สังคมไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ หลายคนเตรียมตัวเป็นผู้สูงอายุ ในแบบที่แตกต่างกันออกไป บางคนวางแผนมาดีก็มีเก็บไว้ใช้ในยามที่ไม่สามารถออกไปทำงานหนักได้ แต่บางคนไม่พร้อมจึงต้องดิ้นรน เพื่อหารายได้ แต่ด้วยข้อจำกัดด้านร่างกาย ทำงานได้แค่เล็กๆ น้อยๆ ตามสภาพร่างกายทำไหว และมีความสุขกับการได้ทำ เฉกเช่น ลุงกับป้า สองสามีภรรยา ในวัยกว่า 70 ปี แต่มีความสุขกับการเลี้ยงชันโรง ทั้งสองบอกว่า ไม่ต้องใช้แรงเยอะ คนแก่อย่างลุงกับป้าวัยเกษียณทำไหว และยังช่วยแก้อาการโรคซึมเศร้า เพราะได้อยู่กับการดูแล แมลงน่ารำคาญตัวเล็กๆ เหล่านี้
สร้างความสุขกับการทำงานในวัยเกษียณ
“ครูประไพ คชรินทร์” หรือที่หลายคนเรียกว่า “ป้าไฟ” ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ชันโรงบ้านมีชันดี จังหวัดระยอง กับสามี “ลุงป่อง คชรินทร์” ทั้งสองแม้ว่าจะอายุกว่า 70 ปี แต่ก็ยังแข็งแรง และยังมีความสุขกับทำงานสร้างอาชีพ ในวัยเกษียณ กับการเลี้ยงชันโรง
ครูประไพ บอกว่า การเลี้ยงชันโรง ไม่ต้องใช้แรงเยอะ ช่วยให้ลุงกับป้า ได้ออกกำลังกาย และการเลี้ยงสัตว์เป็นความสุขทางใจด้วย และผลผลิตที่ได้จากน้ำหวานหรือน้ำผึ้งชันโรง มาช่วยดูแลสุขภาพของลุงกับป้า ให้แข็งแรงไม่เจ็บป่วยด้วย และที่สำคัญสร้างรายได้ให้กับเราทั้งสองคน โดยไม่ต้องไปพึ่งพาลูกหลาน
นอกจากนี้ การเลี้ยงชันโรงของครูประไพ ช่วยให้พืชผลการเกษตรที่สวนเจริญเติบโตได้ดี โดยไม่ต้องไปพึ่งการบำรุงโดยการใส่ปุ๋ย หรือ ใช้สารเคมี เพราะชันโรงจะช่วยผสมเกสร และชันโรงยังเป็นแมลงที่ช่วยรักษาระบบนิเวศน์ตามธรรมชาติ จะเห็นว่า พื้นที่ไหนมีชันโรงอยู่ จะเป็นพื้นที่มีระบบนิเวศน์ตามธรรมชาติที่สมบูรณ์
สวนไหนเลี้ยงชันโรง ผลผลิตจากสวนนั้นเป็นอินทรีย์
สำหรับที่สวนของครูประไพ อยู่ที่จังหวัดระยอง ที่สวนของป้าจะปลูกผลไม้ เช่น ทุเรียน มังคุด มะม่วง ฯลฯ ป้าประไพ บอกว่า หลังจากลุงกับป้ามาเลี้ยงชันโรง จะพบว่า ผลผลิตที่สวนของเราให้ผลผลิตที่ดีขึ้น และรสชาติดีขึ้นด้วย โดยที่เราทั้งสองคนก็ไม่ได้สรรหาอะไรมาบำรุงมากนัก และที่สำคัญ เนื่องจากเราเลี้ยงชันโรง ไม่สามารถฉีดพ่นสารเคมี ที่สวนผลไม้ของเราได้ คนที่มาซื้อผลไม้จากสวนของเราจึงมั่นใจได้ว่า สวนผลไม้ของเราเป็นสวนอินทรีย์อย่างแท้จริง
ครูประไพ บอกว่า การมาเลี้ยงชันโรง และการดูแลสวนผลไม้ไปด้วย ช่วยให้ลุงกับป้า ไม่เป็นโรคซึมเศร้า คนสูงอายุอย่างเราจะไปทำงานหนักอะไรมันก็ไม่ได้ แต่ต้องทำงานให้มีความสุข และมีรายได้เลี้ยงตนเองไม่ต้องไปพึ่งพาใครในวัยเกษียณได้
เลี้ยงชันโรงไม่ง่าย แต่ไม่ยาก ถ้าเข้าใจธรรมชาติของมัน
