xs
xsm
sm
md
lg

J-Raja ชวนคนมาตื่นรู้ “แก้หนี้” ผลดีที่มีมากกว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมและขององค์กรก็จัดการได้ด้วยการแก้หนี้!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“คนเราจะแก้ปัญหาได้ มันคือการเห็น มันเห็นข้อมูลทั้งหมดบางทีเรารู้ได้ด้วยตัวเองว่า เราจะจัดการกับปัญหานี้ยังไง แต่ที่เราไม่รู้เพราะเราจมอยู่กับเรื่องเดียวแล้วเราก็จะวนอยู่ เราก็แก้ปัญหาไม่ได้


จะคุยกับน้องในทีมว่าจริง ๆ เราใช้หลักการ “พุทธ” มันคือแค่พาให้ บางครั้งแค่ให้คนรู้ตัว เวลาเรามีสติ รู้ตัว เราจะรู้ว่าเรื่องที่เป็นอยู่ สถานการณ์ที่เป็นอยู่ ปัญหาที่มีอยู่ มันควรจะเลือกทางไหน ในมุมที่เราทำได้ แล้วก็เหมาะสม มันคือพาคนมา มารู้สึกตัว มันคือสติ เหมือนกลับมาดูบางอย่าง กลับมาดู หาเหตุเหมือน “อริยสัจ 4” เรามาหาเหตุของมันซิว่าบางที ปัญหาหนี้มันเกิดจากอะไร” อนุตม์ กรกำแหง หรือทนายแชมป์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท “เจ-ราจา” ธุรกิจเพื่อสังคม จำกัด บอกเล่าให้ฟังถึงวิธีการทำงานของทีม J-Raja ในการทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับ “ลูกหนี้” เพื่อช่วยหาทางแก้ปัญหาเรื่องหนี้ที่กำลังเกิดขึ้น“เวลาคนเป็นปัญหาหนี้บางทีมัน เราไม่สามารถเอาก๊อปปี้เพลทเรื่องคนนี้ ไปบอกคนนี้ได้ ไม่เหมือนกัน พาร์ทของงานที่ปรึกษาที่จะแก้ปัญหาเรื่องหนี้ผมก็อาศัยความเป็นที่ปรึกษากฎหมาย หมายถึงว่าพื้นฐานที่เราคิดแบบนักกฎหมายเข้ามาช่วย”ตอบคำถาม อธิบายกระบวนการทางกฎหมายได้ เพราะว่าถ้าเกิดลูกหนี้เองบางทีมันเหมือนพอมันรู้ Process เข้าใจเลย มันเหมือนออกซิเจน เขาจะรู้ว่าเขามีเวลาจะจัดการปัญหานี้ได้มากน้อยแค่ไหน แต่คนที่ไม่รู้เลย เขาก็จะกังวลไปตลอด ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา J-Raja ได้เปิดดำเนินงานในเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง ทนายแชมป์เล่าว่า หลังจากที่เราออกแบบตัวบริการ การเป็นตัวแทนในการเจรจาหนี้ไปแล้ว ก็มีคนเข้ามาติดต่ออยู่เรื่อย ๆ รวมถึงดำเนินการไปศาลด้วยก็เป็นไปตามวัตถุประสงค์ คือมีคนที่ต้องการความช่วยเหลือเรื่องนี้จริง ๆ


“ด้วยความที่เราไม่ได้ทำมาร์เก็ตติ้งเลย เราไม่ได้แบบต้องการไปสื่อสารกับคนเยอะ ๆ เนื่องจากว่าเรา มองว่าหลังบ้านเราทรัพยากรเรายังไม่ได้เยอะพอเราเองก็ จะทำงานไม่ไหวเราก็เลยไปโฟกัสกับการทำ งานเรื่องของการจัดอบรม จัดอบรมให้ ก็จะเป็นการทำงานทางนั้นเยอะขึ้น”เราสื่อสารในมุมนี้กับลูกค้าเยอะขึ้นแต่ว่าคนทั่วไปเราไม่ได้โฆษณา แต่เราก็ยังมีคนที่ติดต่อมาผ่านช่องทางที่เราให้ตามปกติ แต่ว่าปริมาณก็มีอยู่เรื่อย ๆ ส่วนใหญ่จะต่อยอดมาจากการที่เราไปอบรมหรือเขาไปสื่อสารกันเอง ออร์แกนิคแน่นอนคนหนึ่งพอแก้ปัญหาได้ แก้ปัญหาปุ๊บมันก็จะจบใช่ไหมเว้นแต่ เขาจะไปบอกต่อหรือไปบอกเพื่อนก็จะมีคนแนะนำมา“ก็จะโทรเข้ามาปรึกษาส่วนใหญ่จะเน้นโทรเข้ามาปรึกษาผ่านช่องทางของ LINE OA ที่เรามีให้ ส่วนใหญ่ 90% ผมว่าเป็นปัญหาเชิงกฎหมายถูกฟ้องดำเนินคดีมาแล้ว มี “หนี้” ถูกหนังสือทวงถามมาแล้วต้องทำยังไง เขาไม่รู้ว่าเขาควรจะต้องติดต่อจะต้องทำยังไง จะเป็นแบบนั้น” ก็แนะนำรายละเอียดไปเพราะว่ามันไม่ได้มี DATA เยอะมันไม่เหมือนกรณีเราเข้าไปดูเข้าไปตรวจสอบให้กับพนักงานในองค์กร ซึ่งมันจะนั่งคุยแล้วเขาจะต้องกรอกข้อมูลให้เรา และก็มานั่งคุยกันโดย DATA ว่าเรื่องนี้ ต้องจัดการยังไงเรื่องนี้คุณว่ายังไง คุณอะไรยังไง มันก็จะมีรายละเอียดเยอะกว่า“ด้วยความที่พอเป็นคนติดต่อมา เราไม่ได้ไปติดตามผลได้ เราไม่สามารถไปติดตามผลได้ เราก็ได้แต่รับ consult ให้ เขาก็โอเครับทราบ ขอบคุณมา โอเครู้แล้วเดี๋ยวจะลองไปดำเนินการดู”


ทนายแชมป์ยกตัวอย่างของ “เคส” เคสหนึ่งที่มาปรึกษา J-Raja เป็นคุณหมอ รายได้ก็ประมาณเดือนละ 5 แสนกว่าบาทเขาก็มาปรึกษา มีเพื่อนแนะนำมาหรือว่าอาจจะเห็นมาจากไหนสักที่หนึ่งเขาก็บอกว่า เขามีหนี้เยอะมากเลย ก็เลยบอกว่างั้นคุณหมอช่วยลิสต์รายการหนี้ทั้งหมดให้หน่อย พอเขาลิสต์ออกมาว่ามีหนี้อะไรบ้าง ต้องผ่อนขั้นต่ำผ่อนเดือนละเท่าไหร่ ดอกเบี้ยเท่าไหร่ เขาบอกผมรู้แล้วว่าผมจะจัดการยังไง เขาเห็นตัวเอง หรืออีกเคสหนึ่งเป็นกรณีของลูกหนี้ที่กำลังจะถูกบังคับคดีแล้วหรือจะถูกอายัดเงินเดือนแล้วเพื่อใช้จ่ายหนี้แทน ทนายแชมป์เล่าว่าการให้คำปรึกษาคือจะ อันดับแรกก็ต้องถาม ก็ต้องดูข้อมูลก่อนว่า หนี้ที่เขาถูกบังคับคดีมันเป็นหนี้อะไร ยอดหนี้เท่าไหร่ ซึ่งส่วนใหญ่เขาก็ไม่รู้ เขาก็ต้องเป็นคนไปหาข้อมูลมาให้เรา พอรู้ตัวเลขปุ๊บมันจะได้มาเทียบเคียงได้ว่า บางคนบอกว่า ศาลตัดสินมาสมมุติ 1 แสน เขารู้แล้วว่าเขาโดนหักเพื่อจ่ายหนี้ 1 แสนบาท ใช้ข้อมูลการถูกอายัดเงินเดือนไปเรื่อย ๆ หรืออีกทางหนึ่ง เขาบอกว่าถ้าเขาโดนอายัดในตัวเลขประมาณนี้ ประมาณ 10 เดือนจะหมด งั้น 10 เดือนคุณคิดว่ามันอยู่ได้ไหม คุณบอกไม่ได้พี่ 10 เดือนไม่ได้ จริง ๆ เดือนเดียวผมไม่ไหวแล้วการปิดหนี้ มันเป็นทางออกที่ดีที่สุดแหละของการจัดการ ถ้าเกิดบางครั้งมันไม่ได้ มันก็ต้องคิดเผื่อในเรื่องอื่น ก็จะให้เขาตัดสินใจ มองเรื่องความสำคัญหรืออะไรอย่างเงี้ย ฯลฯ ซึ่งเขาต้องเป็นคนคิดและพิจารณาเราก็บอกไม่ได้ เราก็บอกไม่ได้ว่าเรื่องนี้มัน เอาความรู้สึก เอาเหตุผลความจำเป็นคุยกัน” เป็นต้น


“แก้หนี้” เท่ากับช่วยองค์กรพัฒนาได้แข็งแกร่งมากขึ้น อีกผลดีที่นายจ้างไม่ควรมองข้าม!
เรื่องอย่างนี้มันจะเกิดได้ต่อเมื่อ ตอนที่เวลาเราจัดอบรมแล้ว หรือบริษัทที่เขาซื้อเซอร์วิสเกี่ยวกับเรื่องที่ปรึกษา เขาก็จะได้เข้ามาคุย เพราะเราเห็น DATA เราก็จะคุยข้อมูล ทนายแชมป์ยังบอกด้วย ถ้าได้คุยได้เห็น DATA ก็จะง่ายสำหรับงานที่ปรึกษา ส่วนพาร์ท “การอบรม”ฝ่ายบุคคลส่วนใหญ่ที่ไปเขาก็จะชอบ เพราะว่าเหมือนเขาเคยไปใช้ที่อื่นส่วนใหญ่ก็ทำบัญชีรับ-จ่าย แนะนำโน้นนี่ แต่มันไม่ได้เหมือนเราที่เรามีรูปแบบการอบรมที่เราเน้นเป็นเรื่องของการ “ปรับทัศนคติ” ของ J-Raja จะมองเรื่องการเปลี่ยนทัศนคติเป็นหลัก มุมมองที่แบบเหมาะกับการใช้จ่ายหรือการแก้ปัญหา แล้วเราก็มีความแข็งในเรื่องของ “กฎหมาย”ด้วย“มันเรื่องหนึ่งเปลี่ยนทัศนคติ สองกิจกรรมเวิร์กช้อปอะไรในการอบรมซึ่งเราก็เน้นให้มัน มีความสนุกสนานไม่น่าเบื่อ มันก็เลยได้รับการตอบรับที่ค่อนข้างดี”


