พารู้จัก “พสุธารา” แบรนด์สินค้าที่ทำจาก “เลม่อน” แตกไลน์ผลิตทั้งของกินและของใช้สกินแคร์ ลบคำสบประมาท “คนรวยทำสวน” สู่การเป็นเกษตรกรและผู้ผลิตสินค้าจากพืชไร้สารเคมี ยึดหลัก “สินค้าต้องมีคุณภาพ” ในการทำธุรกิจและเข้าถึงลูกค้าได้อย่างเป็นกันเอง สร้างยอดขายสุดปังด้วยการไลฟ์สดขายสินค้าได้ 1 ล้านบาทภายใน 2 ชั่วโมง ตั้งเป้าพาสินค้าไทยโลดแล่นตลาดต่างประเทศ
ดรุณี วัฒน์นครบัญชา หรือ อ้อย เจ้าของธุรกิจ พสุธารา เล่าว่า ในชีวิตไม่เคยคิดเป็นเจ้าของสวนหรือมาเป็นเกษตรกรเพราะว่าอาชีพเดิมที่ทำคือการบริหารคลินิกทันตกรรม แต่เมื่อ 20 ปีที่แล้วคุณอ้อยได้ป่วยเป็นโรคที่มีความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย หรือที่เรียกกันว่า โรคแพ้ภูมิตัวเองหรือโรคพุ่มพวง (SLE) ซึ่งเป็นในตอนที่อายุ 38 ปี ปัจจุบันคุณอ้อยอายุ 58 ปี ซึ่งการป่วยจำเป็นต้องรักษาด้วยยารักษา ฟอกไตและติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคุณอ้อยที่เป็นคนรักการอ่านและเมื่อป่วยก็ศึกษาและหาข้อมูลการรักษาเกี่ยวกับโรคดังกล่าวและไปเจอกับข้อมูลการบำบัดด้วยวิธีธรรมชาติ คุณอ้อยจึงตั้งเป้าเอาไว้ทั้งหมด 3 เดือนว่าถ้าหากบำบัดด้วยวิธีธรรมชาติไม่ได้ผลหรือเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้องก็จะเข้ารับการรักษาด้วยการรับประทานยาที่ทางแพทย์สั่ง
ในช่วงที่ป่วยคุณอ้อยก็เกิดความกลัวการรักษาทางการแพทย์ไม่ว่าจะเป็นการเจาะไต เจาะไขสันหลัง ทำการรักษาในกระบวนการต่างๆ ทำให้เกิดความวิตกกังวลหลายอย่าง คุณอ้อยจึงได้อ่านหนังสืออย่างหนักและเจอกับวิธีรักษาแบบธรรมชาติ ซึ่งธรรมชาติที่นำมาใช้คือ “การกิน” และใช้ “อาหารให้กลายเป็นยา” ซึ่งทำให้คุณอ้อยต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตจากคนไม่มีระเบียบวินัยก็สามารถมีได้โดยการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ลดและเลี่ยงข้าวขาวขัดสี ตัดผลไม้หวานทุกอย่าง ตัดน้ำอัดลมและขนมต่างๆ ผลปรากฎว่าใช้เวลาไป 2 เดือนครึ่ง อาการของโรคเริ่มสงบลง ทำให้คุณอ้อยมองว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถรักษาร่วมกับวิธีทางการแพทย์ หลังจากนั้นก็ทำมาอย่างต่อเนื่องประมาณ 3 ปี ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายด้วย ปัจจุบันสามารถกินได้ทุกอย่างแต่ในปริมาณที่เหมาะสม
หลังจากอาการสงบลงประมาณ 10 ปี ก็มีคนรู้จักมาขายที่ดินให้กับทางญาติที่อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี เนื้อที่ประมาณ 43 ไร่ และได้ตัดสินใจซื้อในตอนนั้นเพราะเป็นที่ดินที่ติดธนาคารจึงช่วยซื้อเอาไว้ ซึ่งเมื่อซื้อมาในตอนแรกยังไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร มีคนมาติดต่อขอซื้อและให้กำไร 14 ล้านบาทโดยที่ยังไม่ได้ทำอะไร คุณอ้อยในตอนนั้นก็ตั้งใจจะขายที่ดินแปลงนี้ไป แต่ก็ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่เพราะในวันที่ขับรถมาเพื่อจะรับเงินมัดจำก็มองเห็นบรรยากาศรอบๆ ที่ดินที่มีหมอกลง สวยงามตามธรรมชาติ
หลังจากตัดสินใจไม่ขายที่ดินแล้วก็เริ่มมาดูบ่อยขึ้นแต่ดินของที่ดินแปลงนี้เป็นดินที่ไม่ดี ดินยุบ และรกร้าง จึงตัดสินใจปลูกต้นปอเทืองโดยที่ไม่รู้มาก่อนว่าต้นปอเทืองเป็นพืชที่ให้ไนโตรเจนกับดิน คุณอ้อยปลูกต้นปอเทืองเพื่อสนองความต้องการตัวเองเพราะปลูกแล้วดูสวยงามเท่านั้นเอง แต่หารู้ไม่ว่ากลับทำให้มีประโยชน์ต่อที่ดินแปลงนี้ คุณอ้อยปลูกไว้ประมาณ 40 ไร่ เวียนปลูกประมาณ 3-4 ครั้ง ทั้งนี้ “พสุธารา” เป็นชื่อที่ตั้งเอาไว้ตั้งแต่ซื้อที่ดินในตอนแรก ซึ่งที่มาของชื่อคือดินและน้ำรวมกัน พสุมาจาก “พสุธา” ที่แปลว่าดิน “ธารา” มาจากน้ำ ที่เป็นลำธารติดกับที่ดิน คุณอ้อยเอามารวมกันเป็น “พสุธารา” ที่แปลว่าดินและน้ำที่ให้ชีวิตทั้งมนุษย์และพืชผักนั่นเอง
ทางบ้านไม่ค่อยเห็นด้วยกับการมาใช้ชีวิตที่สวนแต่คุณอ้อยก็สามารถทำให้ครอบครัวเห็นว่าที่ดินแปลงดังกล่าวสามารถสร้างรายได้ได้ คุณอ้อยเริ่มทำสวนสร้างรายได้ด้วยการปลูก “เลม่อน” ที่ไปเห็นมาจากต่างประเทศ ซึ่งเลม่อนเองไม่ค่อยนิยมปลูกในไทยมากนัก ในช่วงแรกคุณอ้อยคิดแค่ว่าอยากปลูกเพื่อกินเอง เริ่มต้นจาก 10 ต้น ไปจนถึงหลักพันต้น โดยปลูกควบคู่ไปกับพืชผักสวนครัวต่างๆ เลม่อน ในความเชื่อคนอื่นคือต้องปลูกในประเทศที่มีอากาศหนาว แต่คุณอ้อยคิดต่างจากคนอื่น นำมาปลูกจนได้ผลผลิตจำนวนมาก ซึ่งเมื่อได้ผลผลิตจำนวนเยอะแต่ไม่ได้นำไปแปรรูปหรือถูกขายออกไปก็ทำให้ต้องทิ้ง
จากการเห็นเลม่อนถูกทิ้งไปจำนวนมากกว่า 1 ตัน เพราะไม่มีตลาดและคนไทยไม่นิยมกันเท่าไหร่นัก เลม่อนที่เป็นพืชในตระกูลซีตรัช มีสารอัลคาไลน์สูงมากและสูงกว่ามะนาวนั้นก็ทำให้คุณอ้อยมองหาโอกาสด้วยการทำเลม่อนดองน้ำผึ้งขายให้คนรู้จักก่อน และเริ่มคิดค้นขนมจากเลม่อนด้วยการทำเลม่อนสไลด์อบขายให้เพื่อนบ้าง คนรู้จักบ้าง พร้อมกับแจกจ่าย ซึ่งเมื่อได้รับฟีดแบกจากเพื่อนว่าเลม่อนสไลด์ต้องถูกขายในห้างดังอย่างสยามพารากอน คุณอ้อยจึงได้ผลิตและวางขายในสยามพารากอน
ตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบัน และแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ไปอีกหลายชนิด เช่น เลม่อนสไลด์พริกเกลือ แปรรูปเป็นน้ำมันหอมระเหยจากผิวเลม่อน ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเครื่องสำอางหรือคลีนซิ่งจากสารสกัดเลม่อน พร้อมกับครีมสกินแคร์จากเลม่อนและโรสแมรี่ที่มีราคากระปุกละ 4,800 บาท โดยฝีมือคนไทยขึ้นมา และกลายเป็นรายได้หลักของทางแบรนด์ นอกจากนี้ยังมีสินค้าอีกหลายชิ้นที่ผลิตขึ้นมาจากส่วนผสมของวัตถุดิบจากที่สวน ซึ่งความแตกต่างของผลิตภัณฑ์คือการที่มีวัตถุดิบที่ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมีหรือยาฆ่าแมลง
มีสินค้าแล้วต้องมีช่องทางการขาย คุณอ้อยให้ข้อมูลว่าช่องทางการขายมีทั้งหน้าร้านและใช้สื่อโซเชียลมีเดียให้เป็นประโยชน์และถูกทาง สินค้าของทางแบรนด์ถูกนำไปขายในแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้หลากหลายและเพิ่มจำนวนมากขึ้นเพราะในยุคปัจจุบันคนไทยนิยมเสพสื่อโซเชียลและหันมาจับจ่ายซื้อของทางออนไลน์กันมากขึ้น ทำให้คนรู้จักมากขึ้น มีสื่อและรายการต่างๆ มาที่สวน นอกจากนี้สินค้าสินค้ากลุ่มน้ำผึ้งได้ถูกวางขายที่ คิงพาวเวอร์ เอมควอเทียร์ เลม่อนฟาร์ม ไร่องุ่นกรานมอนเต้ เขาใหญ่ และไอค่อนสยาม
ธุรกิจของพสุธาราเริ่มจากสิ่งที่คิดว่าดีแล้วขายเพราะเจ้าของธุรกิจเลือกใช้แต่ของที่มีคุณภาพ ซึ่งยึดหลักการทำธุรกิจที่เน้นเรื่องคุณภาพ เมื่อสินค้ามีคุณภาพลูกค้าจะเกิดการบอกต่อกันเอง ย้อนกลับไปในช่วงโควิด-19 ทุกธุรกิจพบเจอกับปัญหาและอุปสรรคที่มาพร้อมกับโรคภัย ในช่วงนั้นแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อโรคเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากเพราะทุกคนจำเป็นต้องใช้ ทางแบรนด์เลยลองโพสต์ขายขวดละ 70 บาท และเป็นจุดเริ่มต้นในการทำแอลกอฮอลล์ขายพร้อมกับได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม เจลและสเปรย์แอลกอฮอลล์ของทางแบรนด์ทำจากเลม่อนของทางสวน
นอกจากจะทำสินค้าแอลกอฮอลล์ขายแล้ว ในช่วงล็อคดาวน์ครั้งที่สองสถานที่ทุกที่ถูกปิดหมด พ่อค้าแม่ค้าขายของไม่ได้ ขนส่งทำงานไม่ได้ คุณอ้อยจึงคิดว่าสามารถแบ่งปันให้คนอื่นได้เพราะที่สวนมีทุกอย่าง มีกินมีใช้ ในขณะที่พ่อค้าแม่ค้าคนอื่นขายของไม่ได้ จึงอยากเป็น “คนกลาง” จ่ายตลาดแทนคนอื่นเพราะคนอื่นๆ ยังมาซื้อของของแบรนด์ได้ จึงเกิดเป็นโครงการ “จ่ายตลาดเพื่อเพื่อนชาว กทม.” เริ่มจาก กทม. เพราะอยู่ใกล้ราชบุรี โดยเริ่มจากการนำพืชผักสดจากไร่และสถานที่ใกล้เคียงบรรจุลงในกล่องกล่องละ 400 บาท พืชผักกว่า 2 หมื่นกิโลกรัม แต่ส่งไปครั้งแรกสินค้าเกิดความเน่าเสียหายเพราะยังไม่มีประสบการณ์ แต่มีนโยบายว่าได้ของก่อนค่อยจ่ายเงิน ถ้าเสียหายไม่ต้องจ่าย แต่ลูกค้าก็สนับสนุนได้เป็นอย่างดีและมีคนรู้จักมากขึ้นเพราะการไลฟ์สดพูดคุยกับลูกค้า
หลังจากนั้นไม่นานก็ได้มีโอกาสไปไลฟ์สดขายสินค้าเฟอร์นิเจอร์ให้กับคนรู้จักเพราะต้องการเงินไปจัดงานศพ คุณอ้อยจึงตัดสินใจช่วยไลฟ์สดที่ร้านภายใน 1 ชั่วโมง ขายได้เงินหลักแสน แต่พอขายได้ก็เกิดคำถามที่ว่า “ส่งยังไง” เพราะสินค้าเฟอร์นิเจอร์เป็นสินค้าที่มีขนาดใหญ่ขนส่งลำบาก แต่ก็สามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้และให้ลูกค้าจ่ายค่าส่งเอง ซึ่งค่าส่งค่อนข้างสูงเพราะสินค้ามีน้ำหนักและขนาดที่มากแต่ลูกค้าก็ยินดีที่จะจ่าย ทำให้เป็นอีกหนึ่งจุดที่มองเห็นโอกาสในการขายของตัวเองด้วยการไลฟ์สด ซึ่งคุณอ้อยบอกว่าเคยไลฟ์สดขายของได้ 1 ล้านบาทภายใน 1 ชั่วโมงรวมสินค้าทั้งหมดของทางแบรนด์ ซึ่งครีมกระปุกละ 4,800 บาทจะเป็นตัวที่ขายดีที่สุด ในปัจจุบันลูกค้าสั่งซื้อผ่านระบบหลังบ้านและคุณอ้อยจะมาไฟล์สดพูดคุยกับลูกค้าสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
วิกฤตครั้งใหญ่ของพสุธาราคือน้ำท่วมสินค้าเสียหายแต่ไม่อยากทิ้งสิ่งที่สร้างมา จึงได้โพสต์ลงในเฟซบุ๊กว่าต้องการหาเงินเพื่อซ่อมแซมร้านและสวนแต่ยังไม่มีสินค้ามาวางขาย จึงได้ไอเดียการขาย “คูปอง” ในราคา 8,000 บาท แต่สามารถแลกของที่ร้านในราคา 10,500 บาท ซึ่งลูกค้าจะได้เพิ่มทั้งหมด 2,500 บาท ปรากฏว่าภายใน 7 วันสามารถขายคูปองได้เงินจำนวน 4,700,000 บาท ซึ่งกลายเป็นความประทับใจและโอกาสในการพัฒนาธุรกิจให้เติบโตได้ เพราะความมั่นใจและเชื่อใจที่ได้จากลูกค้า ปัจจุบันรายได้จากกลุ่มสกินแคร์คิดเป็น 70% ของรายได้สินค้าทั้งหมด
ธุรกิจเติบโตและยืนในตลาดได้เพราะต้องมี “กำไร” การตั้งราคาสินค้าทางแบรนด์มองว่าเป็นราคาที่ลูกค้าสามารถซื้อได้ เพราะสินค้ามีคุณภาพและเป็นสินค้าที่ถูกคิดค้นมาแล้วว่าดีต่อผู้บริโภค กลุ่มลูกค้าของทางแบรนด์จะเป็นลูกค้าที่มีกำลังซื้อและพึงพอใจในคุณภาพของสินค้า นอกจากนี้ทางแบรนด์ยังมีการเปิดบ้านที่พักให้ลูกค้าพักฟรีเป็นช่วงๆ เป็นเวลา 2 ปีที่ผ่านมา เพื่อตอบแทนลูกค้าที่สนับสนุนสินค้าของทางแบรนด์ ปัจจุบันเลม่อนสดมีการนำไปขายบ้างเป็นบางส่วน เพราะส่วนใหญ่จะนำมาแปรรูปโดยมีโรงผลิตเป็นของตัวเอง สินค้าของพสุธารามีอยู่ประมาณ 50-60 SKU
นอกจากนี้สินค้าที่นำมาแปรรูปในปีนี้ทางแบรนด์มีแนวโน้มที่จะขยายไปในทิศทางของการส่งออกไปต่างประเทศและมีหน่วยงานภาครัฐเข้ามาสนับสนุนและผลักดันให้เกิดการส่งออก ซึ่งทางแบรนด์มองว่าตลาดญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกที่จะไปตีตลาด รวมถึงวางแผนไปที่ประเทศจีนด้วย ทั้งนี้พสุธารายังได้คู่คิดทางการเงินจากทางธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธพว. หรือ SME D Bank ที่เข้ามาสนับสนุนสินเชื่อเงินทุนและมีพี่เลี้ยงด้านธุรกิจมาช่วยส่งเสริมธุรกิจให้เกิดการพัฒนาและเติบโตได้
อย่างไรก็ตาม แผนการเติบโตและการต่อยอดในอนาคตทางแบรนด์กำลังวางแผนมีโรงงานเป็นของตัวเองและพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมขยายตลาดเพื่อให้ได้กลุ่มลูกค้าที่หลากหลายและมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาสถานที่สำหรับการขายเพิ่มขึ้น ซึ่งในปีนี้มีการตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 100%
ติดต่อเพิ่มเติม
Facebook : Pasutara พสุธารา
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด* * *