สำหรับการเลี้ยงชันโรงของป้า เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2563 ตอนนี้ เลี้ยงมาเข้าปีที่ 4 ปีที่ 5 แล้ว ตอนเลี้ยงครั้งแรก ต้องบอกว่า ยากสำหรับลุงกับป้าอยู่พอสมควร เพราะไม่รู้ว่าแมลงตัวเล็กน่ารำคาญเหล่านี้ชอบระบบนิเวศน์แบบไหน เพราะยังไม่เข้าใจธรรมชาติของชันโรง แต่ลุงกับป้า ก็ไม่ถอดใจค่อยๆ ศึกษา และลองผิดลองถูกกันไปเรื่อย สุดท้ายก็รู้ว่าพฤติกรรมของเค้าชอบอะไร และสามารถเลี้ยงและขยายพันธุ์ได้มาจนถึงปัจจุบัน
รายได้จากการเลี้ยงชันโรง
ตอนนี้ ที่สวนของครูประไพมีชันโรงที่เลี้ยงไว้ จำนวน 200 กล่อง ซึ่ง 100 กล่องแบ่งไปไว้ที่สวน เอาไว้เก็บน้ำผึ้งนำแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ และขายเป็นน้ำผึ้งสด โดยหนึ่งกล่องสามารถเก็บน้ำผึ้งได้ปีละ 2-3 ครั้ง แต่ละกล่องให้จำนวนน้ำผึ้งไม่เท่ากัน แล้วแต่ความสมบูรณ์ ส่วนรายได้จากน้ำผึ้ง 1 กล่องได้ครั้งละ 500 บาท
ในส่วนอีก 100 กล่อง ครูประไพ บอกว่า นำมาขายเป็นพ่อแม่พันธุ์ให้กับคนที่สนใจต้องการจะเลี้ยงชันโรง ซึ่งป้าก็จะขายไปด้วยผสมพันธุ์ขึ้นมาใหม่ด้วย ตอนแรกที่ซื้อมา 1 กล่อง สามารถขยายพันธุ์เพิ่มเป็น 2 กล่อง 3 กล่อง และค่อยขยายเพิ่มเป็น 100 และ 200 กล่องแบบป้าได้ เพียงแค่ลงทุน ครั้งแรกแค่ 1 กล่อง เงินประมาณ 1,000 -1,500 บาท แต่ทุกอย่างต้องใช้เวลาและการดูแลเอาใจใส่ ไม่ต้องแรงเยอะ เหมาะกับลุงกับป้าในวัยเกษียณที่เราไม่ได้เร่งรีบเพื่อจะหารายได้ ให้มากเหมือนคนในวัยหนุ่มสาว
ในช่วง 1-2 ปี แรกมันอาจจะยังไม่มีรายได้ เพราะเลี้ยงน้อย แต่พอผ่านมาเข้าปีที่ 3 เริ่มมีรายได้แบบเป็นกอบเป็นกำแบบป้า อย่างน้ำผึ้ง ป้าจะมีรายได้จากเก็บน้ำผึ้ง100 กล่อง ถ้าเก็บได้ 2 ครั้ง ๆละ 50,000 บาท ปีหนึ่งมีรายได้ประมาณ 100,000 บาท แต่ถ้าชาวบ้านผู้สูงอายุในหมู่บ้านที่ยังเลี้ยงไม่เป็นเพิ่งเริ่มเลี้ยงปีหนึ่ง เก็บน้ำผึ้งได้แค่ครั้งเดียวมีรายได้กล่องละ 500 บาท และถ้าต้องการจะมีรายได้เพิ่ม ก็สามารถขยายกล่อง ส่วนของกล่องที่ขยายออกไปก็จะสามารถขายได้กล่องละ 800-1,000 บาท ส่วนแม่พันธุ์ จะขายอยู่ที่กล่องละ 1 ตัวๆละ 1,500 บาท
รับสนับสนุน SCGC และ โครงการ EEC Connext
และเนื่องจากลุงกับป้า ตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชน จะเน้นการอบรมให้ความรู้ และยังได้รับการสนับสนุนจากทาง SCGC เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ส่งเสริมการลงทุน EEC นอกจากนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากสำหนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ,) ในโครงการ EEC Connext ซึ่งเป็นโครงการที่สร้างโอกาสและพัฒนาเครือข่ายเชื่อมโยงธุรกิจและจับคู่นักลงทุนกับวิสาหกิจชุมชน และ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ในพื้นที่ EEC
ทั้งนี้ ทำให้มีคนเข้ามาเรียนรู้ การเลี้ยงชันโรงอยู่อย่างต่อเนื่อง เป็นเหตุผลที่ทำให้ลุงกับป้าขายกล่องพันธุ์ชันโรงออกไปได้ค่อนข้างเยอะ และด้วยการสนับสนุนของ ทั้ง SCGC และโครงการ EEC Connext มาช่วยหาตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ทำออกมา ไม่ว่าจะเป็นน้ำผึ้ง เวชสำอางต่างๆ ที่ทำจากน้ำผึ้งชันโรง เพราะพอหลายคนได้รู้ถึงคุณประโยชน์ของชันโรง
ชันโรงกินเกสรพืชหลายชนิด
กินน้ำผึ้งชันโรงรับสารอาหารเกสรพืชหลายชนิด
ป้าประไพ บอกว่า ที่ผ่านมาแปรรูป ผลิตภัณฑ์จากชันโรงออกมาจำหน่ายหลากหลายชนิด เช่น ยาหม่อง ดีมากสำหรับคนที่โดนน้ำร้อน หรือ โดนน้ำมันเวลาทำอาหาร แค่ทายาหม่องจากชันโรงของป้าก็จะหาย ไม่เป็นแพ้เป็น ส่วนอื่นๆเช่น ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว สบู่ และน้ำมันหอมระเหย รวมถึงน้ำผึ้งที่ได้จากชันโรง
ในส่วนของคุณประโยชน์ที่ได้จากน้ำผึ้งชันโรงนั้น ถ้าหลายคนได้ทราบว่ากว่าชันโรงจะผลิตน้ำหวานหรือ น้ำผึ้งออกมาให้เราได้กินเพื่อสุขภาพนั้น แมลงตัวเล็กๆ นี้ได้กินน้ำหวานจากเกสรของพืชมาหลายชนิดมาก และยังนำมาบ่มในรัง จนเกิดเป็นน้ำผึ้งให้เราได้กินกัน ซึ่งเกสรของพืชแต่ละชนิดมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ถ้าเราได้กินน้ำผึ้งชันโรงเข้าไปทำให้เราได้รับสารอาหารที่ดีต่อร่างกายของเรา
อาชีพเหมาะกับผู้สูงอายุ ไม่อันตรายเหมือนผึ้ง
ครูประไพ บอกว่า สำหรับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ปัจจุบันมีสมาชิกส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุ ประมาณ 45 คน สมาชิกที่เลี้ยงขันโรงประมาณ 30 ครัวเรือน ที่เหลือก็มาทำงานที่กลุ่มของเราก็มีรายได้เช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ คนที่เลี้ยงชันโรงตอนนี้ยังไม่มาก ส่วนใหญ่ก็จะถอดใจไปก่อน เพราะอย่างที่ป้าเรา ตอนแรกไม่ง่าย ครั้งแรกป้าเกือบจะถอดใจเลิกเลี้ยงไปแล้ว แต่ถ้าเราเอาใจใส่ดูแล และคอยสังเกตพฤติกรรมของเค้าเราก็จะเลี้ยงได้ การเลี้ยงชันโรง ข้อดี เราไม่ต้องไปป้อนอาหารเค้า แต่เค้าจะออกหาอาหารกินเอง เราเพียงคอยดูแลให้เค้ามีอาหารการกิน ดังนั้น รอบๆ ที่เราเลี้ยงจะต้องมีต้นไม้ให้เค้าได้ออกไปหาอาหารมากิน และชันโรงไม่ต่อยเหมือนผึ้ง แต่ใช้การกัดแทนซึ่งปลอดภัยกว่า การเลี้ยงผึ้ง สำหรับผู้สูงอายุ สามารถเลี้ยงได้
ตลาดมาเลเซียต้องการมาก ใช้กับผู้ป่วยในโรงพยาบาล
ในส่วนของตลาด ที่ผ่านมา ตลาดต่างประเทศอย่างมาเลเซีย ก็จะต้องการเยอะมาก นำไปใช้ในโรงพยาบาล ให้ผู้ป่วยของเค้าได้กิน เพราะช่วยฟื้นฟูร่างกาย ของผู้ป่วยให้หายเร็วขึ้น ส่วนตลาดในประเทศ ความต้องการมีสูง แต่กำลังการผลิตก็ยังมีอยู่น้อย อย่างกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ของครูประไพก็รับซื้อน้ำหวานหรือน้ำผึ้งชันโรง ถ้าเลี้ยงไม่รู้จะไปขายที่ไหน ก็สามารถมาส่งขายที่กลุ่มของ วิสาหกิจชุมชน บ้านมีชันดี ของครูประไพได้
ติดต่อ Facebook : บ้านมีชันดี
คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด