พารู้จักกับร้าน “กู้ดแกง” ข้าวแกงโบราณสูตรชาววังที่ถูกรังสรรค์เป็นเมนูต่างๆ จากเชฟมืออาชีพและคัดวัตถุดิบที่มีคุณภาพปลอดสารเคมีจากสวน 100% พร้อมชูเมนู “กะทิ” สดและใหม่เพื่อความอร่อยของอาหาร เสิร์ฟบนร้านโบกี้รถไฟโบราณที่ถูกรีโนเวทขึ้นมาใหม่เอาใจความชิคของคนรุ่นใหม่ โชว์กิมมิคน่าสนใจด้วยการให้ลูกค้า “บริการเสิร์ฟตัวเอง” พร้อมแยกขยะเองจากภาชนะที่ทำจากกระดาษชานอ้อย เปิดมาได้ 1 ปี กับคติการทำธุรกิจร้านอาหารคือการเสิร์ฟ “อาหารที่ดี” ให้ลูกค้า
นางสาววิลาสินี กรรณิกา หรือ วินนี่ เจ้าของร้านข้าวแกงกู้ดแกง เล่าว่า ส่วนตัวทำอาชีพนักกฎหมายแต่หลงใหลและชอบการกินเป็นพิเศษ ทำให้จุดเริ่มต้นของการเปิดร้านข้าวแกงนั้นเริ่มต้นมาจากความชอบของตัวเอง เนื่องจากตั้งแต่เด็กจนโตจะมีพี่สาวทำอาหารให้กินและเป็นรสชาติที่ถูกปาก ปัจจุบันเปิดร้านมาได้ประมาณ 1 ปี โดยก่อนหน้านี้เคยเปิดร้านขายส้มตำมาก่อนแต่ได้ปิดกิจการไปและได้มาทำร้านข้าวแกงแทน ซึ่งกว่าจะเริ่มเปิดร้านขายข้าวแกงใช้เวลาในการ r&d เกือบ 1 ปี
ด้านนางสาววารินทร บุณยะชัย หรือ เชฟปูเป้ พี่สาวและเป็นเชฟของทางร้าน เปิดเผยว่า ตอนเด็กวินนี่เวลากินอะไรจะท้องเสียบ่อย ตนจึงพยายามทำอาหารให้เองเพื่อที่จะให้น้องสาวได้กินอาหารรสชาติที่ถูกปากและไม่ท้องเสีย จึงตัดสินใจเรียนทำอาหารและมาทำให้น้องสาวและคนในบ้านกิน ซึ่งสูตรอาหารต่างๆ เชฟปูเป้เป็นคนลงมือทำเองและทำให้สะอาดที่สุดเพื่อให้น้องสาวสามารถกินได้และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ธุรกิจอาหาร
ทั้งนี้เดิมทีทางครอบครัวมีอาชีพขายปืนในย่านวังบูรพา รวมถึงมีโรงเรียนสอนทำอาหาร Smile Cooking Club สาขาพระราม 4 และแบรนด์เบเกอรี่ชื่อ Mommy’s Magic ที่เปิดมาได้ประมาณ 1 เดือน ซึ่งปัจจุบันก็มีธุรกิจร้านอาหารอย่าง ข้าวแกงกู้ดแกง ที่โดดเด่นเรื่องรสชาติอาหาร เป็นข้าวแกงโบราณชาววังที่ใช้วัตถุดิบที่ดีมีคุณภาพ ไม่ใส่ผงชูรสเพิ่ม ปรุงเหมือนให้คนในบ้านกินเอง
ร้านกู้ดแกงถูกเนรมิตด้วยโบกี้รถไฟโบราณที่ทางร้านไปเช่าและรีโนเวทขึ้นมาเป็นร้านอาหารสไตล์โฮมมี่ ตกแต่งให้สวยงามในย่านสุขุมวิท 71 ซึ่งอาหารของทางร้านเป็นแกงโบราณบวกกับรถไฟโบราณ พอนำทั้งสองอย่างมารวมกันจะให้ความรู้สึกและบรรยากาศที่น่ารักอบอุ่น สำหรับเมนูอาหารนั้นส่วนใหญ่จะเน้นเป็นเมนูแกงโบราณสไตล์ชาววังและเป็นเมนูที่คุณวินนี่และกลุ่มเพื่อนชื่นชอบ ซึ่งมีที่มาจากการที่ในตอนเด็กเพื่อนของคุณวินนี่จะมาเล่นที่บ้านบ่อย และทุกคนก็จะได้กินข้าวฝีมือเชฟปูเป้แบบที่คุณวินนี่ได้กินอยู่ทุกวัน โดยในทุกๆ ครั้งเพื่อนของคุณวินนี่ก็จะชื่นชอบเมนูอาหารของเชฟปูเป้ตลอดจนทนเสียงเรียกร้องให้เปิดร้านอาหารไม่ไหว
“จริงๆ ธุรกิจอาหารมันไกลจากเรามาก ก่อนจะเปิดโรงเรียนสอนทำอาหารด้วยซ้ำเพราะเราขายปืนและทำอย่างอื่นที่ไกลตัวมาก บวกกับการแข่งขันสูง แต่พอตัดสินใจก้าวเข้ามาในธุรกิจนี้ก็คิดเยอะมาก ดังนั้นทุกเมนูก็จะผ่านกระบวนการคิดมาหมดแล้ว เช่น เมนูพะโล้หมูชาชู ถ้าเป็นบ้านอื่นก็คงกินแค่พะโล้ธรรมดา แต่บ้านเราต้องกินคู่กับน้ำพริกกะปิ ซึ่งต้องเป็นน้ำพริกกะปิเคยเท่านั้น หมูผัดกะปิของเราจะไม่เหมือนกับทางใต้เพราะทางใต้จะติดหวานนิดหนึ่ง แต่ของเราจะออกเค็มและมีกลิ่นตะไคร้และพริกไทยดำโดดเด่นขึ้นมา เมนูของเราจะออกญวณเพราะเราเป็นลูกครึ่งญวนนั่นเอง” คุณวินนี่ ระบุ
ในทุกๆ เมนูแกงของทางร้านจะมีเรื่องราวที่น่าสนใจซ่อนอยู่ โดยทางร้านมีเมนูให้เลือกหลากหลายเมนูแกงโบราณ ซึ่งเมนูที่เป็น “แกงกะทิ” ทั้งของหวานและของคาว ทางร้านจะใช้กะทิสดล้วน เครื่องแกงตำเองทุกอย่างและไม่ใช้เครื่องแกงสำเร็จรูป เพราะทางร้านมองว่าคนรุ่นใหม่เริ่มใส่ใจสุขภาพและเลือกอาหารที่มีคุณภาพรับประทาน ทางร้านจึงเลือกแต่วัตถุดิบที่สด สะอาด และมีคุณภาพ เพื่อนำมารังสรรค์เมนูอาหาร รวมถึงวัตถุดิบที่เป็นผักเองทางร้านก็มีสวนผักสวนครัวปลอดสารพิษ 100% ที่จังหวัดชัยภูมิ และนำผักต่างๆ เหล่านี้มาเป็นวัตถุดิบในการทำอาหารให้ลูกค้าเป็นหลัก ซึ่งการมีสวนผักที่บ้านยังกระจายรายได้ให้กับเด็กและเยาวชนต่างๆ ใกล้บ้านเพราะได้รับรายได้พิเศษจากการมาเก็บผักให้กับทางร้าน ส่วนวัตถุดิบอื่นๆ อย่าง “กะทิ” จะรับจากซับพลายเออร์ที่มีคุณภาพและใกล้กรุงเทพฯ เพื่อความสดใหม่และสะอาด
“ในวันที่เปิดร้านแล้วมีลูกค้าคนหนึ่งเข้ามาในร้านแหวกผ้าม่านและบอกว่าอร่อยมาก อร่อยจริงๆ วันนั้นคือร้องไห้และขอบคุณมากเพราะเราตั้งใจทำร้านนี้มาก” คุณวินนี่ระบุ
นอกจากจะใส่ใจเรื่องเมนูอาหารให้ลูกค้าแล้วทางร้านยังใส่ใจพนักงานในร้าน ถึงแม้ในตอนนี้จะมีพนักงานเพียง 1 คน แต่ก็ใส่ใจเรื่องเล็กน้อย เช่น อากาศร้อนในครัว บรรยากาศในการทำอาหารให้ลูกค้า ทางร้านจะมีเพลงเปิดคลอเบาๆ เพื่อให้พนักงานรวมถึงลูกค้าได้รู้สึกผ่อนคลายด้วย
กิมมิคที่น่าสนใจของทางร้านคือเป็นร้านข้าวแกงที่ให้ลูกค้าบริการตัวเองด้วยการไปรับอาหารจากช่องเสิร์ฟอาหารจากพนักงาน ถ้วยชามในร้านจะใช้เป็นถ้วยชามกระดาษจากชานอ้อยเพื่อลดภาระในการจัดการชำระล้างให้กับพนักงาน โดยที่ทางร้านจะมีถังขยะแยกประเภทให้ลูกค้าทิ้งเพื่อง่ายต่อการทำความสะอาด ซึ่งในจุดนี้ลูกค้าก็ให้การตอบรับที่ดีและพึงพอใจต่อบริการดังกล่าว เรียกได้ว่าเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมเด็กๆ ให้รู้จักแยกขยะไปในตัว เพราะลูกค้าหลักของทางร้านคือกลุ่มวัยทำงานและครอบครัวที่มีลูกเพราะสถานที่ตั้งของร้านอยู่ใกล้กับสนามไอซ์ฮอกกี้ เมื่อเด็กๆ เสร็จกิจกรรมผู้ปกครองก็จะมาแวะเพื่อกินข้าวและขนมกับทางร้านนั่นเอง
นอกจากเมนูอาหารไทยแล้วทางร้านยังมีขนมหวานและเมนูพิเศษซึ่งก็คือ “ซาวร์โดว์ (Sourdough) นึ่ง” ที่กินคู่กับสังขยา โดยทางร้านเคลมว่ายังไม่มีใครทำเหมือนกับที่ร้านทำ เนื่องจากซาวร์โดว์ปกติส่วนใหญ่จะนำไปปิ้งแต่ทางร้านนำไปนึ่ง เพื่อให้เกิดความแตกต่างและมีรสชาติอร่อยถูกใจลูกค้าได้เป็นอย่างดีและเป็นอีกหนึ่งเมนูที่ขายดีของทางร้าน นอกจากนี้ยังมีเมนูขนมหวานไทยที่มีความอร่อย หวานมันจากกะทิคุณภาพดี อย่าง บัวลอย กล้วยบวชชี และอื่นๆ ให้ลูกค้า ปัจจุบันมีขายทั้งหน้าร้านและเดลิเวอรี่ แต่สัดส่วนหน้าร้านจะมีมากกว่าเดลิเวอรี่ รวมถึงมีการสั่งผ่านร้านโดยตรงหรือผูกปิ่นโตให้ลูกค้า ซึ่งได้ผลตอบรับที่ดีจากลูกค้ากลับมา
สำหรับการบริหารจัดการเมื่อมีปัญหาในการทำงาน ทั้งคุณวินนี่และเชฟปูเป้จะแก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยการสื่อสารกับพนักงานให้สามารถแก้โจทย์ต่างๆ ให้ผ่านไปได้ด้วยดี พร้อมกับสร้างทีมงานที่ดีเพื่อให้ทุกปัญหาผ่านไปได้อย่างราบรื่น ดังนั้น การมีทีมที่ดีและมีคุณภาพจะช่วยผลักดันธุรกิจให้เดินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ เมนูซิกเนเจอร์ของทางร้านได้แก่ แกงเขียวหวานเนื้อ หมูผัดกะปิ แกงคั่วไก่หน่อไม้ดอง เป็นต้น นอกจากนี้ ราคาของเมนูอาหารจะเริ่มต้นที่ 95 บาทแบบราดข้าว แต่ถ้าหากแยกข้าวและแกงจะเริ่มต้นที่ 119 บาท
“เมื่อก่อนเราขายปืนแบบซื้อมาขายไป ก็จะไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้ามากนัก แต่พอเป็นร้านข้าวแกง พอลูกค้าชมเราก็รู้สึกดีใจจังเลย เรารู้สึกชอบในธุรกิจนี้ มันมีช่วงที่เหนื่อยแต่สามารถแก้ปัญหาไปกับทีมได้ เรามีลูกน้องที่ช่วยกันทำให้เราอยู่ได้ด้วยทีมที่ดี แก้ปัญหาผ่านไปด้วยกันได้เป็นอย่างดี” คุณวินนี่และเชฟปูเป้ ระบุ
