xs
xsm
sm
md
lg

(ชมคลิป) ร้านลับในย่านสะพานหันมานานกว่า 90 ปีเบ๊อิ้วกี่ “น้ำหวานก๊อกน้ำ” แค่เดินผ่านหน้าร้านก็ได้กลิ่นหอมฟุ้ง!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“เราไม่ได้ใหม่ แต่เราใหม่ในยุคปัจจุบันอย่างเงี้ยครับก็รู้สึกว่าลูกค้าให้การตอบรับเกินคาดที่เรามา ของเราก็จะมี 3 กลิ่น เป็นสละ เป็นครีมโซดา และก็มะลิ แต่ก่อนจะขายยุคอากงจะเป็นน้ำอย่างเดียวเลยและก็ไสน้ำแข็งแบบน้ำแข็งไส แล้วก็ปรับเปลี่ยนมาเรื่อยตามยุคสมัย


น้ำหวานกลิ่นสละ กลิ่นครีมโซดา และกลิ่นมะลิ ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์นี้
ยุคผมก็จะมี Slushy มีบ๊วย มีมะนาว เข้ามาเติม ทำเป็นเมนูนมสด สร้างความทรงจำที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์นี้ จริง ๆ ที่สร้างนี่ก็คือต้องบอกว่าเป็นคำที่ลูกค้าบอกเรา คือ “กลิ่น” เราค่อนข้างจะหอมแล้วก็ติดจมูก อย่างผมเงี้ยสัมผัสจริง ๆ ก็คือมาออกอีเว้นต์ใช่ไหมครับ อย่างที่นี่เราก็ ลูกค้าก็มาซื้อซ้ำจนผมจำหน้าได้ ผมมาออกที่นี่สองรอบจากรอบที่แล้วก็ยังตามมาอยู่อะไรแบบนี้ครับ จากห้างนี้ไปห้างโน้นห้างโน้นมาห้างนี้อะไรเงี้ย คือมีการแวะมาตลอดอะไรเงี้ยครับก็เลย อันนี้เป็นสิ่งที่เราดีใจและก็รู้สึกว่าเออเราต้องไปต่อ”

 ณัฐดิฐ มานิกบุตร หรือ เซฟ ทายาทรุ่น 3 เบ๊อิ้วกี่ แบรนด์น้ำหวานเก่าแก่แห่งย่านสะพานหัน(พาหุรัด-สำเพ็ง) ที่แม้ว่าจะเพิ่งเริ่มเข้ามาต่อยอดธุรกิจนี้ได้ยังไม่นานมากนัก ราวสัก 2 ปี แต่ทว่าก็ต่อติดได้ดีทีเดียวสำหรับการทำธุรกิจในยุคปัจจุบัน จากคนรุ่นก่อนสู่คนรุ่นใหม่ แถมน้ำหวานก๊อกน้ำหรือว่าแบรนด์เบ๊อิ้วกี่นี้ก็มีภาษีเดิมมาจากฐาน FC ที่เหนียวแน่นตั้งแต่ในอดีตจนมาถึงยุคนี้ ที่กลายเป็นเหมือนกับเสียงเรียกร้องให้แบรนด์ต้องทำอะไรสักอย่างหลังจากที่ก่อนหน้านี้คุม Theme ในการเป็นร้านลับมาอย่างยาวนานมาก ๆ และแล้ววันนี้เบ๊อิ้วกี่โดยการนำของทายาทรุ่น3 คนรุ่นใหม่ที่อายุเพิ่งจะแตะวัยเลขสามหมาด ๆ จึงมีอะไรที่เชื่อว่าเหล่าบรรดา FC ทั้งเก่าและใหม่ต้องโดนใจอย่างมาก ๆ ทำให้คนเก่าที่คิดถึงก็มีโอกาสเข้าถึงได้ง่ายขึ้นและในขณะที่คนใหม่ ๆ ก็มีโอกาสที่จะเปิดใจยอมรับได้อย่างไม่ยากเย็นเช่นเดียวกัน

สลัซชี่ที่เป็นอีกเมนูช่วยเพิ่มความสดชื่นในการทานน้ำหวานเบ๊อิ้วกี่
กว่า90 ปีตำนานน้ำหวานก๊อกน้ำ แห่งย่านสะพานหัน

จริง ๆ เริ่มต้นจาก “อากง”เขาก็เหมือนคนจีนทั่วไปอพยพมาตามเรือสำเภาแล้วก็ แกนั่งมาแล้วแกก็มาเจอกับอากาศที่ร้อนของเมืองไทยแกก็เลยคิดที่จะขายน้ำหวาน-น้ำแข็งไส อะไรประมาณนี้ แต่ว่าสุดท้ายแล้วมันมาจบที่ “น้ำหวาน” แกก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของการทำน้ำหวานแบรนด์นี้ขึ้นมา ซึ่งเราก็ทำมาประมาณ 90 ปีแล้ว“ก็คือถ้าคนรุ่นเก่าเขาจะรู้จักกันในนาม สะพานหัน ก็ถ้าคนรุ่นใหม่อาจจะได้ยินคำว่าพวก สำเพ็ง พาหุรัด เป็นละแวกนั้นล่ะครับหรือว่า ถ้าแลนด์มาร์กใกล้ ๆ ก็จะเป็นเมก้า สะพานเหล็กตอนนี้ ที่บอกทุกคนก็น่าจะพอรู้จัก” 

ตอนนั้นอากงเขาขายเป็นเหมือนตู้คีออสธรรมดา หน้าบ้านเพื่อนเขา บริเวณนั้นแล้วก็เหมือนกับว่าขายเป็นแบบแผงเล็ก ๆ และก็เอาน้ำมาแล้วก็ชงขาย แต่ก่อนจะขายเป็นแค่น้ำหวานกับน้ำเปล่าอย่างเดียวเลย จะมี 3 รสชาติ (สละ, ครีมโซดา, มะลิ)


“นึกภาพเหมือนคุณลุงไสไม้ใส่น้ำแข็งก้อนเหลี่ยม ๆ กับไม้อย่างเงี้ยครับ ใช่ แล้วก็บด อากงผมก็จะไสอยู่อย่างนั้นครับทั้งวัน ใช่ครับ ก็ในยุคผมก็คงไสไม่ทันแล้วครับ(หัวเราะ) ก็เลยปรับเปลี่ยนมาเป็นเครื่องบดแทน”ทางบ้านผมเล่ามาก็คือเหมือนกับ ขายเป็นเจ้าแรก ๆ และก็ทำขายแต่ก่อนคนก็ต่อคิว แล้วก็ใครที่ไปซื้อของแถวนั้นยังไงก็ต้องแวะ


“เมื่อก่อนลูกค้าจะรู้จักกันในชื่อ เรียก 2 ชื่อก็คือ น้ำหวานเบ๊อิ้วกี่เนี่ยแหละครับ แล้วก็อีกอันหนึ่งก็คือ ตราก๊อกน้ำ(ทำไมต้องเป็นตราก๊อกน้ำ?) เมื่อก่อนครับที่ผมเล่าเรื่องอากงครับทีนี้ ระบบน้ำครับมันจะไม่ได้แบบว่ามีต่อท่อออกมาอะไรเหมือนดี ๆ อะไรเงี้ยครับ อากงเขาต้องไปเอาน้ำที่สะอาดมาใส่ไว้ในแท็งก์ก่อนแล้วก็เพื่อชงขายให้ลูกค้า ทีนี้อากงเขาก็เลยเหมือนดีไซน์เป็นตัวก๊อกน้ำอยู่ที่เคาน์เตอร์ที่เขาขาย(เป็นหัวก๊อกเหล็ก) ใช่เป็นหัวก๊อก ก็คือจะเห็นที่ฉลากขวดน้ำหวานเราครับ แล้วก็ลูกค้าเขาก็จะเรียกว่าอ๋อเดี๋ยวไปกิน “น้ำหวานก๊อกน้ำ” ก่อน เหมือนเรียกประมาณนี้ครับ เรียก “ก๊อกน้ำ” นี่ก่อน เวลาที่อากงจะชงน้ำหวานขายก็จะไปเปิดเอาน้ำจากหัวก๊อกเหล็กอันนี้ แล้วด้วยความผมว่าดีไซน์ของอากงที่ดีไซน์ก๊อกน้ำออกมานั้นน่ะค่อนข้างจะ เป็นเอกลักษณ์นิดหนึ่งค่อนข้างจะสะดุดตาก็เลยกลายเป็น น้ำหวานเบ๊อิ้วกี่ ตราก๊อกน้ำ”



เอกลักษณ์คือ “กลิ่น” ที่ลูกค้าจำได้คุ้นเคยมากับเบ๊อิ้วกี่

ผมว่าเป็นตัวเฉดกลิ่นที่เลือกแล้วกันครับว่า เราอยากให้น้ำหวานเราออกมาความเข้มข้นแบบนี้ กลิ่นแบบนี้ ผมว่าจริง ๆ มันจะอยู่ที่การต้มในหม้อที่เป็นเตาถ่าน ผมว่าก็มีส่วน ก็คือเหมือนกับการเคี่ยวน้ำหวานของกระบวนการที่บ้านผม จะเป็นลักษณะการเคี่ยวที่ใช้เวลาและก็พิถีพิถันนิดหนึ่ง ต้มแบบเตาถ่าน ควันก็จะฟุ้ง อะไรแบบนี้


“พอมาถึงในสมัยของ “แม่” ก็เริ่มเป็นห้องแถวเข้ามา แล้วก็เป็นเก้าอี้ให้ลูกค้านั่งทานได้ เก้าอี้แบบ 5 ตัว 10 ตัวประมาณนี้ครับ ให้ลูกค้าก็นั่งแบบแก้ว แก้วเก็กฮวยร้านยาจีนเมื่อก่อนนี้ ก็ชงแล้วลูกค้าก็นั่งดื่มนั่งทานแวะกันอะไรเงี้ยครับ” ราคาขายตอนสมัยอากงเหมือนผมเคยได้ยินว่า แก้วละไม่ถึงบาทหรือประมาณนี้นะครับผมไม่แน่ใจแต่ว่า ตอนที่ผมเด็ก ๆ โตขึ้นมาผมพอจำได้ว่าเหมือนจะแก้วละ 5 บาท แล้วก็ 10 บาท ประมาณนี้ครับ แล้วก็ปัจจุบันก็อยู่ที่ 25 บาท เริ่มขยับขึ้นมา ทุกวันนี้ก็ยังเปิดขายอยู่แต่ว่าก็จะหยุดทุกวันอาทิตย์


“ของคุณแม่ก็เหมือนกับจะไปเน้นส่งตามร้านที่เป็นคาเฟ่เล็ก ๆ แถวบ้าน หรือแบบร้านอาหารใหญ่ ๆ บางร้านนะครับที่แม่ส่ง หรือว่าตามต่างจังหวัดอย่างเงี้ยคุณแม่เหมือนจะเริ่มส่งเป็น “ขวด” เป็น “ลัง” ไปขายเป็น Sub เขาอย่างเงี้ยครับ เริ่ม ๆ เป็นเล็ก ๆ และก็พัฒนามีโซดาเข้ามามีอะไรเข้ามาอย่างเงี้ยครับ” ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ยังมีส่งอยู่ตามคาเฟ่แถวบ้านบ้าง

ที่มาของ น้ำหวานก๊อกน้ำ
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ต้องเข้ามา เพราะว่า “ลูกค้า” มีการพูดกันถึงน้ำหวานฯ
คือจริง ๆ มันเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้ผมหรือว่าพี่น้องผมเข้ามาจับทำต่อสำหรับตัวนี้ เพราะว่าตอนนั้นผมและก็พี่น้องผมต่างคนก็ยังทำงานกันอยู่ พี่สาว-พี่ชายผม แล้วก็อยู่ดี ๆ มีการพูดถึง(โพสต์น้ำหวาน) แล้วลูกค้าท่านหนึ่งครับเขาไปโพสต์ถึงเราแล้วก็ใต้คอมเมนต์เขา ก็มีคนรีไปอีกเป็น 1,000 คนอย่างเงี้ยครับ ใช่


“ซึ่งทำให้เรารู้สึกว่าเราค่อนข้างจะดีใจ แล้วก็เฮ้ย! มันหยุดไม่ได้นี่หว่าอะไรเงี้ยครับ เหมือนเป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องมาต่ออะไรเงี้ยครับ คือเขาพูดแล้วเขาก็แบบ ทุกคนก็พูดถึงแบรนด์ที่ว่าอยู่ตามเชลท์หรืออะไรแบบนี้ที่คนเห็นนะครับ แล้วก็ของเราไม่ได้ทำอะไรเลยแล้วก็เขาก็ไปโพสต์ภาพและก็คนที่โพสต์ตอบก็แบบ เออเขาเคยทาน เขาเคยไปสำเพ็งเขาแวะทานตลอด เออเขาซื้อกลับบ้านตลอด อะไรแบบนี้ครับ” พอเราเห็นฟีดแบ็คมาแบบนี้แล้ว“จริง ๆ ต้องขอบคุณพี่คนนั้นมากเลยครับ แบบโพสต์แรกครับเหมือนกับเขา “ปลุก” มันทำให้เรารู้สึกว่าแบบ เราต้องมาแล้วต้องเริ่มทำอะไรสักอย่างแล้ว เราต้องไม่นิ่งแล้วอะไรเงี้ยครับ”

สมัยก่อนจะเปิดน้ำจากตรงนี้เพื่อจะชงน้ำหวานให้กับลูกค้า


เพิ่มช่องทางการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ประเดิมด้วยการออกงานอีเว้นต์ตามห้างฯ

ทีนี้ถ้าเป็นตัวของรูปแบบการตลาด ผมเหมือนคิดขึ้นมาว่า เราจะออกในรูปแบบห้างฯ เหมือนอยากให้ลูกค้าได้มาลองชิม เหมือนเป็นการออกมาประกาศว่าเราคือใคร เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เขาจะไม่รู้จักว่ามันจะมีน้ำหวาน “กลิ่นสละ” ในแบรนด์อื่นด้วย“ก็ก้าวแรกก็คือการออกมาออกอีเว้นต์เพื่อประกาศให้ลูกค้าได้เข้าถึงแบรนด์ของเรา แล้วก็ตัวผมจะมองในสเต็ปต่อไปจะเป็นเหมือนเรื่องเกี่ยวกับโปรดักส์ใหม่ ๆ ภายในแบรนด์ของเราเอง โดยไม่ได้ทิ้งหมวดหมู่เครื่องดื่มน้ำหวาน คือเหมือนจะเป็นลักษณะอาจจะเป็น “หญ้าหวาน” เข้ามาเป็น 0% ไม่มีน้ำตาล หรือจะเป็นกลิ่นอื่น ๆ เพิ่มเติมเข้าไปอย่างเงี้ยครับ ให้ลูกค้าได้ลองชิมรสใหม่ ๆ ของผลิตภัณฑ์เรา แล้วก็อาจจะขายเป็นลักษณะของโปรดักที่เป็นขวดน้ำชงพลาสติกอะไรเงี้ยครับ


ของผมเริ่มมีตัวแทนจำหน่ายเข้ามาแล้วครับ เพราะว่าปัจจุบันเราจะมีวางขายอยู่ที่ไปรษณีย์กลาง(บางรัก) ด้วยแล้วก็เริ่ม ๆ ที่จะมีลูกค้ารายใหม่ ๆ เข้ามาเอาไปวางขายที่ต่างจังหวัด อย่างเพิ่งล่าสุดไม่กี่วันก็มีจากจังหวัดนครราชสีมาโทรมาว่าอยากเอาไปวางขายหน้าร้าน รับไปประมาณนี้ครับ ส่วนหนึ่งก็มาจากการออกอีเว้นต์ด้วยแล้วก็เขามาทานแวะมาซื้อของแล้วก็รู้สึกติดใจแล้วก็นำกลับไป

ร้านดั้งเดิมที่ยังเปิดขายอยู่ในย่านพาหุรัดปัจจุบันนี้


กำลังการผลิตตอนนี้เรายังไม่ได้เต็มแก๊ป มันอาจจะตอบไม่ได้ว่าเท่าไหร่เพราะว่า มันเหมือนกับเราผลิตที่เป็นเหมือนถ้าเรามีเดตไลน์สต็อกแล้วเราก็ผลิตต่อ ผลิตต่อ อะไรแบบนี้ครับ“ทำทุกวันครับจากที่ผมมาออกอีเว้นต์แล้ว ลูกค้าตอบรับดี ตอนนี้ก็เริ่มผลิตทุกวันในแบบที่เป็นทั้ง “ขวด” และก็ผลิตมาขายอย่างเงี้ยครับมาชง แต่ว่าตอนนี้เหมือนผมกำลังจะปรับหน่อยบางอย่างเพื่อให้มันดูแบบทันสมัยขึ้น และก็ไวขึ้นหรืออะไรเงี้ยบางอย่างในการผลิตราคาของน้ำหวาน ตั้งแต่ผมจำได้เด็ก ๆ ก็เริ่มต้นตั้งแต่ 50 บาท แล้วก็ไล่มาถึงปัจจุบันจะอยู่ที่ 70 บาท แต่ว่าถ้าเป็นในรูปแบบลูกค้าสั่งเป็น “ลัง” เราก็จะมีราคาเป็นส่งให้ ก็จะต่ำกว่า 70 บาท ถ้ายกลังเราก็ลดให้เลยในเรทหนึ่ง ถ้าเป็นแบบปริมาณที่มากขึ้นก็จะไปอีกเรทหนึ่ง เป็นเหมือนขั้นบันไดลงไป แต่ว่ามันก็จะมีลิมิตอยู่หมายถึงว่าสุดได้แค่นี้




ข้อดีของธุรกิจนี้คือ ไม่มีคู่แข่ง ที่ต้องแข่งก็คือ “แข่งกับตัวเอง” มากกว่า

ตอนนี้ผมมองแต่ตัวผมเองก่อนคือ เบ๊อิ้วกี่อย่างเดียวเลย คือผมมองแค่ว่า เราดีพอหรือยัง เรามีตรงไหนที่เราเป็นรูรั่วเราอยู่อะไรอย่างเงี้ยครับ เรามองว่าเราจะทำของเราให้มันแข็งก่อนแบบปิดรูรั่วให้หมด ข้อผิดพลาดต่าง ๆ ผมก็เลยตอนนี้เรายังไม่ได้มองถึงคู่แข่งเราหรืออะไรเท่าไหร่ เพราะว่าเรารู้สึกว่าเราอยากทำของเราให้มันนิ่ง แน่นก่อน แล้วก็ทำตัวเองให้ดี แล้วก็ค่อยลงไปอีกสเต็ปต่อไปว่าจะเป็นยังไง


“ตอนนี้แข่งกับตัวเองก่อน แล้วก็ทำให้ทุกอย่างเรามันนิ่งก่อนตอนนี้มันเหมือนบางสิ่งบางอย่างเรายังไม่ solid ขนาดนั้นน่ะครับ แบบด้วยความว่ามันเป็นโฮมเมดกึ่งแบบโรงงานอย่างเยครับ มันก็จะมีความแบบที่ว่ารูปแบบเก่า ๆ อยู่บ้าง” แล้วก็ช่องทางการตลาดกำลังจะเริ่มก็คืออย่างที่บอก เราเริ่มออกมาออกบูธเหมือนเราลองเริ่ม ๆ ดูว่า รูปแบบการตลาดเราจะไปได้อีกไหมอะไรแบบนี้“ยังไม่เคย เท่าที่ผมเจอยังไม่เคยเจอว่า “ยอดขาย” ตกหรือว่าเงียบไปเลย ถ้าในยุคโควิดฯ คือผมมองว่าเรายังได้ลูกค้าที่สั่งเป็นขวดกลับบ้านไปทานอะไรเงี้ยครับ คือถามว่ามีตกไหม? ถ้าโควิดฯ คือหน้าร้านเราก็ตกอยู่แล้วแต่ทีนี้ก็คือ มันจะมีตัวขวดที่เพิ่มขึ้นมาช่วยเราไว้” เพราะว่าลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำค่อนข้างเยอะครับ


การมาออกอีเวนต์เหมือนพอเราไปออกที่หนึ่งก็คนก็มาเชิญให้เราไปออก เชิญเราไปเลี้ยงที่ออฟฟิศ ก็มีไปทุกรูปแบบ งานบวช อะไรก็มีไปหมดเลยครับทุกรูปแบบเลย“ผมมองว่าอันแรกเป็นเรื่องของความ วินเทจด้วยครับ ซึ่งผมยังใช้รูปแบบเดิม ๆ แล้วก็น้ำแข็งก็ยังเป็นน้ำแข็งไสเดิม ๆ แล้วก็อีกเรื่องหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าทำให้ลูกค้าประทับใจก็คือ เราใช้ของทุกอย่าง “แท้หมด” อย่างมะนาวก็แท้ น้ำผึ้งก็แท้ อะไรเงี้ยครับน้ำเชื่อมเราก็ต้มเอง ใช่ครับ เลยมองว่าเป็นความเขาเรียกว่าอะไร ไม่หลอกลูกค้า แล้วก็เราปรับตามลูกค้าได้อะไรเงี้ยครับ ก็เลยอาจจะมองว่าเป็นสิ่งที่ลูกค้าประทับใจ” ส่วนยอดขายถ้าอย่างที่นี่(ซีคอน ศรีนครินทร์) ก็วันละประมาณ 400-500 แก้ว แต่ว่ามันก็มีบางอีเว้นต์ที่บ้งอยู่บ้างก็มี บางทีมันก็มีบ้งบ้าง อาจจะด้วยบางทีไปงานที่ Theme ไม่ค่อยจะเกี่ยวกับสินค้าของเราด้วย ซึ่งเรื่องนี้สำคัญมาก และก็บางที “มุม” ในงานด้วยบางทีเราไปอยู่ในมุมแบบหลืบก็จบเลย




เป้าหมายต่อไป...

คุณเซฟ-ณัฐดิฐ มานิกบุตร ทายาทรุ่น 3 เบ๊อิ้วกี่ ยังบอกด้วย เราอยากขายน้ำหวานเป็นขวดแบบก็ส่งไปทั่วประเทศหรืออะไรแบบนี้ครับ เป้าที่เราอยากได้ แล้วก็เหมือนเป็นสแตนอโลนคาเฟ่ของเราเองอะไรแบบนี้ครับที่ว่าอยากทำเป็นร้านประจำ“เป้าใหญ่ก็อยากให้ทุกคนได้รู้จักน้ำหวานและเข้ามาใช้บริการในตัวน้ำหวานเราอะไรเงี้ยครับ เอาไปทำขาย ไปทำกินเองที่บ้าน”ส่วนเรื่องของ “แฟรนไชส์” ตอนนี้ยังไม่ได้มองถึงเลยครับ เรามองว่าเราอยากทำเองครอบคลุมก่อน ผมยังค่อนข้าง “เขี้ยว” กับมาตรฐานอย่างที่บอกก็คือ ผมอยากควบคุมด้วยตัวเองก่อนจะได้รู้ว่า มันต้องเป๊ะก่อน ผมไม่อยากให้ลูกค้าเกิดเหตุการณ์ที่ว่าไปร้านนี้แล้วอร่อย แบบคืออาจจะมีอร่อยเหมือนกันแต่มันไม่เหมือนกันอย่างเงี้ย ผมแบบไม่อยาก อยากให้ทุกแก้วคือต้องเหมือนกัน“อยากจะเหมือนกับไปวางอยู่ในมินิมาร์ททุกร้าน หรือไปอยู่ตามแบบเชลท์ต่าง ๆ ตามอาจจะเป็นสถานที่หลัก ๆ อะไรอย่างเงี้ยครับที่ว่ามีน้ำเราให้ทุกคนได้แวะทานได้แวะชิม แต่อันนี้มันเป็นภาพไกล ๆ หน่อยนะครับ”

เป็นสิ่งที่เราพูดได้เต็มปากว่า นี่คือโปรดักของครอบครัวเรา ก็รู้สึกและก็ดีใจที่สุดท้ายก็ไม่ได้ทิ้งกันไป ไม่ได้ทิ้งตัวโปรดักน้ำหวานนี้ไป ก็ตัวผมเองเป็นคนที่เหมือนที่บ้านวางให้มาจับเป็นหลักตอนนี้ครับก็อยากบอกที่บ้านเหมือนกันว่า จะตั้งใจทำให้ดีครับ แล้วก็จะสู้ให้สุด“ก็ขอบคุณทุกคนเลยครับ แบบที่เข้ามาใช้บริการน้ำหวานเราหรือแบบให้ผมได้ชงน้ำให้ทุกท่านได้ทานอะไรเงี้ยครับ อย่างน้อยก็เราก็อาจจะเป็นน้ำหวานที่ท่านประทับใจหรือเป็นน้ำหวานสำหรับแก้กระหายท่าน ณ เวลานั้น ก็ขอบคุณทุกท่านมาก ๆ และก็อยากเชิญชวนให้ท่านกลับมาทานซ้ำนะครับเราก็จะพัฒนาไปเรื่อย ๆ ในโปรดักของเราในคุณภาพของเรา
ให้มันดีขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอนครับ ขอบคุณครับ”




ร้านลับในย่านสะพานหันมานานกว่า 90 ปีเบ๊อิ้วกี่ “น้ำหวานก๊อกน้ำ” แค่เดินผ่านหน้าร้านก็ได้กลิ่นหอมฟุ้ง! ขอบคุณทายาทรุ่น 3 เบ๊อิ้วกี่ คุณเซฟ-ณัฐดิฐ มานิกบุตร ที่มาร่วมแชร์เรื่องราวแห่งความเป็นตำนานของแบรนด์น้ำหวานเก่าแก่จากสะพานหันที่ ณ วันนี้ก็ยังคงยืนหยัดอย่างแข็งแกร่งควบคู่มากับกาลเวลา และกำลังก้าวเข้าสู่ตลาดยุคใหม่ภายใต้การนำของคนรุ่นใหม่ที่ได้เข้ามาเพื่อปรับเปลี่ยนให้ทุกอย่างมันไปได้อย่างสมูทมากขึ้น ข้อดีคือแบรนด์นี้ที่ค่อนข้างมีฐานของแฟนคลับเดิมอยู่อย่างเหนียวแน่นและการจะก้าวไปสู่ลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ยากอีกต่อไป สามารถติดตามหรือสนใจอยากจะชิมรสชาติความหอมหวานของน้ำหวานเบ๊อิ้วกี่ ตราก๊อกน้ำ พบกับร้านได้ตามงานอีเว้นต์ใหญ่ ๆ ในห้างฯ หรือจะสะดวกไปเดินเที่ยวในย่านสำเพ็ง พาหุรัด ก็ไปแวะที่ร้านต้นตำรับได้ สอบถามเพิ่มเติม โทร.081-772-8797 ไอจี: beh.eiw.ki_syrup ขอบคุณ : ศูนย์การค้า ซีคอน ศรีนครินทร์

คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด


กำลังโหลดความคิดเห็น