ธุรกิจที่พักและฟาร์มโชว์แกะเจ้าดังในสวนผึ้ง จ.ราชบุรี อย่าง The Scenery Vintage Farm ดำเนินธุรกิจมาแล้วกว่า 20 ปี เริ่มต้นจากความชื่นชอบที่ดินจนต่อยอดเป็นฟาร์มขนาดใหญ่พร้อมกิจกรรมมากมายรองรับผู้ที่มาพัก โดยมีหลักในการทำธุรกิจคือ “ทุกอย่างทำได้และดีขึ้นเสมอ” เป็นที่นิยมในกลุ่มลูกค้าและกลับมาใช้บริการซ้ำอย่างต่อเนื่อง 3 ปีที่ผ่านมาฟันรายได้ปีละ 80 ล้านบาท กำไรโต 15-20% ตั้งเป้ารายได้ให้ถึง 100 ล้านบาท
ดวงกมล ชุติมันต์ กรรมการบริหาร The Scenery Vintage Farm เล่าว่า ธุรกิจเริ่มมาได้ประมาณ 20 ปี โดยในช่วงแรกเริ่มจากการเจอที่ดินที่ชื่นชอบ โดยเดิมทีเป็นที่ดินของคนอื่นที่ทำการเกษตรอย่างปลูกต้นหอมขาย ทำให้คุณดวงกมลสนใจร่วมทำธุรกิจด้วย จึงเจรจาและได้เป็นเจ้าของธุรกิจร่วมกับเจ้าของเดิมเพราะต้องการเป็นเกษตรกรในช่วงนั้น โดยร่วมลงทุนกับเจ้าของที่และได้กำไรมาประมาณหลักแสนบาทในรอบแรก แต่รอบสองกลับขาดทุนหลักแสนเช่นเดียวกัน ส่งผลให้รอบต่อไปขาดทุนอย่างต่อเนื่องเพราะดินและน้ำมีปัญหาบวกกับไม่ได้เข้ามาดูแลเองด้วยจึงส่งผลให้ขาดผลผลิตและขาดทุนในที่สุด ทำให้ต้องพักโครงการดังกล่าวไปก่อน
หลังจากล้มเลิกการปลูกต้นหอมขายไปแล้วแต่ยังมีความต้องการที่จะอาศัยอยู่ที่สวนผึ้ง จ.ราชบุรี ทำให้คุณดวงกมลหันมาสร้างบ้านเพื่อที่จะอาศัยอยู่เอง แต่ก็ไม่มีประสบการณ์ในการสร้างบ้านเช่นเดียวกับประสบการณ์การปลูกต้นหอมขายเนื่องจากในตอนนั้นอายุประมาณ 21 ปี หลังจากสร้างบ้านเสร็จผลปรากฎว่าบ้านเกิดความเสียหายแตกเป็นสองซีกเนื่องจากไม่ได้มีการวางแผนหรือจัดการในส่วนที่สมควรทำในการสร้างบ้าน ผลที่ได้ก็คือความพัง แต่ก็ไม่ย่อท้อเริ่มใหม่ด้วยการสร้างบ้านสไตล์บ้านดิน ผลคือสามารถอยู่อาศัยได้ หลังจากนั้นก็เริ่มชวนเพื่อนมาพักและได้ฟีดแบกที่ดีกลับมา จึงคิดว่าคนน่าจะชื่นชอบบ้านดินปูนปั้นที่อยู่ในป่า กลายเป็นโมเดลบ้านทั้งหมด 3 หลัง ลูกค้าจองล่วงหน้า 6 เดือน ปัจจุบันมีทั้งหมด 9 หลัง 10 ห้อง ส่วนที่พักที่เป็นสไตล์โรงแรมทั่วไปมีทั้งหมด 16 ห้อง
ย้อนไปเมื่อ 10 ปีที่แล้วหลังจากมีบ้าน คุณดวงกมลรู้สึกว่าธุรกิจมีแค่บ้านและต้องการให้ธุรกิจมีสัตว์เข้ามาและให้ความรู้สึกว่าเป็นบ้านในชนบทที่มีสัตว์เลี้ยง เริ่มแรกจึงได้ซื้อกับคนในละแวกบ้านมาก่อน 2 ตัว และทำการอาบน้ำยีขนให้สวยน่ารักเหมือนตุ๊กตา หลังจากนั้นก็เริ่มเอามาให้เพื่อนที่มาพักดู จากนั้นก็เพิ่มมาเป็น 10 ตัว ปรากฎว่าลูกค้าชื่นชอบ ทำให้มีคนสนใจและเริ่มพูดถึงมากขึ้น จึงทำให้พัฒนาจากที่พักเป็นฟาร์มแกะขึ้นมา
หลังจากนั้นได้นำเข้าแกะสายพันธุ์จากต่างประเทศเข้ามาซึ่งเป็นสายพันธุ์แกะตัวใหญ่ พร้อมกับโชว์หมาต้อนแกะเข้ามาอยู่ในฟาร์ม ซึ่งคุณดวงกมลบอกว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากมากสำหรับโชว์หมาต้อนแกะ แต่ทางฟาร์มสามารถนำมาเป็นโชว์เพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้กับลูกค้าที่เข้ามาพักและสนใจมาดูโชว์ ซึ่งนอกจากโชว์ที่ทางต้นแบบสอนมาก็มีการเพิ่มโชว์ที่คิดค้นขึ้นมาเองอีกด้วย ถือเป็นกิจกรรมที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าได้เป็นอย่างดี
ปัจจุบันพื้นที่ฟาร์มมีทั้งหมด 37 ไร่ และห่างจากฟาร์มไปอีก 2 กิโลเมตร มีพื้นที่อีกประมาณ 120 ไร่เพื่อปลูกหญ้าสำหรับแกะและสัตว์อื่นในฟาร์ม ปัจจุบันมีแกะอยู่ประมาณ 300 ตัว และสัตว์อื่นๆ อีกรวมทั้งหมด 400 ตัว นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่น เช่น ขับ ATV พร้อมกับสนามทดลองรถยนต์ เพื่อหารายได้อีกหนึ่งช่องทางและเพื่อให้ตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาพักและได้ทำกิจกรรมที่สนุกสนานไปพร้อมกับการพักผ่อน
