จากสาวอีสานเมืองร้อยเอ็ดมีโอกาสไปเจอไอศกรีมเจลาโต้ที่ยุโรปเกิดปิ๊งไอเดียกลับมาทำที่บ้านเกิดขาย ศึกษาและเรียนรู้จนสามารถกลับบ้านมาสร้างแบรนด์ไอศกรีมเจลาโต้ “นามัวร์เจลาโต้” ไอศกรีมสไตล์ยุโรปแต่หัวใจอีสานเพราะชูรสชาติสุดซิกเนเจอร์คือ “ปลาร้าคาราเมลอัลมอนด์และไข่ผำมัทฉะ” บุกตลาดและลุยแฟรนไชส์ขยายได้ 10 สาขาใน 1 เดือน
นางสาวสุวัฒนา ข่าขันมะลี เจ้าของแบรนด์ Namurgelato (นามัวร์เจลาโต้) เล่าว่า ธุรกิจก่อเกิดขึ้นเมื่อเธอได้มีโอกาสเดินทางไปที่ยุโรปและได้เจอไอศกรีมเจลาโต้แล้วถูกใจอย่างมาก เพราะว่าเธอเองมีพื้นเพจากจังหวัดร้อยเอ็ดในภาคอีสานของประเทศไทย จึงรู้สึกว่าไอศกรีมแบบเจลาโต้นั้นยังไม่ค่อยมีในไทยมากนัก และเธอเองก็เพิ่งจะรู้จักหลังจากเดินทางมาที่ยุโรป ซึ่งไอศกรีมเจลาโต้ที่เป็นรสชาติของผลไม้ที่เห็นในยุโรปนั้นส่วนใหญ่จะเป็นผลไม้แช่แข็ง ทำให้เธอนึกขึ้นได้ว่าประเทศไทยบ้านเราโชคดีที่มีวัตถุดิบทุกอย่างที่สามารถนำมาผลิตเป็นไอศกรีมเจลาโต้รสผลไม้ต่างๆ ได้ ทำให้เธอตัดสินใจขอสมัครเรียนการทำไอศกรีม ซึ่งร้านที่ทำการสมัครนั้นเป็นร้านที่ขายให้กับทั่วประเทศและเป็นร้าน 1 ใน 2 ของประเทศเบลเยี่ยม
ทางร้านจึงแนะนำมาสเตอร์เจลาโต้ที่เกษียณงานไปแล้วแต่มาช่วยควบคุมการผลิตให้กับทางร้านแก่เธอ ทำให้เธอกลับมาวางแผนและไปเรียนแบบตัวต่อตัวจนได้วิชาความรู้และสามารถเปิดเป็นแบรนด์ของตัวเองได้ เธอตั้งชื่อแบรนด์ว่า “นามัวร์เจลาโต้” ซึ่งมีที่มาจากชื่อเมืองที่เธอไปเรียนทำไอศกรีมนั่นเอง นอกจากนี้การตัดสินใจทำธุรกิจไอศกรีมเจลาโต้นั้นเกิดจากความโชคดีของตนที่ได้ไปรู้จักที่ต่างประเทศและต้องการนำมาแบ่งปันให้จังหวัดบ้านเกิดได้ลิ้มลอง
นามัวร์เจลาโต้ดำเนินธุรกิจมาได้ประมาณ 2 ปี โดยมีหน้าร้านแห่งแรกที่จังหวัดร้อยเอ็ดและเป็นไอศกรีมเจลาโต้ที่ผลิตจากวัตถุดิบจากประเทศไทยเป็นหลัก เช่น นมจากข้าวทุ่งกุลาร้องไห้ ผลไม้ต่างๆ ไข่ผำและปลาร้า ซึ่งไอศกรีมเจลาโต้รสชาติปลาร้าคาราเมลอัลมอนด์เป็นรสชาติซิกเนเจอร์และเป็นพระเอกของทางร้าน ส่วนรสชาตินางเอกของร้านคือไอศกรีมเจลาโต้ไข่ผำมัทฉะ ซึ่งทั้งสองรสชาตินี้มีความแตกต่างจากรสชาติอื่นทั่วไปเพราะนำเอาวัตถุดิบจากอาหารพื้นบ้านอย่างปลาร้าของภาคอีสาน และไข่ผำที่เป็นอาหารซูเปอร์ฟู้ดส์มารังสรรค์เป็นเมนูไอศกรีมเจลาโต้ที่ไม่เหมือนใครนั่นเอง
ทั้งนี้ทางแบรนด์พัฒนารสชาติไอศกรีมเจลาโต้อย่างต่อเนื่องและสามารถขยายธุรกิจไปในรูปแบบแฟรนไชส์มีชื่อว่า นามัวร์นัวลึก และเปิดมาได้ประมาณ 1 เดือน สามารถขายแฟรนไชส์ไปทั้งหมด 10 สาขา เช่น ตลาดเซฟวันโกประตูกรุงเทพ ตลาดแดนเนรมิต ชลบุรี บางนา ขอนแก่น และที่อื่นๆ ตามมา
นอกจากนี้ตั้งใจกลับมาทำธุรกิจที่บ้านเพราะต้องการใช้วัตถุดิบจากประเทศไทยจากบ้านเกิดตัวเอง เช่น ข้าวหอมมะลิเปลี่ยนเป็นนมและเปลี่ยนนมเป็นเจลาโต้ ซึ่งไม่ง่ายสำหรับการทำไอศกรีมให้เนื้อสัมผัสที่ละมุน ซึ่งทางร้านไม่ได้ทำเพียงรสชาติอาหารอีสาน รสชาติทั่วไปที่เห็นตามท้องตลาดทางร้านก็ทำเพื่อรองรับลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น เพียงแค่ชู 2 รสชาติอาหารอีสานพื้นบ้านให้สามารถเพิ่มมูลค่าและเผยแพร่วัฒนธรรมอาหารอีสานผ่านการทำไอศกรีมเจลาโต้นั่นเอง ทั้งนี้ไอศกรีมเจลาโต้ของทางแบรนด์มีทั้งหมดประมาณ 50 รสชาติ แต่รสชาติหลักจะมีประมาณ 16 รสชาติ ที่เหลือจะมีการสลับกันตามความเหมาะสม
สำหรับร้านที่จังหวัดร้อยเอ็ดจะเป็นร้านคาเฟ่เจลาโต้สไตล์ยุโรป ครอบคลุมทั้งอาหาร เครื่องดื่ม สนามเด็กเล่น พื้นที่สำหรับจัดเลี้ยง และที่สำคัญคือไอศกรีมเจลาโต้ทุกรสชาติ เรียกได้ว่าเป็นธุรกิจที่ไม่เพียงแค่ขายไอศกรีมอย่างเดียวแต่พ่วงด้วยบริการอื่นๆ เพื่อให้ลูกค้าประทับใจเมื่อมาใช้บริการที่ร้าน ซึ่งส่วนใหญ่กลุ่มลูกค้าหน้าร้านจะเป็นลูกค้ากลุ่มครอบครัวเป็นหลัก ส่วนลูกค้าแฟรนไชส์จะเน้นเป็นกลุ่มวัยรุ่นและชาวต่างชาติ
ไอศกรีมเจลาโต้รสชาติแปลกในประเทศไทยมีผุดขึ้นให้เห็นกันมากขึ้น ซึ่งเดิมทีก็มีธุรกิจไอศกรีมเจลาโต้ให้เห็นกันบ้างในประเทศไทย ทางแบรนด์บอกว่าความแตกต่างคือรสชาติและสามารถกลับมาซื้อซ้ำได้ นอกจากนี้รสชาติต่างๆ เจ้าของแบรนด์บอกว่าเป็นคนคิดค้นสูตรขึ้นมาเองทั้งหมด ถ้าหากจะเพิ่มรสชาติใหม่จะมีการนำเข้าห้องแล็ปเพื่อพัฒนาและทดลองสูตร ปัจจุบันทางแบรนด์ผลิตไอศกรีมเองโดยไม่ผ่าน OEM โดยมีเครื่องปั่นไอศกรีมที่ลงทุนไปกว่า 1,400,000 บาท และสามารถผลิตได้ในปริมาณน้อยไปจนถึงปริมาณระดับโรงงาน ซึ่งหลังจากเปิดขายได้ประมาณ 1 ปี ก็สามารถคืนทุนให้กับเครื่องปั่นไอศกรีมได้แล้วนั่นเอง
สำหรับผลตอบรับจากการขยายแฟรนไชส์เมื่อนำสินค้าไปออกบูธในจังหวัดต่างๆ ทางแบรนด์ก็ได้รับฟีดแบกและการตอบรับกลับมาว่าอยากให้มีไปเปิดในจังหวัดนั้นๆ ทำให้ทางแบรนด์มองว่าการขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์เป็นการต่อยอดธุรกิจที่สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วทั้งตัวแบรนด์เองและลูกค้าแฟรนไชส์ที่ซื้อไป เพราะมีลูกค้าแฟรนไชส์รายหนึ่งซื้อแฟรนไชส์ไปแล้วสามารถคืนทุนได้ภายใน 3 สัปดาห์
ทั้งนี้รูปแบบแฟรนไชส์จะเป็นรูปแบบตู้คีออส ไม่ต้องผลิตไอศกรีมเอง มีส่วนกลางผลิตและส่งให้มีทั้งหมด 1 ขนาดในราคา 180,900 บาท ซึ่งทางแบรนด์จะดูแลเรื่องการคัดเลือกทำเลที่ตั้งของสาขา ดูแลเรื่องบัญชีให้ และเรื่องการตลาดที่ทางแบรนด์มีระบบ CRM ที่สามารถตรวจสอบได้ว่าลูกค้าเป็นสมาชิกได้มากน้อยเพียงใด ทำให้ครอบคลุมอย่างครบวงจรและเป็นเครื่องการันตีให้ลูกค้าในการตัดสินใจซื้อแฟรนไชส์กับทางแบรนด์ โดยในอนาคตทางแบรนด์มีการวางแผนต่อยอดธุรกิจให้ไปในทิศทางของการขยายแฟรนไชส์ทั้งในประเทศมากขึ้นและไปยังต่างประเทศ
สำหรับแฟรนไชส์ใน 1 สาขาจะสามารถขายไอศกรีมได้ประมาณวันละ 200 ถ้วยโดยเฉลี่ย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นร้านคีออสนอกห้างสรรพสินค้าเพื่อลดค่าใช้จ่ายที่สูง จะเน้นตามตลาดหรือสถานที่ที่ลูกค้าเข้าถึงได้ง่าย เช่น ตลาดนัด ใกล้มหาวิทยาลัย ใกล้โรงเรียน สถานที่ท่องเที่ยวเป็นต้น ซึ่งจะขายในราคาถ้วยละ 65-85 บาท ทุกสาขา
“คติประจำใจในการทำธุรกิจของเจ้าของแบรนด์คือ การทำให้สนุก ถามว่าเครียดไหมถ้างานมันหนักไม่มีใครไม่เครียด แต่ว่าเรารู้สึกท้าทาย ทำให้ยังไงให้คนรู้จัก ตื่นมาแค่อยากมีแรงมาทำงาน เรามีความสามารถทางด้านซอกแซกไปเรื่อยๆ แล้วได้โอกาสใหม่ๆ แล้วก็เราได้วัตถุดิบดีๆ ราคาโอเค คุณภาพดี แล้วก็ไปศึกษาด้านต่างๆ เช่น ด้านกฎหมาย ศึกษาการเติบโตของธุรกิจ คติจริงๆ ก็คือทำให้มันสนุกเพราะเครียดไปก็ไม่มีประโยชน์ เลือกที่จะทำแล้วก็ทำให้ทุกวันเป็นเรื่องท้าทายแล้วก็จะเกิดการพัฒนาด้วยเพราะเราไม่ใช่คนฉลาดตั้งแต่แรก เราก็ต้องพัฒนา” เจ้าของแบรนด์ ระบุ
นอกจากนี้เจ้าของแบรนด์ยังเปิดเผยถึงเป้าหมายในการเติบโตของธุรกิจไว้ว่า ตั้งเป้าการเติบโตในปีนี้ด้วยการเปิดแฟรนไชส์ 10 สาขา แต่สามารถขยายได้ 10 สาขาตั้งแต่เดือนแรกที่เปิด ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำให้ต้องตั้งเป้าหมายการเติบโตใหม่ขึ้นมาคือการนำเอาแบรนด์ไปลุยตลาดต่างประเทศ โดยมองตลาดเอเชียเป็นที่แรกเพื่อให้ได้กลุ่มลูกค้าที่หลากหลายเพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตามธุรกิจไอศกรีมเจลาโต้ของทางแบรนด์นั้นสามารถสร้างยอดขายได้ประมาณ 5 ล้านบาทและยอดขายจากการขายแฟรนไชส์ประมาณ 1,800,000 บาท ซึ่งทางแบรนด์มองว่าจะสามารถเติบโตและสามารถสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นในทุกๆ ปีได้อย่างแน่นอน
ติดต่อเพิ่มเติม
Facebook : Namur premium gelato
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด* * *