ทั้งนี้แผนการต่อยอดธุรกิจร้านข้าวแกงของทางร้านนั้นจะเป็นไปในทิศทางของการพัฒนาและคงมาตรฐานข้าวแกงที่ดีของแบรนด์เอาไว้ พร้อมทั้งวางแผนในอนาคตด้วยการขยายสาขาเพิ่มที่มีขนาดใหญ่ขึ้น มีเมนูให้เลือกเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าเพิ่มมากขึ้น ทางร้านยังบอกอีกว่าในตอนนี้มีลูกค้าต่างชาติอย่างอินโดนีเซียและสิงคโปร์ติดต่อขอซื้อแฟรนไชส์เพื่อไปเปิดสาขาในประเทศดังกล่าว
เนื่องจากเคยเป็นลูกค้าที่มาเรียนทำอาหารกับทางเชฟและติดใจในรสชาติอาหารไทยของร้านจึงสนใจแฟรนไชส์ แต่ทางร้านยังไม่สามารถจัดการในส่วนนี้ได้เพราะต้องการทำให้ร้านอยู่ตัวและสร้างคุณภาพที่ดีเอาไว้ให้ได้ก่อน เพราะอีกหนึ่งปัญหาคือ “กะทิ” ในต่างประเทศที่จะแตกต่างจากของไทย จึงทำให้อยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาและสื่อสารให้ได้เป้าหมายที่ตรงกัน
นอกจากนี้เมนูอาหารทุกอย่างจะถูกนำจากครัวกลางมาที่ร้านและไม่มีการทำเพิ่ม ถ้าเมนูไหนหมดก็จะไม่ทำเพิ่ม แต่ก็สามารถทำให้ยอดขายสามารถขายได้หลักร้อยจานต่อวัน ซึ่งจุดแข็งที่ทำให้สามารถขายได้คือ “รสชาติและวัตถุดิบที่มีคุณภาพ” ทางร้านมั่นใจและเคลมว่าวัตถุดิบของทางร้านมีคุณภาพ เมนูอาหารต่างๆ ที่รังสรรค์ขึ้นมาทำด้วยใจและตั้งใจทำรสชาติให้ถูกปากลูกค้า
“สำหรับการบริหารจัดการธุรกิจทั้งร้านขายปืนและอาหารนั้นดูจะไปด้วยกันค่อนข้างยาก แต่เราต้องแบ่งเวลา แรกๆ ก็อาจจะยากแต่ต้องแบ่งเวลาและมีทีมที่ดูแลแทนเราได้ อย่างร้านปืนก็มีทีมดูแลแทนเราได้ เราก็จะสามารถเอาตัวเองออกไปทำอย่างอื่นได้” เชฟปูเป้ ระบุ
“คติในการทำธุรกิจอาหาร เราจะบอกลูกน้องตลอดเลยว่า อาหารที่ดี มันต้องเริ่มจากเจตนาที่ดี หมายความว่าถ้าเรามีเจตนาที่จะทำอาหารให้ดีแล้ว ลูกค้าก็จะได้รับแต่อาหารที่ดีๆ อยากให้ลูกค้าได้กินสิ่งที่ดี” คุณวินนี่ ระบุ
นอกจากนี้ ความสำเร็จของทางร้านคือการมีลูกค้าเข้าร้าน มีลูกค้ามารีวิว ลูกค้าสนใจอาหารของทางร้าน รวมถึงการที่รสชาติอาหารเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำของลูกค้าก็ถือว่าเป็นการประสบความสำเร็จของทางร้านแล้ว
อย่างไรก็ตาม ร้านข้าวแกงกู้ดแกง ตั้งอยู่ที่ถนนสุขุมวิท 71 แยกปรีดีพนมยงค์ 37 เปิดร้านทุกวันและมีการวางแผนจะมีวันหยุดคือวันพุธ สามารถเข้าไปลิ้มลองรสชาติข้าวแกงโบราณแบบชาววังที่ถูกเนรมิตให้อยู่บนโบกี้รถไฟโบราณ เป็นอีกหนึ่งร้านข้าวแกงที่ยกระดับข้าวแกงให้ดูน่าสนใจ รสชาติอร่อยและตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าได้เป็นอย่างดี
ติดต่อเพิ่มเติม
Facebook : GoodGangข้าวแกงกู้ดแกง
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด* * *