามีอยู่แล้วเอามาปรับเป็นสินค้าใหม่ ๆ เช่น พวกสเปรย์หอมปรับอากาศ ก้านไม้หอมปรับอากาศ เทียนหอม ซึ่งแบบมันก็ตอบโจทย์กับลูกค้าที่แบบว่า ณ ตอนนั้นใช้เวลาค่อนข้างเยอะในการอยู่บ้าน”
เราก็พยายามที่จะแบบแทรกความเป็นไทย มันก็จะมาอยู่ในชื่อของ “กลิ่น” อย่างเช่นว่าแบบ กลิ่นเราก็จะตั้งชื่อไทย ๆ อย่างเช่น เพลิน ก็จะแบบเออกลิ่นแบบกลิ่นเพลิน (มาจากมิ้นต์ มะนาว ตะไคร้) หรือกลิ่นเคลิ้ม(มาจากลาเวนเดอร์) ช่วยให้นอนหลับสบาย อะไรอย่างเงี้ย หรือแบบกลิ่นพริ้มก็คือ เหมือนเราก็ยังขอแทรกความเป็นไทยสักนิดนึงเข้าไป“ซึ่งพอเราออกโปรดักส์พวกนี้ออกมาแล้ว ก็ได้รับการตอบรับค่อนข้างดีแล้วก็เป็นการขยายกลุ่มลูกค้าในไทยมากขึ้นด้วย เพราะว่ามันก็มีแบบคนที่เขาใช้หรือสนใจผลิตภัณฑ์อโรม่า”
มีการดีเวลล้อปอีก “ฮีโร่โปรดัก” หนึ่งขึ้นมา ณ ช่วงเวลานั้นก็คือจะเป็นตัว “ถุงหอม” ที่แบบมีความมงคล มีคำแบบ “คำอวยพร” คำว่าแบบ โชคดี มีสุข ร่ำรวย อะไรอย่างเงี้ย ซึ่งเราLaunch ออกมาช่วงแบบใกล้ปีใหม่พอดีซึ่งถุงหอมตัวนี้ก็คือพยายามแทรกความเป็นไทยโดยการเอาลวดลายจาก “วัด” ต่าง ๆ มาเป็นดีไซน์แล้วเราก็ใส่คำมงคล ซึ่ง ณ ตอนนั้นก็คิดว่าเออคนไทยก็น่าจะถูกใจกับกิมมิคนี้และก็ปรากฏว่าพอเราออกมา มันอาจจะเป็นช่วง Timing ที่ถูกต้องด้วยก็ได้รับการตอบรับค่อนข้างดี ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ก็คือแบบเป็นอีกสินค้าหนึ่งเลยที่แบบเออเราก็ขายดีพอ ๆ กับน้องยักษ์
“ไม่สามารถหยุดนิ่งได้เพราะว่าเรา เหมือนแบบคือถ้าเราหายไปเลยลูกค้าก็อาจจะลืมเราไป แต่ถ้าเราอยากจะทำสิ่งใหม่เราก็ยังต้องเหมือน keep DNA ของแบรนด์เอาไว้ ใช่ นิสก็เลยแบบเออถ้าเราจะออกอะไรมันก็ยังต้องมีความแบบ แทรกความเป็นไทยนะ ยังต้องมีความเป็น ANONA เพราะว่าเหมือนเราก็ยังต้องเหมือน “ตีกรอบ” ให้แบรนด์เราให้มันมีความชัดเจน”
ค่อนข้างหลากหลายเลย อย่าง สเปรย์ปรับอากาศ ก็คือแบบเหมือนเราก็เน้นสูตรธรรมชาติแล้วก็มีการดีเวลล้อปกลิ่นแบบ
ซึ่งนิสก็จะเป็นคนแบบดีไซน์กลิ่น“จริง ๆ ก็คือส่วนตัวเราก็จะเป็นคนชอบกลิ่นที่ไม่ฉุนมาก อะไรเงี้ย แบบไม่วิงเวียนอะไรเงี้ย
เน้นความสดชื่น แล้วก็แบบเป็นคนเบลนด์กลิ่นเอง พวกสเปรย์ปรับอากาศจริง ๆ ก็เป็นอะไรที่ใช้งานง่าย แบบฉีดดับกลิ่นพวกอาหาร หรือว่าในห้องน้ำก็ได้ หรือว่าจะฉีดก่อนนอน/ฉีดหมอนก่อนนอน ช่วยให้นอนหลับสบาย หลับง่ายขึ้นก็ได้”