ความยากง่ายในการทำธุรกิจที่พักและฟาร์มทางเจ้าของธุรกิจมองว่าบุคลากรเป็นเรื่องที่ต้องพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งพนักงานของทางฟาร์มไม่ได้จบการโรงแรมมาโดยตรง รวมทั้งเจ้าของฟาร์มเองด้วย แต่การบริการต่างๆ คุณดวงกมลเป็นคนเทรนด์เองทั้งหมดเพราะก็เคยเป็นลูกค้ามาก่อน เพราะฉะนั้นจึงมีความต้องการให้พนักงานบริการลูกค้าให้ได้มาตรฐานและมีคุณภาพที่สุด สิ่งสำคัญเลยก็คือต้องดูแลจัดการเองเอาตัวเองลงไปดูด้วยตัวเองเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด
รวมถึงที่พักและสถานที่ต่างๆ ภายในฟาร์มต้องมีการพัฒนาและปรับปรุงตลอดเวลาเพราะต้องการให้ลูกค้าที่มาพักผ่อนได้รับบรรยากาศและสถานที่ที่สดใหม่ตลอดเวลา ทั้งนี้ลูกค้าที่เข้ามาพักจะมีแตกต่างกันไป เช่น มาพักผ่อนโซนที่พัก โซนท่องเที่ยว และทำกิจกรรมแบบมาเช้าเย็นกลับ ซึ่งลูกค้ามีการกลับมาซ้ำอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับบอกต่อด้วยวิธีปากต่อปากกันออกไป
วิกฤตครั้งใหญ่ของฟาร์มคือเมื่อ 10 ปีที่แล้วร้านอาหารไฟไหม้และไม่ได้ทำประกันเอาไว้ ทำให้กลายเป็นบทเรียนครั้งใหญ่ของทางฟาร์ม หลังจากนั้นเมื่อสร้างร้านขึ้นมาใหม่คุณดวงกมลก็ทำประกันอัคคีภัยเอาไว้ป้องกันการเกิดเหตุการณ์ขึ้นอีก ซึ่งเมื่อโควิด-19 ที่ผ่านมาก็เกิดไฟไหม้ครั้งที่สอง แต่ครั้งนี้ได้ทำประกันเอาไว้จึงโล่งใจในเรื่องค่าใช้จ่ายในช่วงเวลาดังกล่าว ทั้งนี้ยังมีเหตุการณ์โควิด-19 ที่ทุกธุรกิจถูกชัตดาวน์ ทางฟาร์มเองก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน ในช่วงที่ต้องปิดปรับปรุงก็ได้มีการรีโนเวทที่พักและฟาร์มทั้งหมด
นอกจากนี้จุดเด่นของการบริหารงานของเจ้าของฟาร์มคือ “การมองบวก” เพื่อให้ธุรกิจและพนักงานไปด้วยกันได้ มีการวางแผนอย่างชัดเจนกับการทำธุรกิจ ซึ่งข้อเสียคือการที่ไม่ได้เรียนการทำโรงแรมมาโดยตรง อาศัยลองผิดลองถูกและเอาตัวลงไปทำงานจริงจัง จึงทำให้การบริหารงานดำเนินไปได้อย่างดีและได้เรียนรู้ไปพร้อมกับพนักงานอย่างต่อเนื่อง โดยคุณดวงกมลมีคติและแนวคิดในการบริหารงานคือ “ทุกอย่างทำได้และดีขึ้นเสมอ” ทั้งนี้ทุกธุรกิจรวมกันภายในฟาร์มมีกำไรเติบโตขึ้นทุก 15-20% ในทุกๆ ปี ส่วนรายได้อยู่ที่ประมาณ 80 ล้านบาทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งทางฟาร์มตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 100 ล้านบาทต่อปี
ปัจจุบันเริ่มทำการตลาดออนไลน์มากขึ้นเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ ซึ่งแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นสื่อโซเชียลที่เข้าถึงผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี ทางฟาร์มจึงเดินหน้าทำการตลาดออนไลน์มากขึ้น นอกจากนี้ทางฟาร์มยังมีผลิตภัณฑ์จากขนแกะคือ “ตุ๊กตาดีไอวาย” รวมถึงผลิตภัณฑ์จากนมแพะที่วางขายอยู่ในฟาร์มรองรับลูกค้าและนักท่องเที่ยว
อย่างไรก็ตาม “ในยุคที่เศรษฐกิจไม่ดีนัก การทำธุรกิจเราก็ทำเท่าที่เราไหว เท่าที่ควบคุมได้ก่อน ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากการมีทุนเยอะเพราะเราเองก็เริ่มจากทุนน้อยแล้วค่อยๆ ขยาย พอเราเห็นว่าเราทำอะไรแล้วดีและมั่นใจในประสบการณ์นั้นก็จะช่วยเอง ถ้าเราอยู่กับมันแล้วเรามั่นใจค่อยลงทุนไป แต่ทำเท่าที่สามารถควบคุมได้ก่อนค่ะ” คุณดวงกมล ระบุ
ติดต่อเพิ่มเติม
Facebook : The Scenery Vintage Farm
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด* * *