xs
xsm
sm
md
lg

มาสเตอร์การ์ด เตือน เอสเอ็มอีไทย เร่งปรับตัวให้ทันสมัย รับ เศรษฐกิจชะลอตัว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว เอสเอ็มอีไทยต้องเร่งปรับตัวสู่ความทันสมัย  โดยอนูชกา แลดส์ (Anouska Ladds) รองประธานฝ่ายการชำระเงินเชิงพาณิชย์และระบบชำระเงินใหม่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มาสเตอร์การ์ด

ในยุคที่ต้นทุนพุ่งสูง ห่วงโซ่อุปทานไม่มั่นคง และอุปสงค์เริ่มชะลอตัว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ภาคธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกจะต้องกลับมาทบทวนกลยุทธ์กันอีกครั้ง ในอีกทางหนึ่ง ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวไม่ได้เป็นเพียงบททดสอบความอึด ถึก ทนของธุรกิจเท่านั้น แต่มันยังเผยให้เห็นถึง "ความเฉื่อยชา" ที่ยังหลงเหลืออยู่ในระบบเดิม ๆ ธุรกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ยังคงใช้ระบบเงินสดเป็นหลัก ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเติบโต ในประเทศไทย SMEs คิดเป็นสัดส่วนกว่า 99.5% ของธุรกิจทั้งหมด และมีการจ้างงานมากถึง 70% ของกำลังแรงงานในประเทศ แต่ธุรกิจเหล่านี้กลับยังคงเผชิญกับปัญหาการเงินหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการขาดความเข้าใจในเครื่องมือทางการเงิน การไม่สามารถติดตามสถานะทางการเงินได้อย่างชัดเจน รวมถึงความเสี่ยงจากการถูกโจรกรรมและการดำเนินงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ

เปลี่ยนมาใช้ “บัตร”
ในยุคที่อัตรากำไรลดลง การบริหารทุนหมุนเวียนอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถรับมือกับความท้าทายทางการเงินและการไขว่คว้าโอกาสใหม่ ๆ อย่างไรก็ตาม รายงานของธนาคารโลก ชี้ให้เห็นว่า การเข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโต นวัตกรรม และการขยายตลาดของธุรกิจ ยังคงเป็นอุปสรรคที่ SMEs ไทยต้องเผชิญ

แม้ว่าสถาบันการเงินหลายแห่งจะเริ่มนำเทคโนโลยีดิจิทัลและการวิเคราะห์ข้อมูลมาใช้ในการประเมินความเสี่ยงด้านเครดิตของ SME และออกแบบผลิตภัณฑ์การเงินที่ตอบโจทย์มากขึ้น แต่โซลูชันที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังไม่แพ้กัน คือการใช้บัตรในการชําระเงิน ที่มอบทั้งความยืดหยุ่น ความปลอดภัย และอิสรภาพในการควบคุมการทำธุรกรรมให้แก่เจ้าของธุรกิจ

ธุรกิจที่รับชำระด้วยบัตรมีประสิทธิภาพในการใช้เงินทุนหมุนเวียนสูงกว่าธุรกิจที่ไม่รับบัตรถึง 14 เปอร์เซ็นต์พอยต์ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในภาวะเศรษฐกิจผันผวน ที่ธุรกิจจำต้องอาศัยสภาพคล่องและการตอบสนองอย่างรวดเร็วเพื่ออยู่รอด นอกเหนือจากระบบรับชำระเงิน ณ จุดขาย การผสานบัตรเข้ากับแพลตฟอร์ม API การจัดการเงินแบบรวมศูนย์ยังช่วยให้เอสเอ็มอีสามารถทำบัญชีกระทบยอดได้อย่างอัตโนมัติ ลดข้อผิดพลาดจากการกรอกข้อมูลด้วยมือ และติดตามสถานะและกระแสเงินสดได้แบบเรียลไทม์ โดยมีงานวิจัยชี้ให้เห็นว่า เพียงแค่เปลี่ยนกระบวนการจัดการค่าใช้จ่ายจากระบบเดิมไปสู่ดิจิทัล ธุรกิจสามารถประหยัดเวลาได้มากถึง 30,000 ชั่วโมงต่อปี และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้มากกว่า 70% และเมื่อ SMEs สามารถควบคุมทางการเงินได้แม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น พวกเขาจะสามารถสร้างนวัตกรรมและเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน

เมื่อความพยายามเห็นผล
สำหรับธุรกิจ SMEs ที่กำลังรับมือกับความไม่แน่นอน สัญชาตญาณอาจบอกให้ชะลอการลงทุนในการสต็อกสินค้า เพราะถ้าไม่ทำอะไรเลยอาจต้องเจอความเสี่ยงที่มากกว่า จากทั่วโลกเราจะเห็นว่าสภาพแวดล้อมของแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนั้นได้เปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินงานและขยายธุรกิจ ในประเทศไทย ตลาดออนไลน์โซเชียลมีเดียช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถเข้าถึงลูกค้าระดับโลกได้ ในขณะที่แพลตฟอร์มอย่างแอปส่งอาหารช่วยให้ธุรกิจร้านอาหาร สามารถขยายสู้ตลาดออนไลน์และให้บริการที่ครอบคลุมพื้นที่ที่กว้างขึ้นได้

การชำระเงินแบบดิจิทัลกลายมาเป็นวิธีที่ทรงพลังในการเข้าถึงลูกค้าอย่างตรงจุด และสามารถตอบสนองต่อความคาดหวังของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ตัวอย่างการชำระเงินแบบดิจิทัล เช่น การใช้บัตรเสมือนจริง อย่างบัตร TrueMoney SME Card กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมากโดยเฉพาะการซื้อขายโฆษณาดิจิทัล เนื่องจากทำให้กระบวนการจัดการง่ายขึ้น รวมถึงทำให้ผู้ประกอบการออนไลน์สามารถจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพเห็นได้ชัดว่าการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านการชำระเงินให้ทันสมัยมีประโยชน์อย่างมากในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ อย่างไรก็ตาม การชำระเงินแบบดิจิทัลก็มีความท้าทายที่ตามมาเช่นกัน ทั้งความไม่แน่นอนต่าง ๆ พาร์ทเนอร์ทางการเงินที่มีให้เลือกมากมายหลายเจ้า และความซับซ้อนของกฎระเบียบที่ยังคลุมเครือ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไป เพราะการรับมือกับความท้าทายเหล่านี้นั้นเข้าใจง่ายและเป็นระบบมากกว่าที่หลายคนคิด และสามารถเริ่มต้นได้ง่าย ๆ เพียงทำตาม A B C Framework ต่อไปนี้

1.ตรวจสอบระบบเดิม (Audit): ตรวจสอบ touchpoints การชำระเงินและบัญชีกระทบยอดว่ามีจุดไหนที่ช้า หรือมีความเสี่ยง และหาจุดที่เปลี่ยนมาใช้ระบบอัตโนมัติเมื่อใช้แพลตฟอร์มการชำระเงินแบบรวมศูนย์ที่ใช้ API แบบเปิด สามารถเข้าถึงได้ทั่วโลก และมีเครื่องมือกระทบยอดที่ติดตั้งมาในตัว ธุรกิจจะสามารถรู้สถานะการเงินได้ชัดเจน และเป็นระบบมากขึ้น

2.หาพาร์ทเนอร์ที่ใช่ (Bridge): พาร์ทเนอร์ที่ดีจะไม่ได้แค่เสนอเทคโนโลยีให้ แต่จะช่วยเชื่อมต่อการกระบวนการต่าง ๆ ในธุรกิจของเราให้ราบรื่นและเติบโตได้อย่างยั่งยืน เป็นผู้ช่วยที่น่าเชื่อถือ ช่วยลดความเสี่ยงและเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อยจะนำไปสู่ ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ได้ หากร่วมงานกัน คุณจะสามารถแก้ไขปัญหาจริงและผลักดันการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายในทุกขั้นตลอดเส้นทางที่คุณเดิน

3.ใช้ระบบการจ่ายเงินที่ลื่นไหล ไม่สะดุด (Checkout) : ในยุคที่ทุกอย่างเป็นดิจิทัลเป็น การจ่ายเงินเป็นจุดสุดท้ายและเป็นจุดที่สำคัญที่สุดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของลูกค้า หากทำให้กระบวนการชำระเงินราบรื่น ไม่สะดุด จะช่วยเพิ่มอัตราการซื้อและสร้าง Brand loyalty ให้กับธุรกิจของเราได้ เมื่อทุกการแตะ สแกน หรือคลิกเป็นไปอย่างง่ายดาย ลูกค้าก็จะกลับมาใช้บริการอีก

การจ่ายเงินโดยใช้บัตร อาจจะไม่ใช่ยาวิเศษที่แก้ปัญหาได้ทั้งหมด แต่เป็นแนวทางที่ง่ายและชาญฉลาดสำหรับ SMEs ไทย ในการปลดล็อกโอกาสใหม่ ๆ ในการจัดการกระแสเงินสด ทำให้การดำเนินงานคล่องตัว และนำหน้าคู่แข่งอยู่เสมอในยุคที่ทุกคนต้องปรับตัวให้ทันสมัย คนที่เริ่มต้นก่อนมักเป็นผู้ชนะในสนามการแข่งขันเสมอ


กำลังโหลดความคิดเห็น