ก็เป็นโปรดักที่แบบเออใช้ได้ทุกบ้าน แล้วก็จะมี เทียนหอม ซึ่งจริง ๆ เทียนหอมมันเป็นช่วงคาบเกี่ยวที่เรามีการออกมาก่อนอยู่แล้วแต่แบบตอนแรกเรากะว่าจะทำเป็นแค่ Season แบบช่วงปีใหม่ แต่บังเอิญ “โควิด-19” ไม่เฉพาะซีซั่นแล้วเราออกยาวเลย “เราก็แบบมีการพัฒนากลิ่นเพิ่มเติมอะไรเงี้ย ซึ่งแบบ ณ ช่วงนั้นคือแบบคนอยู่บ้าน เขาก็จะชอบจัดบ้าน สร้าง mood อะไรเงี้ยก็คือแบบ เทียนหอม เขาก็ไว้จุดระหว่างทำงานหรือว่าจุดระหว่างอาบน้ำ หรือแบบจุดระหว่างอ่านหนังสือ อะไรเงี้ยมันก็ไปได้”ซึ่งเราก็จะเลือก เหมือนนิสก็จะแบบคัดสรรวัตถุดิบด้วยไม่ใช่แค่เรื่องแบบ คือเราไม่ได้เน้นแค่ดีไซน์ แบรนด์ของเราคือเน้นทั้งเรื่องวัตถุดิบแล้วก็เรื่องกลิ่นด้วย นิสก็จะเลือกใช้เป็นไขถั่วเหลืองจากนำเข้าเลยก็คือจะแบบ มันจะไม่ปล่อยพวก “สาร” ที่แบบก่อโรคหรือส่งผลเสียต่อสุขภาพ ก็คือแบบมันก็ตอบโจทย์กับคนสมัยใหม่ที่เขาห่วงใยเรื่องสุขภาพ
ต่อยอดความหลากหลายสู่ Giftset ที่ใช้ได้ทุกวาระมากขึ้น
พอเรามีโปรดักส์ที่หลากหลายมากขึ้นในธุรกิจ มันก็เกิดไอเดียในการที่แบบนำโน่นมามิกซ์แอนด์แมตช์กันอะไรเงี้ย ก็กลายเป็น Giftset“ก็คือแบบเหมือนตัวชูโรงก็อาจจะเป็นตัวถุงหอม ที่มันมีความหมายดี เราก็จะแบบเอาไว้เป็นหลักในกล่องของขวัญแล้วก็จะมีแบบเอาโน่นนี่มาใส่ มีเราก็เลยกลายเป็นว่า เราได้กลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ จากการจัดเซ็ตของขวัญด้วย เพราะว่าคำมงคลของเรามันให้ได้ในหลากหลายโอกาสเลย” อย่างแบบ โชคดี บางทีแบบพี่ที่ทำงานได้เลื่อนขั้น เขาหาของหรือแบบ พอดีนายญี่ปุ่นจะกลับประเทศหรืออะไรอย่างเงี้ย เขาก็แบบเราได้หลายโอกาสนะ มีสุข ช่วงปีใหม่หรือแบบวันเกิด หรือแบบร่ำรวย อ้าวเขาขึ้นบ้านใหม่อะไรอย่างเงี้ย คือแบบเราก็ไปได้หลายทางมากขึ้น
“จริง ๆ ต้องบอกว่ากลุ่มลูกค้า “องค์กร” น่ะมีมานานแล้ว ตั้งแต่แค่ช่วงน้องยักษ์ก็มีแต่ว่าจะเป็นในแนว custom กล่อง หรือแบบติดสติ๊กเกอร์ แล้วเขาก็เอาไปแจกในอีเว้นต์ต่าง ๆ ที่แบบอาจจะมีต่างชาติเข้ามาประชุมหรืออะไรอย่างเงี้ย เป็นแบบเฉพาะเทศกาลนั้น ๆ แต่พอมันเป็น Giftset แล้วมันมีของหลายอย่าง มันก็ได้ในหลากหลายโอกาสมากขึ้น ซึ่งถ้าเป็นองค์กรก็จะมีแบบการ custom ที่แบบว่าให้ตอบโจทย์กับทางลูกค้าองค์กรเขาอยากจะปรับTheme สีให้เข้ากับซีไอเขา หรือแบบการทำแพ็กเกจให้มันแบบมีสายคาดกล่องที่มันสื่อถึงองค์กรอย่างเงี้ยค่ะ” อย่างตัวถุงหอมสามารถทำ “ลายใหม่” ได้เลย แบบว่าลูกค้าดีไซน์มาได้เลย เราก็จะปรับสีให้เข้ากับองค์กรมากที่สุด แต่ว่าอันนี้ก็คือแบบมันก็จะมี Lead time ให้เราได้เวิร์กด้วย
เพิ่มช่องทางในการเข้าถึง ด้วยจุดฝากขายที่แมตช์กับสินค้า
จริง ๆ ก็จะมีแบบพาร์ทเนอร์เก่าที่เราอาจจะแบบมี ทักมาชวนกลับไป หรืออาจจะมีพาร์ทเนอร์ใหม่ ๆ ที่แบบมาชักชวนเราในช่วงโควิด-19 เนี่ยแหละ แบบว่าเออ อย่าง ไอคอนสยาม อะไรเงี้ยเขาก็ติดต่อมาแล้วเราก็แบบโอเคแบบเราไปลอง “ณ ช่วงแรก ๆ ที่ยังไม่ได้เปิดประเทศ100% ยอดมันอาจจะยังไม่ได้ดีนัก แต่พอทุกอย่างมันเริ่มเข้าที่เข้าทาง เราก็เห็นภาพว่าเออมันเป็นอีก Destination หนึ่งจริง ๆ ที่นักท่องเที่ยวมา ซึ่งนิสก็เลยมองว่าเออแบบมันก็ ด้วย Shop เขาเองภาพมันก็ชัด แล้วมันเข้ากับสินค้าของเรา”
อย่างของไอคอนสยามก็จะอยู่ในโซน “Icon Craft” ก็คือแบบเหมือนเป็น คือเขาก็เน้นความเป็นไทยเขาก็เน้นซูวีเนียร์ เขามีการจัด Shop ที่มันดูน่าเดินแล้วลูกค้าก็แบบ เหมือนต่างชาติบางทีเขามาเวลาจะกลับไปเขาก็อยากมีอะไรติดไม้ติดมือ เขาเข้าไปถ้าสินค้าเรามีความโดดเด่นหรือแบบสร้าง Awareness ไว้อยู่แล้วเขาก็พร้อมที่จะซื้อ “คือนอกเหนือจากไอคอนสยามแล้วก็คือจะมีแบบ Hug Craft อะไรเงี้ยก็คือเป็นคอนเซ็ปต์คล้าย ๆ กัน หรืออย่างล่าสุดก็มี Sarapadthai Store ของ One Bangkok ก็คือเหมือนแบบ โซนซูวีเนียร์เริ่มกลับมาแล้ว”แต่ถ้าเป็นหน้าห้างฯ ของนิสยังเป็นโมเดลของการฝากขายคือถ้าเป็น Shop ของตัวเองจริง ๆ เรามี
Backoffice อยู่ที่บางแค แต่ว่าก็คือแบบ เราจะรับลูกค้าแบบออนไลน์มากกว่าก็คือเหมือนกับ เพราะว่าเดี๋ยวนี้ลูกค้าก็จะสามารถสั่งในแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้แล้วก็ หรือแบบบางทีลูกค้าก็จะมีทักมาแบบรับด่วน เราก็แบบส่งแกร็บส่งอะไรได้ หรือถ้าลูกค้าบริษัทอยากจะแวะเวียนเข้ามาที่ร้านก็สามารถทำได้
คงคอนเซ็ปต์ “เอกลักษณ์ไทย” ปรับตัวเพื่อธุรกิจไปต่อได้ไม่สะดุด
สุพิชชา กอเจริญพาณิชย์ หรือ คุณยูนิส เจ้าของแบรนด์ ‘ANONA’ ยังบอกด้วย ปีนี้ก็ต้องบอกว่าแอบมีวิกฤตเหมือนกัน(หัวเราะ) เพราะอย่างที่เราทราบกันเนาะว่า “นักท่องเที่ยว” ค่อนข้างลดลงในตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ด้วยสภาพการณ์ต่าง ๆ ของบ้านเมืองก็ต้องบอกว่า เหมือนยอดขายเราก็หน้าร้านมันก็ดร็อปลงตามภาวะ ก็อันนี้เราก็ต้องปรับตัวกันต่อ
“แต่ว่าถ้าเทียบ ณ ปัจจุบันกับเออเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ต้องบอกว่า ณ ตอนนี้มีแบรนด์ยาดมที่แบบค่อนข้างเยอะในตลาดเลย ถ้าเทียบกับ 10 ปีก่อน ใช่คือ ณ ตอนนั้นเรายังมีความFresh เรายังมีความใหม่ เรายังมีความแตกต่าง แต่ถ้า ณ ตอนนี้เราคือแบบ ก็มีหลายแบรนด์ที่เขาออกมาเป็นยาดมนะแต่ว่าเอออาจจะแพ็กเกจต่างจากเราแต่ก็แบบ มีกิมมิคอะไรของเขา ซึ่งอาจจะมองเป็นแบบเหมือนเป็นเขาเรียกอะไรนะ คู่แข่งทางอ้อม ถึงบอกว่าเราไม่สามารถหยุดนิ่งได้”
ก็สำหรับนิสเองนิสมองว่า หนึ่งเราก็ต้องมีแบบ ภาพของแบรนด์ที่ชัดเจนอย่างเงี้ยค่ะ เพื่อที่ว่าแบบเวลาที่เราจะไปทางไหนเราก็จะมีไดเร็กชั่นที่ชัดเจน ในส่วนของเรื่องสภาพการณ์ต่าง ๆ อะไรอย่างเงี้ยนิสว่ามันควบคุมไม่ได้ แต่ว่าเราก็ต้องพยายามปรับตัวหาทางออกที่แบบ อาจจะเป็นการเปลี่ยนช่องทางการขายหรือปรับโปรดักส์ให้มันแบบตอบโจทย์ ณ ช่วงเวลานั้น ๆ มากขึ้น แบบที่นิสเคยทำที่ผ่าน ๆ มา เพื่อให้เราสามารถที่จะไปต่อได้
ในอนาคตของแบรนด์ ‘ANONA’ การเติบโตจะเป็นแบบไหน?“จริง ๆ เราก็คงยัง keep ความเป็นไทยเหมือนเดิม อาจจะมี Product Line ที่แบบออกมาใหม่ ๆ ที่แบบเอออาจจะเป็นสินค้าไทยที่ไม่ใช่อโรม่า หรือแบบมี แต่คือดีไซน์ก็ยังต้องเป็นไทยอะไรเงี้ยค่ะ เรื่องของ Store นิสว่าแบบ ถ้ามันมีโอกาส ก็อยากมี เพราะสุดท้ายแล้วมันก็จะเป็นเหมือนจุด Touch point ที่แบบลูกค้ามาเจอเรา เราอาจจะได้เห็นหน้าตาลูกค้าจริง ๆ อะไรอย่างเงี้ยค่ะ ก็มองว่าเออแบบถ้ามีโอกาส เราก็อยากมี”
จากยาดม “น้องยักษ์” ซูวีเนียร์เอกลักษณ์ไทยปรับตัวจนสามารถข้ามผ่านวิกฤตมาได้กว่า 10 ปีของ ANONA การปรับตัวเพื่อรับมือกับวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นหากมองในมุมของการ Develop สิ่งที่มีอยู่แล้วหรือว่าทักษะความเชี่ยวชาญคิดหาวิธีการว่าจะปรับใช้ให้เข้ากับหน้างานตอนนั้นตลอดจนลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้อย่างไรบ้าง ซึ่งนี่คือความสำเร็จของแบรนด์ ANONA ที่สามารถทำได้และก้าวข้ามจนนำพาธุรกิจเติบโตต่อเนื่องอย่างไม่สะดุดมากว่า 10 ปี และยังคงมี Passion อยู่อย่างเต็มเปี่ยมในการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งต่อไป ‘Top of Mind’ ที่เชื่อว่าอาจเข้าไปอยู่ในใจลูกค้าของแบรนด์นี้หลาย ๆ คนแล้ว
สามารถติดตามหรือสนใจซูวีเนียร์เอกลักษณ์ไทยของแบรนด์ ANONA ติดต่อได้ทุกช่องทางในชื่อนี้หรือ FB : ANONA Thailand โทร.092-696-4549 ขอบคุณ: acre coffee พุทธมณฑลสาย 2 ซอย 7