แล้วก็มันจะมีอันหนึ่งที่ปกติ “ฝ่ายบุคคล” ในองค์กรเขาจะไม่ค่อยสามารถเข้าไปดูข้อมูลได้ก็คือ เรื่องของตัวตรวจ “สุขภาพการเงิน” ของพนักงาน ก็เหมือนว่าพนักงานเองก็ไม่อยากจะบอกข้อมูล แต่พอเราเข้ามาอบรม เราใช้ผ่านไลน์ (LINE OA) มันมีตัวที่เป็นเหมือนตรวจสุขภาพทางการเงิน (เป็นโปรแกรมของทางเจ-ราจา) เพื่อให้แต่ละคนที่มีรหัสซึ่งจะมีการเจนรหัสออกมาจากไอที เข้ามาที่ลิสต์เมนู เราก็จะมีตรวจสุขภาพการเงินมันก็จะเด้งไปที่โปรแกรมเรา ทุกคนก็เข้าไปทำข้อมูลแล้วมันก็จะออกมาเป็น “ฝ่ายบุคคลจะไม่รู้ข้อมูลนี้ แต่เราเองเนี่ยจะเอาข้อมูลนี้มาแล้วเราก็จะทำสรุปเป็นเหมือนแดชบอร์ดอธิบายให้เห็นว่า ตอนนี้องค์กรคุณ มีเงินออมอยู่พนักงานเริ่มออมได้แค่กี่เปอร์เซ็นต์ มีภาระหนี้อะไรบ้างกี่เปอร์เซ็นต์ แต่ไม่ได้ระบุว่าใคร ให้เขาเห็นภาพรวมว่า มันมีปัญหาหรือเปล่า อยู่ในเกณฑ์สุขภาพทางการเงินที่ดีหรือไม่ดี เพื่อให้ฝ่ายบุคคลเองสามารถที่จะมาออกแบบสวัสดิการ หรือจะหาวิธีการช่วยเหลือพนักงานยังไง” เพราะว่าถ้าเขาเห็นว่าสุขภาพการเงินมันดีแน่นอนมันจะส่งผลต่อการทำงานขององค์กร“เราก็ทำอย่างนี้มาเพื่ออยากให้องค์กรคอยตรวจทุก ๆ 6 เดือน หรือปีละครั้ง มันก็จะได้เห็นความคืบหน้าและเวลาฝ่ายบุคคลออกแบบเครื่องมือในการช่วยเหลือพนักงานเขาจะได้มีตัวชี้วัดว่า คุณภาพชีวิตพนักงานทางด้านการเงินมันเปลี่ยนไหม มันดีขึ้นไหม เงินเดือนที่ให้ มันอาจจะต้องเพิ่มไหม? มันก็จะเชื่อมโยงกัน”คนที่ได้ประโยชน์จากเรื่องพวกนี้จริง ๆ แล้ว ก็คือ ตัวนายจ้างเพราะฉะนั้นบริษัทก็ควรจะต้องเป็นคนที่ซับพอร์ตเรื่องค่าใช้จ่าย เราไม่ได้อยากไปเก็บเงินกับพนักงาน หรือลูกหนี้ เราถึงเน้นไปที่องค์กร องค์กรอยากจัดอบรมความรู้ เปลี่ยนมุมมอง ทัศนคติ อยากได้ที่ปรึกษาการเงินให้พนักงานอยากตรวจสุขภาพการเงินพนักงาน ตรงนี้บริษัทจะต้องเป็นคนจ่ายก็จะเป็นรายได้ของ J-Raja ในพาร์ทนี้ที่เข้ามาช่วย

ภูเขาหัวโล้น ผลพวงจากการทำเกษตรเชิงเดี่ยวที่รอการฟื้นคืนมาเขียวขจีอีกครั้ง
ปัญหาเรื่อง “สิ่งแวดล้อม” ก็สามารถจัดการได้ด้วยการแก้หนี้!
พอเราทำงานแล้วเราก็ลงชุมชนของเราเป็นเรื่องปกติ อย่างทำแก้หนี้ก็เป็นที่มาของการไปทำ เราก็อยากจะเชื่อมเรื่องปัญหาหนี้กับเรื่องอื่นด้วย “มิติทางสังคมเราผมมองว่า เราไม่ได้ทำเรื่องหนี้อย่างเดียว โดยส่วนตัวทำหลายเรื่องแต่อยากให้มันเชื่อมโยงกันก็เลยไป มีโอกาสไปที่แม่แจ่ม ก็ไปทำเรื่องป่าเรื่องสร้างป่า ก็คือไปจากการที่ไปเห็นปัญหาของ “เกษตรเชิงเดี่ยว” ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ บุกรุกป่า การใช้สารเคมีต่าง ๆ ก็รู้สึกว่า เราเอาเรื่องหนี้ที่เรากำลังแก้ปัญหา ถ้าเราไปช่วยชาวบ้านเขาแก้หนี้ได้ การทำเกษตรเขาจะ “เปลี่ยน” ไหม?” ก็เลยขึ้นไปเก็บข้อมูลมาหลายรอบ ก็ไปสัมภาษณ์ มีการทำการบ้านเรื่องของ “ดอยคำ” ไปดูงานหาข้อมูลเรื่องของ “ในหลวง” ตอนที่เปลี่ยนจากชาวเขาปลูกฝิ่น ทำไมถึงเกิดโครงการหลวง“การจะทำอะไรสักอย่าง มันจะไปแค่บอก เอ้าไปปลูกสิ ไปเปลี่ยนสิ ไปสานสิ ไปทอสิ ไปแปรรูปสิ มันไม่ได้! มันแก้ปัญหาแค่ตรงนั้น แต่คุณไม่ทำต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ ก็คุณไม่ทำพื้นฐาน เหมือนตัว facility พื้นฐานให้มันครบ มันยากมากที่มันจะพาการทำงานนี้ไปได้ตลอด”เราก็คิดว่าถ้าเราจะเชื่อมโยงกับปัญหาหนี้ เราจะทำยังไงให้มันโยงกับเรื่อง “สิ่งแวดล้อม” ด้วย ถ้าจะพาเขาเปลี่ยน การเปลี่ยนไม่ได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่ทำทีละเล็ก เราก็เลยชวนเขาเปลี่ยนทีละนิด เอาที่ไม่ลำบากชีวิตเขาแม่ไม่ต้องไปทำ 5 ไร่ 10 ไร่ ทำตรงนี้ ไร่-2 ไร่ก่อน พอมันรู้ว่ามันทำน้อย มันก็โอเค ก็พาเขาเปลี่ยน เราก็ทำระบบ เราไปทำเชิงไกด์ชื่อว่า “ป่าฟื้นคืนหนี้” เพราะว่าเราต้องการให้เขาเปลี่ยนจากเกษตรเชิงเดี่ยวจากข้าวโพดที่เป็นภูเขาหัวโล้น มาปลูกต้นไม้เศรษฐกิจ

สนับสนุนปัจจัยการผลิตและกล้าพันธุ์ไม้เศรษฐกิจให้ปลูกในโครงการฯ
แต่จุดเชื่อมที่น่าสนใจอีกอย่างในเรื่องนี้ ทนายแชมป์บอกด้วย เราก็มานั่งดูข้อมูลแล้วก็มาเจอว่า ที่เขาปลูก “ข้าวโพด” ก็เพราะว่ามันเป็นพืชชนิดเดียวที่ขายได้ มันมีเรื่องของการอำนวยความสะดวกของภาคทุนด้วย การที่มีคนรับซื้อ แล้วมันเป็นพืชชนิดเดียวที่รับซื้อหมด ซึ่งหลังจากการลงชุมชนใช้เวลาอยู่ประมาณปีครึ่ง กว่าจะทำให้ชาวบ้านเชื่อว่าเราไม่ได้มาเอาอะไร การเริ่มต้นของโครงการปลูกป่าโดยการ “ชดเชย” ชดเชยรายได้ให้เขาก่อน ก็ในเมื่อเขาเอาที่ดินมา เสียสละที่ดินมาแล้ว ถ้าเขาปลูกข้าวโพด 1 ไร่ปีหนึ่งเขาได้กี่บาท เราก็ทำตัวเลขคำนวณให้เห็นเลย ค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าแรง ค่าปลูก ฯลฯ แม่ปลูกข้าวโพด 1 ไร่เหลือเป็นกำไร ประมาณ 300 กว่าบาท ในราคากิโลละสมมุติ 7-8 บาท ถ้าความชื้นประมาณนี้ อะไรแบบนี้ทำให้ดู ทำ10 ไร่เฉลี่ยออกมาได้เดือนละ 3,000 บาท สมมุติว่าปีละประมาณแค่ 4 หมื่นแต่กู้ ธ.ก.ส.มาทำ 6 หมื่นแล้วต่อรอบ“ไม่คุ้ม แต่ไม่เป็นไรแม่อยากทำ ทำเหมือนเดิม แบ่งให้ผมมา 2 ไร่ แต่ครอบครัวละแค่ 2 ไร่นะผมไม่เอาเยอะ ถ้าแม่ทำป่าตามที่ผมบอก เดี๋ยวผมชดเชยรายได้ค่าข้าวโพดให้ แต่ผมให้แม่ 600 มากกว่าเกือบเท่านะ600 เราชดเชยรายได้ให้”แต่เงื่อนไขคือ 100 ใน 600 บาท/ไร่/เดือน ที่ชดเชยให้จะต้องเอาไปจ่ายหนี้ เราก็ขอบัญชี ธ.ก.ส. มาเพื่อเอาไปจ่ายหนี้ให้ ทำไมต้องจ่ายหนี้? เพราะว่าแม้เงินมันจะจำนวนน้อยแต่การที่เราจ่ายหนี้ทุกเดือน มันทำให้ยังไงมันก็ดีกว่าดอกเบี้ยมันก็ลดลง แล้วอย่างที่สองคือ ให้เขาเห็นว่าการทำเกษตรการพึ่งรายได้แบบตามฤดูกาลหรือตามรอบการเก็บเกี่ยว ลองมาฝึกเรียนรู้การมีรายได้แบบรายเดือนผ่านโครงการของเราแล้วบริหารเงินบนรายได้แบบรายเดือน ก็เหมือนเอาโมเดลแบบพนักงานบริษัทมีเงินเดือน คุณจะแมนเนจการใช้เงินอย่างไร ก็พาเขามา เพราะฉะนั้น 2 ไร่ครอบครัวหนึ่งก็ได้ 1,200 บาท 200 ก็ไปจ่ายหนี้ 1,000 ก็เอาไว้กินอยู่ ซึ่งมันเหลือ“แต่ผมทำ5 ปีนะ ผมชดเชยรายได้แค่5 ปี เรามีขอบเขต เพราะในระหว่างไปมันมีแผน5 ปีที่เราทำ 3 ปีมันคือแน่นอนคุณทำอย่างนี้ คุณต้องเป็น “อินทรีย์” ถูกไหมเพื่อเปลี่ยนดิน ให้มันเป็น เปลี่ยนจากเคมี ที่คุณเคยทำมา” แต่เราก็มีแผนของเรา 3 ปีเรามี ผลผลิตอะไรบ้างที่เราจะสร้างขึ้นในระหว่างแปลง ในระหว่างที่ต้นไม้มันรอโต เราก็มีแผนการสร้างรายได้ระยะยาว รวมถึงถ้าเมื่อไม้โตแล้วเราจะทำอะไร เราถึงต้องมีไม้หลายชนิด โตเร็ว โตกลาง โตช้า ปลูกสลับเพื่อให้เห็นว่ามันจะเริ่มเก็บเกี่ยวยังไง เราก็มีปลายทาง มีโรงไม้ เรามีกลุ่มที่ปลูกไว้ก่อนแล้วที่เรากำลังมีการเทสต์ทำเฟอร์นิเจอร์แล้ว เพื่อให้เห็นว่าไม้มันไปแล้วมันมีปลายทางที่คนซื้อแน่ ๆ ซึ่งตอนนี้ก็มีชาวบ้านร่วมโครงการมาแล้ว 5-6 ครอบครัวที่ทำไปพร้อมกับแปลงเราเองด้วย เพื่อจะเป็นต้นแบบในการขยายผลต่อไป


จาก “คนตัวเล็ก” ที่ขออาสาเข้าไปช่วย “คนตัวใหญ่” จัดการธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน
อนุตม์ กรกำแหง หรือทนายแชมป์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท “เจ-ราจา”ธุรกิจเพื่อสังคม จำกัด ได้เล่าให้ฟังด้วย งาน mai FORUM 2025 : มหกรรมรวมพลังคน mai ครั้งที่ 9 “Armed for Opportunity” ซึ่งจะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน 2568 เวลา 09.00-17.00น. ณ ห้องบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ “งานใหญ่ประจำปีของตลาดหลักทรัพย์ mai เขาจะจัดขึ้นประจำทุกปี ก็พอดีว่าปีนี้มีโควตาที่ตลาดหลักทรัพย์เขาให้ธุรกิจเพื่อสังคมที่อยู่ภายใต้การกำกับมา 6 หรือ 8 บูธผมจำไม่ได้ และก็เลือกเราเป็นหนึ่งในนั้น ในงานก็จะมีการออกบูธของแต่ละธุรกิจ มีเวทีพูดเวทีเสวนามีผู้นำมา ฯลฯ ก็มีกิจกรรมกันตลอดทั้งวัน ก็จะมีทั้งนักลงทุน แล้วก็มีนักธุรกิจที่สนใจ ในนั้นก็จะมีมาหลากหลายธุรกิจ”เราตั้งใจมุมหนึ่งที่เราอยากจะไปสื่อสารในวันนั้นว่า จริง ๆ เราเป็นเหมือนหน่วยหนึ่งที่เขาสามารถใช้ในเรื่องของ ESGได้ คืออย่างที่ทราบว่าตลาดหลักทรัพย์เองเขาก็สนับสนุนให้ผู้ประกอบการหรือ ธุรกิจขนาดใหญ่ คำนึงถึงเรื่อง ESG เป็นแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาขององค์กรอย่างยั่งยืน ซึ่งย่อมาจาก Environment, Social และ Governance เราเองในพาร์ทเรื่อง Social ที่เรารู้สึกว่าทุกองค์กร Socialในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องไปทำงานชุมชนเหมือนที่เราทำ คุณไม่ต้องไปหาชาวบ้านเพื่อทำโน่นนี่นั่นหรอก


"แต่ Social ที่สำคัญขององค์กรคือ พนักงานของคุณ พนักงานที่คุณมีอยู่ จะ 100 คน 1,000 คน หมื่นคน ซึ่งนี่คือสังคมหนึ่งในองค์กร ที่คุณจะต้องกลับมาดูแล ทุกองค์กรผมเชื่อว่าต้องดูแลพนักงานเพราะเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนธุรกิจ แล้วก็อยากพาธุรกิจให้ยั่งยืน” วันนี้ J-Raja เองก็เป็นเหมือนหนึ่งในเครื่องมือที่จะช่วยคุณ ในการทำให้ Social ในองค์กรของคุณมันดีขึ้น ไม่ได้แค่เอาเรื่องสวัสดิการ การเงิน หรืออะไรก็ตามมาจูงใจหรืออย่างเดียว แต่ว่ามันแก้ไขปัญหาสังคมในองค์กรคุณด้วย แล้วปัญหาหนี้มันเป็นปัญหาที่กว้าง แต่ว่ามัน ทุกองค์กรส่วนใหญ่พนักงานมีหมดขึ้นอยู่กับเลเวลของเขา“เราก็เลยจะมองว่าตัวเราเองก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์สามารถใช้ ในการเข้าไปจัดการในพาร์ท ESG โดยเฉพาะเรื่อง Social ของพนักงานในองค์กรได้ เราก็จะไปนำเสนอ ให้เขาเห็นมุมนั้น”

ทนายแชมป์-อนุตม์ กรกำแหง
J-Raja Social Business: ธุรกิจเพื่อสังคมที่ผ่านการบ่มเพาะจากโครงการ SET Social Impact GYM 2023 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้บริการเป็นตัวแทนลูกหนี้ในการเจรจาหนี้กับเจ้าหนี้สถาบันการเงิน รวมถึงบริการอบรมและตรวจสุขภาพหนี้ ติดตาม:www.j-raja.com ช่องทางการติดต่อ LINE OA: https//lin.ee/RdUIV1N หรือโทร.066-109-6854

คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด


กำลังโหลดความคิดเห็น