“เราเห็นต้มยำกุ้งแล้ว เราเห็นผัดไทยแล้ว เราเห็นผัดกะเพราแล้วเราก็อยากจะ ถ้านึกถึงไทยแลนด์ฮอตพอตมันมีตัวนี้ “แจ่วฮ้อน” ที่มีสมุนไพรไทย บางทีร้านจิ้มจุ่มเขาเอาไปใช้มันมีหลาย อย่างร้านหมูกระทะ ร้านชาบู เอาไปใช้ฉะนั้นขึ้นอยู่กับกลุ่มลูกค้าของแต่ละที่
แต่สิ่งที่เราบอกได้ก็คือว่า การที่ต้องทำเองเนี่ยถ้าสมมุติว่าต้นทุน 100 เราน่าจะได้อยู่ประมาณ 60-70 บาท ทีนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือว่าการที่จะทำให้น้ำซุปรสชาติแบบนี้มันไม่ใช่ว่าทำได้แค่ชั่วโมงสองชั่วโมง มันใช้เวลา ก็คือว่าเราเชื่อว่าสิ่งสำคัญที่สุดมันสามารถที่จะทำให้ “ลูกค้า” สัมผัสได้ว่าสิ่งที่กำลังกินอยู่ มันมี คุ้มค่า! มันก็จะเป็นตัวเรียกแขกอย่างวันนี้ มีลูกค้าอยู่แค่นี้ อนาคตถ้าสมมุติว่าเขามาทานแล้วเขาติดใจเขาชอบ เนี่ยครับคือส่วนสำคัญว่าทำไมเวลาร้านอาหารที่ใช้ของเรา ทำให้ดึงลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ เข้ามา” ธนจักร เมืองจันทร์ หรือคุณหนุ่ม เจ้าของแบรนด์ “ยกซด” แจ่วฮ้อน น้ำพริกแกงหัวเชื้อ “น้ำซุป” สำหรับการทานเมนูหม้อไฟที่ฮอตและฮิตสุด ๆ เวลานี้ในบ้านเรา ชาบู หมูกระทะ หมาล่า ต้องถือว่าธุรกิจนี้ได้แจ้งเกิดขึ้นมาอย่างถูกที่และทันกับเวลาจริง ๆ หากย้อนกลับไปช่วง 4 ปีก่อน ทั้งคุณหนุ่มและคุณปอย-จิราภรณ์ สงคราม ผู้ร่วมก่อตั้งฯ แต่ว่าก็ไม่ง่ายเลยที่กว่าจะทำให้ซุปหม้อไฟกลิ่นอายอีสานแท้ ๆ แบรนด์นี้ข้ามผ่านปราการของบททดสอบจนมายืนอยู่ในตลาดถึงวันนี้ได้ หลาย ๆ กรณีศึกษาที่จะได้เล่าสู่ให้ฟังต่อจากนี้ ไม่แน่ว่าอาจกำลังมีเอสเอ็มอีหลาย ๆ คนสามารถที่จะอะแด๊ปเอาประสบการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้สำหรับนำไปปรับใช้ให้เข้ากับสิ่งที่ตนเองเป็นอยู่ตอนนี้ได้ และหากคุณเป็นคนหนึ่งที่ get และกำลัง in กับคำว่า “ยูนิคอร์น” ตัวต่อไปหลังจากการดูซีรีส์ที่กำลังเป็นกระแสอยู่ตอนนี้อย่าง mad unicorn หรือสงครามส่งด่วน! ซึ่งเรื่องของ “ยกซด” แจ่วฮ้อนก็มีที่มาของการฝ่าฟันเพื่อให้ได้ทั้งโนฮาวสำหรับการพัฒนาสินค้าและก็การสามารถเข้าถึงฝ่ายจัดซื้อฯ ของโมเดิร์นเทรดเพื่อเปิดตลาดได้เป็นเจ้าแรกสำเร็จ ภายใต้ทุนเริ่มต้นที่ติดลบ! เขาทำได้อย่างไร? รวมถึงตอนนี้ยังกลายเป็น supplier ที่เนื้อหอมสุด ๆ มีหลายห้างฯ หลายร้านค้าที่จ่อคิวในการวางจำหน่ายและก็นำไปใช้เป็น “น้ำซุปทางเลือก” ให้กับลูกค้าสำหรับในร้านอาหารอีกด้วย
จากธุรกิจร้านอาหาร กว่า 4 ปีของ “ยกซด” แจ่วฮ้อน
“จริง ๆ ผมไม่ได้มีความรู้เรื่องแจ่วฮ้อนเลยนะครับ ธุรกิจเดิมก็คือทำร้านอาหารมาตลอด แต่ไม่ได้มีแจ่วฮ้อนอยู่ในหัวเลย ต้องบอกว่าสูตรแจ่วฮ้อนเนี่ยไม่รู้เลยว่าทำยังไงก็มา Day 1 ก็คือมาเริ่มพัฒนากันใหม่ทั้งหมดเลย” ตอนที่เราเริ่มทำเนี่ยแรงบันดาลใจจริง ๆ แล้วก็คือ เราสังเกตเห็นว่าตัว “ชาบู” น้ำดำมีต้นกำเนิดมาจากญี่ปุ่น มาจากเกาหลี หรืออย่าง “หมาล่า” เนี่ยก็มาจากจีน ด้วยความที่เราเป็นคนอีสาน(จากจังหวัดมหาสารคาม) เราเห็นว่ามันเป็นอาหารที่เป็น “แจ่วฮ้อน” ที่อยู่ในอีสาน ซึ่งยังไม่มีใครหยิบเอาตัวนี้มาทำให้คนเป็นที่ยอมรับของคนไทยเลย “ยกซดจึงเริ่มที่จะพัฒนาตัวนี้ขึ้นมา ก็กลุ่มลูกค้าตอนแรกก็น่าจะเป็นกลุ่มของคนอีสานเป็นหลัก แต่ทีนี้เรามองว่าถ้าสมมุติจะต้องไปในลักษณะของทั่วประเทศ ในลักษณะของต่างประเทศ เราต้องมีการปรับรสชาติของความเป็นอีสานจ๋า ๆ เนี่ยครับให้มันเป็น อาจจะลดดีกรีความเข้มข้นลงมาให้คนทั่วไปได้เข้าถึงเค้า”ซึ่งในการเริ่มต้นด้วยการพัฒนา “ตัวสินค้า” ตอนที่เปิดร้านอาหาร เวลาที่เราคิดว่ามันใช่แล้ว รสชาตินี้มันใช่แล้ว แต่เวลาที่เราไปเทสต์กับลูกค้า ลูกค้ากลับตอบรับมาไม่ดี“ก็คือในช่วง 1 ปีเนี่ย ก็ถือว่าลูกค้าไม่ตอบรับ(ตอบรับไม่ดี) ทำให้เราต้องมานั่งคิดว่า มันยังขาดอะไรอยู่ แล้วก็เอาคำแนะนำของลูกค้านั่นแหละครับมาค่อย ๆ ปรับปรุง ปรับปรุง แล้วก็กลับไปแล้วก็เทสต์กับลูกค้านะครับ จนผ่านมา 1 ปี ลูกค้าก็เริ่มเป็นที่ยอมรับมากขึ้น”
