แหนแดง พืชน้ำต้นเล็กๆ แต่คุณสมบัติประโยชน์ของแหนแดงนั่นไม่เล็กๆ เลย ทางกรมวิชาการเกษตร ได้มีการให้ข้อมูลเกี่ยวกับแหนแดง ว่า เป็นพืชที่กาบใบบนด้านหลังของแหนแดงมีโพรงใบ ทำให้มีสายหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินเข้าไปอาศัยอยู่ในโพรงใบของแหนแดง และเมื่อนำมาผ่านงานวิจัยพบว่า แหนแดงมีไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบสูงถึง 4.6 เปอร์เซ็นต์ สูงกว่าพืชตระกูลถั่วที่มีอยู่ประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์ และเมื่อหว่านแหนแดงไปในนาปลูกข้าว 1 ไร่ สามารถให้ผลผลิตสูงถึง 3 ตัน เทียบกับการใช้ปุ๋ยยูเรีย 7-10 กิโลกรัม ซึ่งเพียงพอต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว และยังเพียงพอต่อการปลูกพืชกินใบชนิดอื่นๆด้วย
แหนแดงพืชเล็กๆ แต่ประโยชน์ไม่เล็ก
นอกจากนี้ แหนแดงมีธาตุอาหารโดยเฉพาะโปรตีนสูงถึง 21.4-28.5 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงมีกรดอะมิโนจำเป็นต่อสัตว์ จึงนิยมนำไปเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะการเลี้ยงไก่ เป็ด ห่าน วัว แพะ หมู และ เลี้ยงหอย รวมถึงสัตว์น้ำอื่นๆ สามารถลดต้นทุนอาหารสัตว์ให้กับเกษตรกรได้ 60-70 เปอร์เซ็นต์ และสัตว์ที่เลี้ยงด้วยแหนแดงเติบโตและแข็งแรง
ในส่วนของสายพันธุ์แหนแดงที่นิยมเลี้ยงกันในปัจจุบัน มาจากทางกรมวิชาการเกษตร ได้นำสายพันธุ์จากต่างประเทศ มาปรับปรุง จนได้ออกมาเป็นสายพันธุ์ อะซอลล่า ไมโครฟิลล่า Azolla microphylla ซึ่งให้ผลผลิตสูงกว่า สายพันธุ์พื้นเมืองในประเทศไทย ชื่อว่า “อะซอลล่า พินาต้า” ถึง10 เท่า
ป้าบัว เจ้าของฟาร์มแหนแดง
แรงบันดาลใจคนทำเกษตรเริ่มต้นหลักร้อยทำเงินหลักล้าน
และด้วยคุณสมบัติดังกล่าวของแหนแดง กรมวิชาการเกษตร ส่งเสริมให้เกษตรกร เลี้ยงแหนแดงไว้ใช้ เพื่อลดต้นทุน และด้วยความต้องการจำนวนมาก ทำให้มีเกษตรกรบางส่วนหันมาเพาะเลี้ยงแหนแดง ส่งขายให้กับเกษตรกรที่ไม่สามารถเพาะเลี้ยงแหนแดง และต้องการแหนแดงไปใช้สำหรับทำปุ๋ย และเลี้ยงสัตว์ เป็นที่มาของอาชีพใหม่ ที่ถูกพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง สำหรับการเพาะเลี้ยงแหนแดงจำหน่าย วันนี้ พามารู้จักกับเกษตรกร ผู้เพาะเลี้ยงแหนแดงหลายคนรู้จักเค้าในชื่อว่า “ป้าบัว” “สุชานันท์ กล่ำบุญสวัสดิ์” เจ้าฟาร์มเพาะเลี้ยงแหนแดง บ้านสวนสุชานันท์ อำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา
สุชานันท์ (ป้าบัว) เล่าว่า ตนเองได้เลี้ยงแหนแดงมาตอนนี้ก็เข้าปีที่ 5 เริ่มเลี้ยงเมื่อช่วงสถานการณ์โควิด ตอนนั้นได้มีโอกาสติดตามประธานชุมชนไปชมโครงการแม่ของแผ่นดิน ก็เห็นว่าเค้าเลี้ยงแหนแดงไว้ใช้เป็นอาหารสัตว์ และเป็นปุ๋ย ใช้ในไร่ในส่วน ป้าก็เลยขอซื้อเค้ามา 1กิโลกรัม และซื้อขี้วัวมาพร้อมกะละมัง ตอนนั้นป้าลงทุนไป 550 บาท ได้แหนแดงจำนวน 10 กะละมัง พอผ่านไป 1 สัปดาห์ ก็สามารถเก็บขายได้ โดยป้าก็ไปโพสต์ขายผ่านช่องทางโซเชียลฯ หน้าเพจ มีลูกค้าทักเข้ามาซื้อ อาทิตย์แรกป้ามีรายได้ 1,500 บาท
หลังจากนั้น ผ่านไปไม่นาน ก็มีรายการทางช่องยูทูบ ก็เข้ามาถ่ายทำเป็นรายการเกี่ยวกับการทำเกษตร ทำให้มีคนรู้จักเยอะขึ้น ครั้งนี้ ออเดอร์ก็เข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อย หลังจากออกรายการไปก็มีออเดอร์เข้ามาอาทิตย์นั้น 3,700 บาท และออเดอร์เพิ่มขึ้นเรื่อยเดือนนั้นมีออเดอร์เข้ามาถึง 14,000 บาท หลังจากนั้น มีคนรู้จักเพิ่มขึ้น ป้าเคยมีออเดอร์มากถึงวันละ 8,000 บาท จนไม่พอขาย ต้องไปให้เพื่อนในชุมชน ช่วยกันเลี้ยง และก็มาเป็นเครือข่ายกัน พอมีออเดอร์เข้ามา ก็แบ่งส่งให้เครือข่ายสมาชิกของเราด้วย ป้าก็ไม่ได้รับไว้คนเดียว เพราะทำคนเดียวไม่พอส่งขาย วันหนึ่งป้ารับได้ไม่เกิน 10 กิโลกรัม ส่วนสมาชิก ส่งป้าวันหนึ่งรายละ 5 กิโลกรัม ออเดอร์ไม่แน่นอน บางวันหลัก 100-200 กิโลกรัม ปัจจุบัน ป้ามีรายได้แตะหลักล้านบาท สามารถปลดหนี้หลายแสนบาทได้
จากเลี้ยง 10 กะละมัง ผ่านไป 4 ปี ขยายไปกว่า 10,000 กะละมัง
“เดิมป้าบัวทำอาชีพเป็นพนักงานในบริษัทรับเหมาก่อสร้าง พอเจอโควิด กลับบ้านมาทำเกษตร ปลูกมันสำปะหลัง และเคยเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยว จนได้มาเจอแหนแดงก็หันมาเลี้ยงไว้ใช้ในไร่ เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ ลดต้นทุนการทำเกษตร และเก็บขายบ้าง ตอนแรกคิดว่าเป็นแค่อาชีพเสริม แต่ตอนนี้ กลายเป็นอาชีพหลักของเราไปแล้ว เริ่มจากเล็กๆ เพราะเราไม่มีทุน และค่อยขยาย ปัจจุบัน มีการเพาะเลี้ยงแหนแดง ทั้งหมด 11,998 กะละมัง”
สำหรับแหนแดง หนึ่งกะละมังตักขายได้ประมาณ 2 ขีด ถ้าเป็นดอกใหญ่ 1กิโลกรัม ก็ต้องใช้แหนแดง 7 กะละมัง ส่วนดอกเล็ก 1 กิโลกรัม มาจากแหนแดง 12 กะละมัง ราคาขายกิโลกรัม 170 บาท รวมส่ง นอกจากแหนแดงสด ป้าบัวทำแหนแดงแห้งขายด้วย เพราะบางคนนำไปเป็นปุ๋ยใส่ต้นไม้ต้องการแหนแดงแห้ง ซึ่งแหนแดงแห้ง 1 กิโลกรัม ต้องใช้แหนแดงสด 15 กิโลกรัม ราคาแหนแดงแห้งอยู่ที่กิโลกรัม 1,500 บาท
ไม่ได้แค่สร้างรายได้ตัวเอง แต่ยังสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน
ป้าบัว เล่าว่า ตอนเลี้ยงแรกๆ ป้าก็ไม่กล้าเลี้ยงไว้หน้าบ้านแบบนี้ ต้องแอบเลี้ยงหลังบ้าน เพราะยังไม่มีใครเขาเลี้ยงแหนแดงขายกัน คนมองว่าเลี้ยงแล้วจะไปขายให้ใคร จนผ่านไป 3 วัน ป้าเริ่มมีออเดอร์เข้ามา และก็เริ่มขายได้ โดยแหนแดงที่ป้าเพาะเลี้ยงสามารถเก็บขายได้ ใน 7 วัน
พอผ่านไป 3 วัน มีคนสั่งซื้อเข้ามาเริ่มขยายกะละมังเพิ่ม เริ่มกล้านำออกมาเลี้ยงไว้หน้าบ้าน ซึ่งคนอื่นๆ ที่เห็นเราเลี้ยงขายได้ ก็มาซื้อไปเพาะเลี้ยงบ้าง ป้าก็ไม่หวง ป้าสอนการเลี้ยง และถ้าขายไม่ได้ ป้าก็ไปรับมาจากสมาชิกในชุมชน เพราะที่ฟาร์มของเราเองก็ไม่พอกับออเดอร์ที่เข้ามาในแต่ละวัน เราก็เอามาจากสมาชิกเครือข่ายในชุมชน สร้างรายได้ให้คนในชุมชนด้วย
ทำไมต้องเลี้ยงในกะละมัง ไม่เลี้ยงในบ่อใหญ่
ทั้งนี้ ที่ป้าเลือกเลี้ยงแหนแดงในกะละมัง เพราะดูแลง่าย ถ้ากะละมังไหนเสียก็ยกทิ้งเป็นกะละมังไป แต่ถ้าเลี้ยงในบ่อมันจะดูแลยาก ภาชนะอะไรก็สามารถนำมาเลี้ยงแหนแดงได้หมด การเพาะเลี้ยงแหนแดงก็ไม่ได้มีขั้นตอนอะไรเยอะ เพียงแค่นำแหนแดงประมาณ 1 ขีด ในกะละมังที่เตรียมไว้ มีน้ำสะอาด น้ำปะปา หรือ น้ำบาดาล และเติมน้ำขี้วัวลงไปสัก 1 ขัน และใส่แหนแดงลงไป หลังจากนั้นผ่านไป3 วันแหนแดงก็จะค่อยขยายเต็มกะละมังและใน 7 วัน ก็สามารถเก็บขายได้แล้ว
สำหรับการเลี้ยงแหนแดงต้องเลี้ยงที่มีแดดร่ำไร เพราะแหนไม่ชอบแดดจัด และไม่ชอบร่ม ชอบแดดร่ำไร สิ่งที่ขาดไม่ได้การเลี้ยงแหนแดง คือ น้ำขี้วัวหมัก เป็นอาหารของเค้า การใส่น้ำขี้วัว ถ้าใส่มากน้ำก็จะเค็มก็ทำให้แหนแดงตายได้ แต่ถ้าใส่น้อยไปก็ทำให้แหนแดงไม่โต ถ้าเลี้ยงครั้งแรกใส่น้ำขี้วัว 1 ขัน ต่อ 1กะละมัง แต่ถ้าเลี้ยงครั้งต่อไป ใช้น้ำขี้วัว 1 ขันต่อ 4 กะละมัง
ส่วนข้อดีของการเลี้ยงในกะละมังอาหารเค้าจะถึงก็จะโตไวกว่าการเลี้ยงในบ่อใหญ่ แหนแดงที่ผ่านการเลี้ยงไปสักประมาร 10 วัน หรือ เดือนนึงเริ่มเหลือง ก็ไม่ต้องทิ้ง สามารถเก็บเอาไปไว้ทำแหนแดงแห้งขายได้ โดยแหนแดงแห้งสามารถนำไปทำเป็นปุ๋ยให้กับพืช
ไม่อยากให้คาดหวังว่า เลี้ยงเพื่อขาย
เริ่มต้นเลี้ยงเพื่อลดต้นทุนการทำเกษตร
ป้าบัว บอกว่า “สำหรับคนที่สนใจ และต้องการเลี้ยงแหนแดงครั้งแรกป้า ไม่อยากให้คาดหวังว่าจะต้องเลี้ยงขายและรวย เพราะไม่มีใครรู้ว่าจะขายได้ไหม แต่การเลี้ยงครั้งแรก ป้าอยากให้เป็นการเลี้ยงเพื่อนำไปใช้ในสวน ในไร่ หรือ ใช้เลี้ยงสัตว์ เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่าย ในการทำเกษตรของเราก่อน และถ้าสามารถขายได้ ก็ถือว่าเรามีรายได้อีกทางหนึ่ง เพราะถ้าเราตั้งเป้าไว้ว่าจะขายและรวย สุดท้ายทำไม่ได้ แล้วเราก็จะท้อ ซึ่งการซื้อแหนแดงไปเลี้ยงลงทุนไม่สูง และเป็นการลงทุนครั้งเดียว พอเก็บไปใช้เหลือไว้หนึ่งส่วน และเลี้ยงต่อ ไม่ต้องลงทุนเพิ่ม ลงทุนแค่ซื้อขี้วัวเท่านั้น”
“ป้าอยากให้ทุกคนทำเกษตรแบบยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงในหลวงรัชกาลที่ 9 เราจะมีความสุขในการทำงานไม่ว่าจะทำอาชีพอะไร เหมือนอย่างป้าที่ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงในการดำเนินชีวิต ทุกวันนี้ ป้าทำงานอย่างมีความสุข ถ้าไม่มีโรคภัยเบียดเบียน มีเงินใช้ ไม่มีหนี้ ไม่อดไม่จน”
ติดต่อ โทร. 08-7941-1591
คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด