xs
xsm
sm
md
lg

(คลิป) “ไวด์ เฟธ กรุ๊ป” ขนมข้าวอบกรอบ-ไม่มีกลูเตน จากข้าวไทยส่งขายทั่วโลก ตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพ สร้างยอดขายกว่า 1,000 ล้านบาท/ปี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าวไทย ในรูปแบบของสแน็กอบกรอบ ที่เป็นแบรนด์ซึ่งได้รับการยอมรับและส่งขายในต่างประเทศ มีไม่กี่แบรนด์ และหนึ่งในนั้น เป็นผู้ผลิตภายใต้ “บริษัท ไวด์ เฟธ กรุ๊ป จำกัด ผู้นำด้านการผลิตและจัดจำหน่ายขนมข้าวอบกรอบจากข้าวไทย 100% ที่เปิดดำเนินกิจการ มากว่า 23 ปี ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้ส่งออกไปขายในประเทศต่างๆ มากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ประเทศไทย ปีนี้ 2568 เป็นปีแรกที่จะได้นำสินค้าออกวางขายให้คนไทยได้กินกัน อย่างจริงจัง ตามโมเดิร์นเทรด ร้านค้าชั้นนำ


เพิ่มมูลค่าข้าวไทย ส่งขายทั่วโลก

นายโอลิเวอร์ เย้ กรรมการผู้จัดการ ไวด์ เฟธ กรุ๊ป (Wide Faith Group) กล่าวว่า สำหรับที่ผ่านมา ไวด์ เฟธ กรุ๊ป มีกำลังการผลิตประมาณ18,568 ตันต่อปี โดยผลิตสินค้า ในรูปแบบ OEM และ ODM การผลิตตามสูตรของลูกค้า ซึ่งผลิตมามากกว่า 70 รสชาติ รวมถึงการผลิตจำหน่ายภายใต้แบรนด์สินค้าของตัวเอง ภายใต้แบรนด์ RICE CHIPPIES โดยผลิตภัณฑ์แต่ละแบรนด์มีวางจำหน่ายครอบคลุมทั่วโลก อาทิ ภาคตะวันตกของสหรัฐอเมริกา, บราซิล, ยุโรปเหนือ, ฝรั่งเศส, เบลเยียม, แอฟริกาใต้, สหราชอาณาจักร รวมถึงภูมิภาค เอเชียแปซิฟิก เช่น ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, มาเลเซีย, ไต้หวัน และ ฟิลิปปินส์ โดยบริษัทมีแผนขยายตลาดเพิ่มเติมไปยัง แคนาดา, รัสเซีย, แอฟริกา และภูมิภาคอื่น ๆ ซึ่งจากการออกบูธงาน THAIFEX – Anuga Asia 2025 ที่ผ่านมา Wide Faith Group ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากพันธมิตรต่างประเทศ  

ในส่วนแผนงานในปีนี้ เนื่องจาก บริษัทตั้งเป้าเติบโตไม่ต่ำกว่า  20 %  และเพิ่มตลาดโดยขายในประเทศอย่างเต็มตัว และเปิดรับลูกค้ารายใหม่ จากประเทศอื่นๆ รวมถึง ประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้ได้เพิ่มไลน์การผลิตเพิ่มโรงงานแห่งใหม่ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ จ.ชลบุรี การขยายกำลังการผลิตครั้งนี้จะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 18,568 ตันต่อปี และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 40,168 ตันต่อปี


จากพนักงาน รง.บะหมี่ สู่เจ้าของ รง.ขนมอบกรอบ

สำหรับไวด์ เฟธ กรุ๊ป เป็นผู้เชี่ยวชาญในการผลิตขนมข้าวอบกรอบจากข้าวไทย 100% โดยก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2545 ภายใต้แนวคิด “Better for You” จนถึงตอนนี้ ดำเนินกิจการมากว่า 23 ปี  จุดเริ่มต้น มาจาก นายโอลิเวอร์ เย้ ซึ่งเป็นคนสัญชาติไต้หวัน เดิมเป็นแค่พนักงานโรงงานบะหมี่ที่ประเทศจีน เพื่อนชวนออกมาทำขนมอบกรอบ ช่วงแรกไม่ประสบความสำเร็จ ความตั้งใจต้องการจะทำสแน็กเพื่อสุขภาพ สุดท้าย เลือก "ข้าว" เพราะข้าวเป็นอาหารหลัก คนยุคใหม่ไม่มีเวลา ถ้าสามารถนำข้าวมาทำเป็นสแน็กจะเป็นทางเลือกแทนการทานอาหารหลัก ซึ่งกว่าจะได้มาเป็น RICE CHIPPIES ข้าวอบกรอบ ใช้เวลาเป็น 10 ปี กว่าจะลงตัวและทำขายได้ เริ่มจากมาลงทุนโดยเปิดโรงงานเล็กๆ ในประเทศไทยและค่อยเติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้

นายโอลิเวอร์ เย้ กล่าวว่า ปัจจุบัน มีทีมงานประสบการณ์ด้านอุตสาหกรรมอาหารกว่า 30 ปี มาช่วยทำงานด้านการวิจัย และพัฒนาขนมขบเคี้ยวแบบอบที่ไม่ผ่านการทอด พร้อมทั้งใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล โดย บริษัทฯ เริ่มก่อตั้งโรงงานแห่งแรกในปี พ.ศ. 2545 บนพื้นที่ 8 ไร่ และขยายโรงงานแห่งที่สองในปี 2557 บนพื้นที่ 13 ไร่ ทั้งสองโรงงานตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมบางพลี จ.สมุทรปราการ ใช้เงินลงทุนรวม 500 ล้านบาท ต่อมาในปี 2558 บริษัทฯ ได้ลงทุนเพิ่มอีก 800 ล้านบาท เพื่อขยายโรงงานแห่งใหม่ ที่ จ.ชลบุรี 

นอกจากนี้โรงงาน ยังได้รับการรับรองเกรด AA จาก BRCGS เพื่อรับรองมาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพของอาหารที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภค อีกทั้งยังได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 9001:2015 พร้อมทั้งผ่านการทดสอบว่าเป็นผลิตภัณฑ์ปลอดกลูเตน (Gluten Free) ทุกชนิด ได้รับการรับรองมาตรฐานฮาลาล


บรรจุภัณฑ์รีไซเคิล ลดขยะในอนาคต

ทั้งนี้ บริษัทยังส่งเสริมการรีไซเคิลพลาสติกด้วยบรรจุภัณฑ์แบบ Mono Material โดยเปลี่ยนมาใช้พลาสติกชนิดเดียว (PP – Polypropylene) ทั้งหมดในบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้ 100% เพื่อลดการสร้างขยะในอนาคต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดความยั่งยืนของบริษัทในการส่งเสริมการรีไซเคิล และได้รับรางวัล “CSR-DIW CONTINUOUS AWARD 2023” จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม (Department of Industrial Works - DIW) ซึ่งเป็นรางวัลให้แก่สถานประกอบการที่ดำเนินกิจกรรมด้านความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) อย่างต่อเนื่อง ตามมาตรฐานของกรมโรงงานอุตสาหกรรม

ใช้ข้าวไทยกระบวนการผลิต 20,000 ตันต่อปี

นายโอลิเวอร์ กล่าวเสริมว่า กระบวนการผลิตสนับสนุนเกษตรกรไทยผู้ปลูกข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับข้าวไทยสู่สินค้านวัตกรรมการอบแทนการทอดไร้ไขมันทรานส์ ไม่มีกลูเตน ไม่ใส่ผงชูรส แนวทางดังกล่าวไม่เพียงช่วยเสริมศักยภาพการแข่งขันของบริษัทในตลาดโลกเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมสุขภาพของผู้บริโภค และสนับสนุนระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างยั่งยืน ปัจจุบันบริษัทมีแผนที่จะเพิ่มปริมาณการจัดซื้อข้าวจากเดิม 10,000 ตันต่อปี เพิ่มเป็น 20,000 ตันต่อปี หลังจากเปิดสายการผลิตใหม่อย่างเต็มรูปแบบ


ภาพรวมมูลค่าตลาดขนมข้าวไทยทั่วโลก

นายโอลิเวอร์ ยังระบุด้วยว่า ตลาดขนมขบเคี้ยวทั่วโลกคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 341.27 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงปี พ.ศ. 2567 ถึง 2572 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 6.08% โดยในปี 2567 ที่ผ่านมามีค่าเฉลี่ยการบริโภคขนมขบเคี้ยวปริมาณเฉลี่ยต่อคนในตลาดคาดว่าจะอยู่ที่ 5.2 กิโลกรัม และตลาดขนมขบเคี้ยวจากข้าว (Rice snack) ทั่วโลกคาดว่าจะมีมูลค่า 5.48 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2568 โดยตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) มีส่วนสนับสนุนการเติบโตถึง 84% และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) ที่ 4.94% จนถึงปี 2573

ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ขนมอบจากข้าวไทยของ Wide Faith Group มีมูลค่าการตลาดทั่วโลกสูงถึง 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยตลาดหลัก ได้แก่ ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ซึ่งผลิตภัณฑ์ของ Wide Faith Group ครองส่วนแบ่งตลาดในออสเตรเลียถึง 36% หรือคิดเป็นมูลค่า 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากขนาดตลาดรวม 41.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในนิวซีแลนด์ บริษัทฯ ครองส่วนแบ่งตลาด 45% หรือประมาณ 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากขนาดตลาดรวม 11.11 ล้านดอลลาร์สหรัฐ


ปีแรกบุกตลาดประเทศไทยอย่างเต็มตัว
ดึง “นนกุล” พรีเซนเตอร์ คนรุ่นใหม่ใส่ใจสุขภาพ

สำหรับตลาดในประเทศไทย ขนมขบเคี้ยวมีมูลค่ารวมกว่า 40,000 ล้านบาท โดยเฉพาะขนมจากข้าว ซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 2,000 ล้านบาท ด้วยศักยภาพดังกล่าว บริษัทฯ จึงมุ่งเน้นทำตลาดแบรนด์ ไรซ์ บัดดี้ (Rise Buddy) ในประเทศไทย โดยได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ภายใต้แบรนด์ “ไรซ์ บัดดี้ ไรซ์ ชิปปี้ส์ (Rise Buddy Rice Chippies)” อย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี 2567 พร้อมพรีเซนเตอร์คนแรกของแบรนด์ “นนกุล - ชานน สันตินธรกุล” ตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ

โดยผลิตภัณฑ์มีทั้งหมด 6 รสชาติ ได้แก่ ศรีราชา (Sriracha), ชิลลี่แอนด์ไลม์ (Chili&Lime), บาร์บีคิว (BBQ), ซาวร์ครีมแอนด์ออเนียน (Sour Cream & Onion), ซีซอลต์ (Sea Salt) และชีส (Cheese) ขนาด 50 กรัม ราคา 29 บาท โดยจำหน่ายผ่านทาง ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต, ท็อปส์ ฟู้ดฮอลล์, ฟู้ดแลนด์, กูร์เมต์ มาร์เก็ต (เดอะมอลล์) และร้าน Turtle ในสถานี BTS และช่องทางออนไลน์ เช่น Lazada, Shopee, TikTok Shop รวมถึงคาราวานโรดโชว์ รถ Yummy Truck ที่จะส่งมอบความกรอบอร่อยทั่วประเทศ


“อย่างไรก็ตาม การพัฒนาและนวัตกรรม ไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้ บริษัท ยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ ๆ จะถูกนำเสนอและเปิดตัวสู่ตลาดโลกในอีก 5-10 ปีข้างหน้า เพื่อเป็นผู้นำทิศทางของขนมข้าวและทำให้ผู้บริโภคได้สัมผัสความอร่อยอย่างต่อเนื่องกับกลุ่มผลิตภัณฑ์ขนมข้าวของ ไวด์ เฟธ กรุ๊ป” นายโอลิเวอร์กล่าวสรุป.




กำลังโหลดความคิดเห็น