ตามที่รัฐบาล มีนโยบายปรับค่าแรงงานขั้นต่ำ เป็น 400 บาท ต่อวันทั่วประเทศ เริ่มวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ ส่งผลให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ทั่วประเทศ จะต้องแบกภาระต้นทุนค่าแรงที่เพิ่มขึ้น วันนี้ ได้มีโอกาส สัมภาษณ์ ผู้ประกอบการจำหน่ายสินค้าอุปโภค บริโภค จังหวัดยะลา ได้ผลกระทบอะไรบ้างและ มีแผนรับมือตรงนี้อย่างไร
นายมุอาซ กุลคีรีรัตนา เจ้าของบริษัท ตอยยีบัน จำกัด ผู้แทนจำหน่ายสินค้าอุปโภค และบริโภคให้กับ บริษัทเบอลี่ยุคเกอร์ ประเทศไทยจำกัด ในจังหวัดยะลา และจังหวัดใกล้เคียง เล่าว่า ที่ผ่านมา บริษัทฯ ดำเนินกิจการเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของบริษัท เบอลี่ยุคเกอร์ ในพื้นที่จังหวัดยะลา และพื้นที่จังหวัดใกล้เคียงมา กว่า 10 ปี โดยลูกค้าจะเป็นร้านค้าทั่วไป ซึ่งจะมีรถวิ่งส่งสินค้าและ มีเซลล์เข้าไปติดต่อลงสินค้า
สำหรับการขายสินค้าอุปโภค บริโภคในพื้นที่ ค่อนข้างจะไปได้ดี ตามสภาพเศรษฐกิจ แต่ในช่วง 1-2 ปีนี้ เศรษฐกิจไม่ค่อยดีนัก ยอดขายของเราก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกับสินค้าอื่นๆ ประกอบกับการแข่งขัน ของโมเดิร์นเทรด และ ร้านสะดวกซื้อ มาเปิดในพื้นที่เยอะขึ้น ร้านค้าที่เป็นลูกค้าของเราก็ได้รับผลกระทบในช่วงแรก ๆ แต่พอมาถึงยุคนี้ ร้านค้ามีการปรับตัว มีวิธีการในการที่จะรักษาฐานลูกค้าของตัวเอง ต้องยอมรับว่า ร้านค้าในพื้นที่มีการปรับตัวที่ดีมากในช่วงหลัง ทำให้การสั่งซื้อสินค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ในภาพรวม แต่ช่วงนี้ สภาพเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลง ยอดขายก็เลยอาจจะไม่ได้มากเท่าที่ควร
อย่างไรก็ดี จากการมีนโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทในช่วงนี้ เหมือนกับมาซ้ำเติมให้ต้องเหนื่อยมากขึ้น เพราะการปรับขึ้นค่าแรง ไม่ได้ปรับแค่แรงงานที่เคยได้ค่าแรงขั้นต่ำรายวัน เท่านั้น แต่ต้องปรับทั้งบริษัท เพราะปกติการจ่ายเงินเดือนพนักงานขายของเรา ซึ่งพนักงานกลุ่มใหญ่ของบริษัทเป็นฝ่ายขายหรือเป็นเซลล์วิ่งหาลูกค้า เงินเดือนไม่ได้สูง แต่ทุกคนจะได้เงินเพิ่มจากค่าคอมมิชชั่น ถ้าขยันมาก รายได้เยอะ แต่พอปรับค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท ทำให้ต้องขยับเงินเดือนพนักงานเซลล์ เพิ่มขึ้นไปด้วย และค่าคอมมิชชั่น ที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้น ด้วย เพราะคิดจากฐานเงินเดือน
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาการจ่ายค่าแรงของบริษัทเราจะจ่าย ค่าแรงที่สูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำมาตลอด เช่น จากเดิมค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท จ่ายเป็น 350 บาท เป็นต้น แต่พอค่าแรงขั้นต่ำที่รัฐบาลประกาศอยู่ที่ 400 บาท เราก็ต้องจ่ายเป็น 450 บาท ส่วนคนที่ได้ 450 บาท ปรับเป็น 550 บาท และ 750 บาท ต่อวัน ไล่กันไป เพราะฉะนั้นการปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาท ไม่ได้ปรับให้แค่คนที่ได้ค่าแรงขั้นต่ำ หรือ ค่าแรงรายวัน แต่เราจะต้องปรับใหม่ทั้งบริษัท
ทั้งนี้ ทุกครั้งที่มีการปรับ ค่าแรง จะเห็นว่า เศรษฐกิจทุกอย่างชะงักไปชั่วขณะ เพราะสินค้าเองก็ค่อยทะยอยปรับราคาขึ้น ผู้บริโภคก็จะหยุดการซื้อไปชั่วขณะ หรือ ประหยัดการใช้จ่ายมากขึ้น ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจในช่วงนี้ ที่หลายคนรัดเข็มขัดซึ่งก็กระทบต่อยอดขายของเราที่ลดลงอยู่แล้ว และมาเจอต้นทุนค่าแรงที่เพิ่มขึ้น กลายเป็นผลกระทบที่หนักขึ้นเป็น 2 เท่า
แต่ถ้าปรับค่าแรง และ การใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ตรงนี้ ไม่กังวลเลย เพราะสินค้าที่เราจำหน่ายเป็นสินค้าจำเป็นอย่างไรก็ต้องกินต้องใช้ แต่ทุกครั้งที่มีการปรับค่าแรงกำลังซื้อไม่ได้เพิ่มขึ้น ทันที และรัฐบาลเลือกมาขึ้นในช่วงนี้ ช่วงที่กำลังซื้อแย่อยู่แล้ว การแข่งขันสูง และผู้ประกอบการเองก็คงไม่กล้าที่จะปรับราคาสินค้าขึ้นในช่วงนี้ ภาระ ก็เลยต้องตกอยู่ที่ผู้ประกอบการแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ ต้องแบกต้นทุนค่าแรงเพิ่มขึ้น
ส่วนการรับมือ ในช่วงนี้ ทำอะไรไม่ได้เยอะ ต้องมาดูว่า เพิ่มช่องทางการขายใหม่ อย่างไรได้บ้าง ช่วยกระตุ้นยอดขาย ถ้ายอดขายไม่ลด ก็คงไม่จำเป็นที่จะต้องลดพนักงาน หาวิธีลดค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆ แต่ถ้าขายสินค้าไม่ได้ ตรงนี้ ทำให้เราต้องลดพนักงานได้ในอนาคต