นอกจากในส่วนของตัวที่เป็น “รสชาติ” แล้วในเรื่องของ อุปสรรคก็มีครับก็ตอนที่เราเริ่มเนี่ยเราเริ่มจากทำหลังร้านอาหาร เป็นหม้อเริ่มจากหม้อต้มเล็ก ๆ เลยครับ ต้มเล็ก ๆ และก็ค่อย ๆ เทสต์กันมา แล้วก็พัฒนาจนได้มาแมทชิ่งกับทาง “แม็คโคร” จนได้เป็นผลิตภัณฑ์ของพริกแกงออกมา “หลังจากนั้นเราก็เห็นแล้วว่าตอนที่ทำร้านอาหาร ถ้าสมมุติว่าเราจะสเกลให้มันใหญ่ขึ้นให้ “ยกซด” เป็นที่รู้จักมากขึ้น เราไม่สามารถไปในรูปแบบของร้านอาหารได้แล้ว ในเรื่องของจำนวนคนที่ต้องใช้ ในเรื่องของต้นทุน เราต้องคิดว่าเออเรามาทำในรูปแบบ “กึ่งสำเร็จรูป” ดีกว่า ทีนี้พอตัดสินใจตรงนั้นแล้วเราก็เริ่มที่จะขาย “ร้านอาหาร” ที่ทำอยู่เพื่อที่จะไปสเกลในเรื่องของโรงงานแล้ว ก็ตกลงกันซื้อขายเสร็จสรรพ แต่มันผิดพลาดตรงที่เราไม่ได้ทำสัญญาซื้อขายก็เลย เสียร้านไปก็คือเสียร้านไปให้เขา เราก็ตอนนั้นก็ไม่มี เหมือนไม่มีอะไรมีแค่กระทะ 2 ใบ ออกมาจริง ๆ กระทะ 2 ใบจริง ๆ”ก็มาเริ่มกระทะ 2 ใบในโรงรถนี่ละครับ ในโรงรถจริง ๆ แล้วก็คนแค่ 2 คน กับแม่ครัวที่อยู่ร้านเดิม
“โอกาส” อยู่ตรงไหน? เราก็ต้องไปตรงนั้น
มันจะมีโครงการประกวดฯ ก็ต้องบอกว่าโอกาสอยู่ตรงไหน เราก็ต้องไปตรงนั้น มีการเดินสายประกวด(ด้านนวัตกรรม) หลายเวทีมาก ๆ“ก็เวทีของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ตรงไหนที่มีจัดซื้อฯ เขาอยู่ เราก็พยายามที่จะแทรกตัวไปตรงนั้น เอาสินค้าของเราไปให้เขาเห็น ตอนที่ไปก็ต้องบอกว่าสินค้าก็ยังไม่พร้อมเลยนะครับ ก็ยังเป็นถุงธรรมดาแปะสติกเกอร์ธรรมดา แต่ด้วยความที่ เออมันต้อง ถ้ารอความพร้อม เมื่อไหร่มันจะได้ทำ” ปกติแล้วเราจะมองจากมุมของเรา เป็นหลัก สินค้าเราดีอย่างงี้ อร่อยอย่างงี้ น่าจะขายได้อย่างงี้ แต่เวลาที่เราไปเวทีแบบนี้ก็คือว่า เราจะเห็นแล้วว่าทั้งไม่ว่าจะเป็นทางจัดซื้อฯเอง ทางลูกค้าหรือเพื่อน ๆ เองก็จะให้คำแนะนำว่าเฮ้ย ลองปรับนี่สิ อันนี้ดีไหม เอออันนี้น่าจะดี เราก็เก็บข้อมูลเหล่านี้มาเป็นโจทย์ที่ ตรงไหนดีเราก็เอามาใส่ในผลิตภัณฑ์ของเรา ตัวไหนที่มันไม่ใช่ เราก็จะได้รู้ว่าเออไอ้สิ่งที่เราคิดมันไม่ใช่ “อย่างเวลาที่เราจะออกสินค้าตัวหนึ่ง อย่างเช่นตัวแจ่วฮ้อนเนี่ย เราก็ลงพื้นที่จริงครับ เราก็ไป survey กับลูกค้าตัวจริงเลย มันมีกรณีหนึ่งที่เราเอาภาพ 2 ภาพที่เรากำลังออกแบบแพคเกจจิ้ง อันนึงเป็นหม้อดิน