xs
xsm
sm
md
lg

ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ’ ธุรกิจค้าปลีกดาวรุ่งเทรนด์ใหม่ เปลี่ยนพื้นที่เล็กๆ สู่เศรษฐีเงินล้าน ปี 2567 กวาดรายได้กว่าหมื่นล้าน โตขึ้น 34%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเผยบทวิเคราะห์ธุรกิจตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ (Vending Machine) ประจำเดือนกรกฎาคม 2568 พบแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง สอดรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกสบาย เข้าถึงสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง และรองรับการชำระเงินที่หลากหลาย ปัจจุบันมีนิติบุคคลประกอบธุรกิจ 760 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 5,962 ล้านบาท โดยในปี 2567 สามารถสร้างรายได้ถึง 10,156 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.74% จากปี 2566 สะท้อนศักยภาพและความต้องการที่ขยายตัวอย่างชัดเจน ทั้งยังดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติรวมกว่า 619 ล้านบาท ธุรกิจนี้ยังคงสดใสเพราะหลากหลายปัจจัยหนุนให้เติบโต


นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้จัดทำบทวิเคราะห์ประจำเดือนกรกฎาคม 2568 พบว่า ‘ธุรกิจตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ’ (Vending Machine) เป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความสะดวกสบาย สามารถเลือกซื้อสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง และมีช่องทางการชำระเงินได้หลากหลาย ปัจจุบันมีนิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจดังกล่าวจำนวน 760 ราย ทุนจดทะเบียน 5,962 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดเล็ก (S) จำนวน 724 ราย คิดเป็น 95% ทุนจดทะเบียน 1,800 ล้านบาท รองลงมาคือ ธุรกิจขนาดกลาง (M) จำนวน 30 ราย คิดเป็น 3.95% ทุนจดทะเบียน 2,303 ล้านบาท และธุรกิจขนาดใหญ่ (L) จำนวน 6 ราย คิดเป็น 0.79% ทุนจดทะเบียน 1,860 ล้านบาท ในปี 2567 มีการจดทะเบียนจัดตั้งใหม่ 86 ราย เพิ่มขึ้น 31 ราย คิดเป็น 56.36% จากปี 2566 ทุนจดทะเบียน 91.35 ล้านบาท และ 7 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค.-ก.ค.) จดทะเบียนจัดตั้งใหม่ 13 ราย ทุนจดทะเบียน 15.56 ล้านบาท

อธิบดีอรมน กล่าวต่อว่า “ที่ตั้งของธุรกิจตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติจะกระจุกตัวในเขตกรุงเทพมหานครและ หัวเมืองใหญ่ อาทิ เชียงใหม่ ภูเก็ต และพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ ทำเลที่ติดตั้งตู้จำหน่ายฯ จะอยู่ในบริเวณที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้ง่าย เช่น ห้างสรรพสินค้า สำนักงาน คอนโดมิเนียม ปั๊มน้ำมัน สถานีรถไฟฟ้า และโรงพยาบาล เป็นต้น โดยเหตุผลที่ตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าผ่านตู้จำหน่ายฯ คือ สะดวกสบาย ประหยัดเวลา มีสินค้าที่พร้อมจำหน่ายได้ทันที ง่ายต่อการพบเห็นสินค้า และมีช่องทางการชำระเงินได้หลากหลายโดยลูกค้าเลือกช่องทางการจ่ายเงินผ่าน QR Code มากที่สุด และเงินสดรองลงมา ซึ่งแสดงถึงแนวโน้มการเข้าสู่สังคมไร้เงินสดของไทยอย่างต่อเนื่อง


ขณะที่การลงทุนจากต่างประเทศมีมูลค่ารวมกว่า 619 ล้านบาท คิดเป็น 10.38% ของการลงทุนทั้งหมดในธุรกิจนี้ โดยประเทศที่เข้ามาลงทุนมากที่สุดใน 3 อันดับคือ ฮ่องกง ลงทุน 455 ล้านบาท หมู่เกาะเคย์แมน ลงทุน 76 ล้านบาท และออสเตรีย ลงทุน 27 ล้านบาท ด้านผลประกอบการของธุรกิจตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่อง ในปี 2566 มีรายได้ 7,538 ล้านบาท สามารถสร้างกำไรได้สูงสุดในรอบ 3 ปี (2565-2567) อยู่ที่ 975 ล้านบาท ขณะที่ปี 2567 สร้างรายได้ 10,156 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.74% จากปี 2566 สร้างกำไร 10.15 ล้านบาท สะท้อนถึงศักยภาพและความต้องการที่ขยายตัวในตลาดอย่างชัดเจน

ปัจจัยที่ส่งเสริมให้ธุรกิจตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติเป็นโอกาสใหม่ของผู้ประกอบการทั้งรายเล็กและรายใหญ่ เพราะรูปแบบการลงทุนมีได้หลากหลายสามารถลงทุนได้ด้วยตนเอง ผ่านแฟรนไชส์ เช่าเครื่อง หรือร่วมลงทุนก็ได้ รวมถึงใช้เงินลงทุนไม่สูงมาก ไม่ต้องจ้างพนักงาน สร้างรายได้ 24 ชั่วโมง ตอบโจทย์ผู้บริโภค และเป็นช่องทางให้ธุรกิจเข้าใกล้ลูกค้าได้มากขึ้นประกอบกับสามารถกระจายสินค้าไปยังพื้นที่ใหม่ได้หลากหลาย นอกจากนี้สามารถนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ อย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระบบชำระเงินดิจิทัล และการวิเคราะห์ข้อมูลผู้บริโภค มาเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและสร้างความแตกต่างในตลาดได้ ทั้งนี้ กรมฯ ขอแนะนำผู้ประกอบการต้องปรับตัวให้ทันกับความต้องการของลูกค้า ให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้า การจัดโปรโมชันหรือระบบสมาชิกเพื่อกระตุ้นการซื้อซ้ำ ตรวจสอบความพร้อมของตู้และระบบชำระเงินให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ การเลือกทำเลที่เหมาะสม รวมถึงการสร้างนวัตกรรมบริการใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคไทย อาทิ อาหารสุขภาพ ผลไม้สด หรือสินค้าเฉพาะกลุ่ม เพื่อเสริมสร้างโอกาสทางธุรกิจอย่างยั่งยืนในอนาคต” อธิบดีอรมน กล่าวทิ้งท้าย


กำลังโหลดความคิดเห็น