อันนึงเป็นหม้อชาบู แล้วไปถามลูกค้าว่า เวลาลูกค้านึกถึงแจ่วฮ้อนลูกค้าคิดถึงรูปอะไรตัวเราอ่ะเราชอบหม้อชาบู เราชอบหม้อชาบูเราตัดสินใจแล้วจะทำเป็นหม้อชาบู พอไปเจอลูกค้าตัวจริงลูกค้านึกถึง “แจ่วฮ้อน” นึกถึงหม้อดิน ใช่ แทนที่เราจะลงทุนแล้วก็เสียหายไปกับเรื่องของแพคเกจจิ้ง โดยที่ฟังแค่ตัวเอง ตอนนี้มันทำให้เราหยุดคิด หยุดคิดแล้วก็ทำให้เป้ามันแม่นขึ้น”
โชคดีที่เราเลือกแจ่วฮ้อน ซึ่งเราคิดแล้วว่าถ้าเราไปทำตัวอื่น เจ้าอื่น-เจ้าใหญ่น่าจะลงมา ลงมาเล่น ขณะนี้แจ่วฮ้อนก็มีเจ้าใหญ่ลงมาเล่นแล้วนะครับ ใหญ่มากด้วย แต่มันก็โชคดีที่ว่าเราได้ใช้เวลาในการที่จะพัฒนา ลองผิดลองถูก ทำให้เรามีกำแพงอยู่ระดับหนึ่ง การที่เจ้าใหญ่จะมาเลียนแบบไม่ใช่ง่าย ไม่ใช่ง่ายเลย ที่จะมาทำแบบทำยังไงให้รสชาติเหมือน “ยกซด” ไม่ง่ายเหมือนกัน
ต่อยอดสู่สินค้าที่มีหลากหลายขึ้น ตอบโจทย์ของคู่ค้าและผู้บริโภคที่แตกต่าง
ได้เข้าวางจำหน่ายในแม็คโครในรูปแบบของพริกแกง ที่เหมาะกับกลุ่มร้านอาหาร หลังจากได้วางแล้วก็สังเกตว่ามันมียอดเติบโตขึ้น ๆ เราก็เลยเริ่มที่จะพัฒนาตัวอื่นเข้ามารองรับกับกลุ่มลูกค้ากลุ่มอื่น ๆ“เพราะว่าอย่างห้างอื่น ๆ เนี่ยก็จะเป็นลูกค้ากลุ่มของแม่บ้าน ซึ่งจะคนละแตกต่างกัน ก็หลังจากที่เป็นพริกแกงเราก็ออกมา 3 ตัว ก็จะเป็นตัวน้ำซุปพร้อมน้ำจิ้ม และก็แจ่วฮ้อนเข้มข้น แล้วก็ล่าสุดก็เป็นแจ่วฮ้อนซุปก้อน หลังจากที่เราได้เข้าโครงการของเซเว่นฯ อินโนเวชั่น เราได้คอมเมนต์จากกรรมการว่าเฮ้ย เวลากินแจ่วฮ้อนทำยังไงไม่ต้องกินเยอะ แต่อยากกินบ่อย ๆ เราก็เอาคำอันนี้ มาตีโจทย์ว่า แล้วคำ ๆ นี้เราจะตีโจทย์ออกมาในรูปแบบไหนดี ก็เป็นจุดเริ่มต้นของแจ่วฮ้อนซุปก้อน ตัวนั้นก็ถือว่าเป็นเจ้าแรกในไทยเหมือนกัน ที่ออกมาตอนนี้”ตอนนั้นเราก็คิดว่าเราจะเป็นตัวลักษณะของ เป็นฮอตพอต ตอนนี้เราเปลี่ยนวิชั่นของเราว่าอยากจะเป็น “เพื่อนที่อยู่ในครัว” ของคนไทยก็เลยออกโปรดักส์ตัวอื่นออกมาเพิ่มเติม อย่างเช่น ซอสผัดกะเพรา ซอสผัดกระเทียมพริกไทย ซึ่ง 2 ตัวนี้สำหรับร้านอาหารก็คือไม่ต้องใช้น้ำมันเลย แล้วก็จะมีตัวซอสผัดไทย ซอสก๋วยเตี๋ยวแห้ง ซึ่งตัวซอสก๋วยเตี๋ยวแห้งนี้ก็จะเข้มข้นเป็น 2 เท่ามากกว่าในท้องตลาด
สำหรับช่องทางการตลาดที่มีวางจำหน่ายแล้วในปัจจุบัน หลัก ๆ ที่พูดมาตอนต้นในช่องทางของ แม็คโคร(ทุกสาขา) ร้าน 7-Eleven (ตอนนี้มีวางแล้ว 3,000 สาขา) โลตัส(และโลตัสGo Fresh) บิ๊กซี ซีเจ ไทยฟู้ดส์เฟรชมาร์เก็ต และก็นอกจากนั้นเราก็ยังทำ/ผลิตหลังบ้านให้กับร้านอาหารที่เป็นกลุ่มของชาบู ร้านอาหารเกาหลีหลาย ๆ ร้าน หลาย ๆ แบรนด์ที่เราดูแลอยู่อย่างของต่างประเทศก็มีครับ อย่างเช่น ออสเตรเลีย เกาหลี หรือว่าอเมริกาก็มี
เน้นเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป ใช้ “การตลาดนำการผลิต”
ตอนนี้การผลิตก็จะเป็น1 ตัน/วัน ผลิตทุกวัน“ก็อย่างที่บอกเราไม่ได้ใช้การขยายโรงงานรอ เราไม่ได้ใช้การซื้อเครื่องจักรมาตั้งรอ
แต่เราโอเควันนี้มีเครื่องจักรอยู่ระดับหนึ่ง เราสามารถที่จะเพิ่มรอบการผลิต จากกลางวันเป็นกลางคืน ใช้ในสิ่งที่เรามีอยู่ก่อน เพราะเราก็ไม่รู้ว่าโอเคสินค้าที่เข้าไปเนี่ยมันจะ ดูผลตอบรับดูว่ามันนิ่งพอหรือยัง ถ้าถึงจุดที่ว่าเรารู้สึกมั่นใจแล้ว ว่ามันนิ่งพอถึงเวลานั้นโอเคการที่จะขยายโรงงานออกไป การที่จะซื้อเครื่องจักรมาเพิ่มก็ไม่ผิด”อย่างล่าสุดเราเพิ่งเข้า Tops ทั่วประเทศก็มีประมาณ 100 สาขา ก็อยู่ในวอลลุ่มที่เรารับได้ ถ้าอย่างเซเว่นฯ ถ้าเข้ามาตู้ม! เดียวเป็นหมื่นสาขาเนี่ยเรารับไม่ไหว ทีนี้เราเลือกที่จะค่อย ๆ โตแทนที่เราจะขยายโรงงานแล้วลงเครื่องจักรแล้วก็เสิร์ฟที่หมื่นสาขา เราไม่เลือกทางนั้น เราเลือกที่จะขอขยับที่ 3,000 ก่อนเพื่อที่จะดูว่าโอเค 3,000 แล้วเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าผลตอบรับดี กระเถิบไป 5,000 /8,000 /1 หมื่น ผมว่า way นี้อาจจะเป็นจุดที่เสี่ยงน้อยที่สุดสำหรับเราด้วย “การสเกลในของเซเว่นฯ แล้วก็สินค้าใหม่ที่กำลังจะออกปีนี้ ปีนี้เราก็แพลนที่จะออกตัว น้ำจิ้มหมูกระทะ ที่เป็นในรูปแบบขวดและก็อีกตัวหนึ่งเป็น น้ำจิ้มแจ่ว ด้วย"
ความยืดหยุ่น(ได้) ในการค้าขายกับห้างฯ สำหรับผู้ประกอบการ SMEs
ก็ต้องบอกว่าเติบโตค่อยเป็นค่อยไปจริง ๆ หลังจากที่ติดลบ! (หัวเราะ) ขายร้านอาหารไปแล้วก็ไม่ได้เงิน ไม่ได้เงินมา ก็มีแค่เท่าที่เห็นก็ค่อย ๆ มาอาจจะรูดบัตรเครดิต ทุกวิถีทาง ทุกสิ่งที่เรามี สร้อย ทุกอย่างที่มีก็คือต้องตรงนั้น นอกระบบทุกอย่างครับ เท่าที่คน ๆ หนึ่งจะทำได้ในตอนนั้น“ก็ค่อย ๆ อย่างตัวของ Credit Term ในห้างฯ เนี่ย ด้วยความที่เราเป็นคนตัวเล็ก สิ่งเหล่านี้เราสามารถที่จะต่อรองได้นะครับ ไม่ใช่ว่าโอเคห้างฯ ต้องการ 60 วันแล้วเราจะไปยื้อแบบนั้น เราสามารถที่จะใช้วิธีการที่จะคุยกับเขาได้ แล้วก็ในส่วนของกำลังการผลิตเราก็ค่อย ๆ ขยับจากเงินที่เรามี ก็หมุนไปหมุนมาแบบนี้ล่ะครับ ก็ค่อย ๆ โตขึ้นจากที่เห็นแล้วก็ในส่วนของอนาคต เราก็มองภาพใหญ่ เวลาที่เราทำตัวนี้เราทำเล็ก แต่เวลามอง เรามองภาพใหญ่ เราก็มองในเรื่องของการหานักลงทุนเข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรกับเราครับ ก็มีพูดคุยกันอยู่ ถ้าสมมุติว่ามีนักลงทุนที่สนใจสามารถติดต่อมาได้ เราสามารถที่จะโตไปด้วยกันได้”เรามองแล้วว่าโอเคในปีนี้ เราจะโตไปอาจจะเป็น 100% เลยหลังจากสิ้นปีนี้ 100-200% แล้วก็หลังจากปีนี้เราจะโตขึ้นไปอีกสองเท่าตัว จากแผนธุรกิจที่เราทำที่เรามองเห็นตอนนี้
ตั้งเป้าสู่มูลค่า 100 ล้าน ภายในปีที่ 5 นี้
คุณหนุ่ม-ธนจักร เมืองจันทร์ เจ้าของแบรนด์ “ยกซด” แจ่วฮ้อน ยังบอกด้วย ในขณะที่คนอื่นอาจจะมองว่าเศรษฐกิจไม่ดี ไม่กล้าที่จะลงทุน แต่ในส่วนของเราต้องบอกว่าเราไม่ได้แบบไปทุ่มแบบหมดหน้าตัก เราค่อย ๆ ขยับ ในช่วงไหนที่เราจะขยับก็ดูจังหวะว่าโอเคดูจาก DATA ว่าที่ผ่านมา โอเคยอดขายในแต่ละห้างฯ เป็นอย่างไร เราก็ใช้ข้อมูลตัวนั้นมาว่าโอเคการที่เราจะออกสินค้าใหม่ เราเห็นตัวเลขจากฐานข้อมูลแล้วนะว่าขายได้ ขายได้นะตัวนี้“อย่างเช่นตัวนี้มันเป็นน้ำซุปอยู่แล้ว การที่เราออกตัวใหม่คือเราออกน้ำจิ้ม ซึ่งมาซับพอร์ตกันนะครับ มันก็สามารถที่จะโตไปด้วยกันได้”ก็ต้องใช้เวลาในการที่จะทำให้ ลูกค้ายอมรับ ว่าโอเคเราบอกว่าเราถ้าพูดถึง “ยกซด” สินค้าทุกตัว เราตั้งใจนะ เราตั้งใจจากใจนะอยากทำให้กับเหมือนคนในครอบครัวเราทานเลยนะ ก็ต้องสื่อสารเสียงเหล่านี้ให้กับลูกค้าได้เชื่อมั่นก่อนในตรงนี้“จริง ๆ จุดแข็งก็ต้องบอกว่า คนที่มีพระคุณที่สุดก็คือ ลูกค้านั่นแหละครับนะครับว่า ถ้าสมมุติว่าไม่มีเสียงเหล่านี้ เราอาจจะหลงทาง เพราะว่าก็ต้องบอกว่าเอสเอ็มอีทุกคนบางทีก็ฟังแต่เสียงของตัวเอง การที่ได้ยินแต่เสียงตัวเองและก็คนที่รอบข้างไม่กี่คน มันทำให้บางทีมันทำให้เราหลงทาง การที่เราออกไปแล้วไปเจอลูกค้า เวลาไปชงชิมได้คุยกับลูกค้า ลูกค้ารู้สึกอย่างไร แล้วก็อยากให้ทำอะไรเพิ่ม สินค้าใหม่ที่ออกมาก็มาจากเสียงของลูกค้า”
ส่วนการเติบโตของธุรกิจมาถึงตอนนี้คิดเป็นมูลค่า เจ้าของแบรนด์ “ยกซด” แจ่วฮ้อนบอกว่า ตัวมูลค่าผมไม่ได้ลงเป็นตัวเลข
แต่ก็ถือว่าโตขึ้นมาจากวันแรกค่อนข้างเยอะ ภายในปี 2569 อาจจะมีมูลค่าถึง 100 ได้(100ล้านบาท) อันนี้คือเป้าหมายที่เรามองไว้ แต่ก็ต้องดูอีกว่า “ปัจจัย” ภายนอกมันจะมาซับพอร์ตตรงนี้เราไหมครับผม อันนี้คือแผนที่เราจะทำให้ได้
ติดลบ! จากธุรกิจร้านอาหาร ได้มากระทะใบบัว 2 ใบ ฮึดสู้ใหม่! พลิกสู่ 100 ล้านด้วยซุปแจ่วฮ้อน “ยกซด” ขอบคุณเจ้าของธุรกิจที่มาร่วมแบ่งปันไอเดียและแรงบันดาลใจดี ๆ ครั้งนี้ต้องถือว่าเป็นครั้งที่สองแล้วสำหรับ “คุณหนุ่มและก็คุณปอย” ที่ให้เกียรติมาอัพเดตถึงการเติบโตแบบที่เรียกว่าโตวันโตคืนจริง ๆ ของยกซด จากครั้งแรกที่ได้คุยกันตอนนั้น ว่าสำเร็จมาก ๆ แล้วพอได้รู้อีกในวันนี้ยิ่งทำให้อยากนำเรื่องราวดี ๆ มาแชร์ให้กับเอสเอ็มอีท่านอื่น ๆ ฟังไปด้วยกันด้วย การมีPassion สำหรับที่จะทำธุรกิจอยู่เสมอ และก็การแสวงหา “โอกาส” จากทุกแหล่งที่เปิดกว้างให้ ยุคนี้อะไรก็เป็นไปได้ถ้าคุณมีความตั้งใจจริง
สำหรับร้านค้าโดยเฉพาะกลุ่มร้านอาหารที่มีความสนใจผลิตภัณฑ์ของ “ยกซด” สามารถนำไปสร้างสรรค์เมนูใหม่เพื่อการต่อยอดอาชีพได้ มีจำหน่ายในห้างโมเดิร์นเทรดชั้นนำและร้านสะดวกซื้อสาขาใกล้บ้าน หรือสอบถามเพิ่มเติม โทร.094-794-6289 ขอบคุณสถานที่สวย ๆ ในการถ่ายทำครั้งนี้ “Sojumuta” ร้านหมูกระทะติดแกลม ย่านบรรทัดทอง โทร.062-430-9426
คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด