“ทำไมขนมห้างฯ ถึงสามารถขายได้แพงกว่า ทำไมขนมไทยต้องแบบอยู่ตามงานวัดทำไมถึงขายราคาได้ถูกกว่าทั้ง ๆ ที่วัตถุดิบมันเป็นวัตถุดิบที่ดีมาก ๆ เราคิดว่าเราอยากจะยกระดับตัวขนมไทยให้มันมีความพรีเมียมมากขึ้นและเราก็อยากจะเอามันเข้าห้างฯ”
ท่ามกลางบรรยากาศผู้คนสุดคึกคักเดินชิมเดินช้อปกันขวักไขว่ภายในงานเทศกาลอาหารไทยบริเวณชั้น G โซนด้านหน้ากูร์เมต์ มาร์เก็ต ของสยามพารากอน และเป็นวันแรกของการมาออกบูธที่นี่สำหรับหนุ่ม ๆ เจ้าของแบรนด์ “Tawad ขนมถังทอง” โดยมี “ต่อ-อภิวัฒน์ นาวีเรืองรัตน์” และ “ปุ๊ย-ปวัน สุขศิริวงษ์” เป็นตัวแทนเพื่อนทั้ง 4 คนในการรับหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ
“ขนมของเรามันเป็นขนมที่มีคาแรคเตอร์ที่โดดเด่น เป็นอาหารไทยชนิดหนึ่งที่อร่อยแต่ว่าถูกลืมเลือนจากวัยรุ่น เราก็เลยคิดว่าขนมนี้มันน่าจะแบบว่าสามารถสร้างตลาดและมูลค่าเพิ่มได้ก็เลย หยิบยกขนมนี้ขึ้นมาทำ Branding ใหม่โดยใช้ชื่อว่า Tawad ขนมถังทอง”
ถังแตกภาพจำของมัน ความหมายมันอาจจะไม่ได้ดีขนาดนั้น เป็นขนมที่โดนบูลลี่ ทั้ง ๆ ที่มันเป็นขนมที่ดีเราก็เลยรู้สึกว่า อยากเปลี่ยนชื่อมัน เป็นถังทอง ซึ่งถังทองพอเราใส่คำว่า “ทอง” เข้าไปเพื่อที่จะให้มันมี Value มากขึ้น ให้คนกินรู้สึกว่าลบภาพ Negative จากถังแตกออกไปจะได้รวยกันทั้งคนกินทั้งคนขาย
“ยอดก็เป็นหลักแสนครับเปิดมาเดือนแรกก็เป็นหลักแสน (แสนบาท) อยู่แล้ว แต่คืออย่างที่บอกครับเราไม่สามารถวัดความแน่นอนจากยอดตรงนี้ได้ ณ ตอนนี้ เพราะว่าในช่วงเดือนแรก ๆ ของการเปิดธุรกิจมันมาจากคนรู้จักเป็นส่วนใหญ่แต่ก็เกิน เกินที่คาดหวังไว้เหมือนกันแต่ว่าเราพยายามจะทำให้ได้ไปไกลกว่านี้มาก ๆ ครับ”
จาก “ถังแตก” ขนมโบราณสู่การตีความใหม่โดยคนในวัย “Gen Z”
โดยปุ๊ยเล่าว่า จุดเริ่มต้นคือมาจากเพื่อนคนหนึ่งชื่อ “จิมมี่”(ประพัทธ์) เขาเป็นคนที่ชอบทานขนมนี้มาก เขาชอบทานมาตั้งแต่ช่วงมัธยมแล้วจนถึงมหาวิทยาลัย จนถึงจุด ๆ หนึ่งเขารู้สึกว่าขนมตัวนี้มันไปต่อได้ ทำไมเขาถึงต้องทานขนมนี้แค่แบบในงานปกติข้างถนนเขาเลยรู้สึกว่า เขาอยากรวมทีม ๆ หนึ่งที่อยากจะยกระดับตัวขนมไทยนี้เอามาขึ้นห้างฯ ให้ได้ ก็เลยเริ่มทักจากหลาย ๆ คนมาตอนแรกเริ่มทักจากคนที่ชื่อ “ปั้น”(ไปรเทพ) มาก่อนที่แบบสนิทมากที่สุด
“คืออย่างเท้าความก่อนว่า 4 คนนี้ เป็นเพื่อนมัธยมฯ(โรงเรียนเซนต์คาเบรียล) กันหมดเลยและก็สนิทกันมาก ๆ ทีนี้เราก็จะดึงมาโอเคฟอร์มทีมกัน4 คน แล้วแต่ละคนก็จะมีความสามารถที่แตกต่างกันในแต่ละอย่าง อย่าง “ต่อ”ความสามารถเด่นของเขาเลยก็คือในการทำคอนเทนต์ ในการพูดตอบคำถามคุยกับสื่อ มีเดียเอนเกจเมนต์ ต่าง ๆ อย่างของผมก็จะดูเรื่องเป็นหลังบ้านดูเรื่องการเงินเป็นหลักว่า เราต้องคำนวณต้นทุนยังไง มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง แคสโฟลด์ปัจจุบันเป็นอย่างไร ปั้นก็จะเป็นคนดูเรื่องโอเปอเรชั่นทุก ๆ อย่าง จิมมี่ก็จะเป็นคนที่คอยคุยกับที่หรือว่าเป็นเรื่องของสัญญาหรืออะไรต่าง ๆ ประมาณนี้ครับ”
ขณะที่ต่อก็บอกด้วย นี่เป็นการมาออกบูธครั้งแรกของพวกเราขนมของเรานะครับ ขนมถังทองหรือว่าคนไทยดั้งเดิมจะรู้จักในนาม “ขนมถังแตก” เราก็เล็งเห็นว่าขนมนี้มันเป็นขนมที่ค่อนข้างมีคาแรคเตอร์ที่โดดเด่นเป็นอาหารไทยชนิดหนึ่งที่อร่อยแต่ว่าถูกลืมเลือนจากวัยรุ่นเราก็เลยคิดว่า ขนมนี้มันน่าจะแบบว่าสร้างตลาดและมูลค่าเพิ่มได้ก็เลยหยิบยกขนมนี้ขึ้นมา ทำ Branding ใหม่โดยใช้ชื่อว่า ตวัด : ขนมถังทอง
“คือจริง ๆ แล้วต้องเท้าความก่อนว่าขนมตวัดถังทองเราเนี่ยจริง ๆ มันคือขนมถังแตก ซึ่งความหมายของคำว่าถังแตกเนี่ยมันอาจจะไม่ดี เป็นการด้อยค่าขนมที่เราคิดว่ามันเป็นภูมิปัญญาของคนไทยเนาะที่รังสรรค์ขึ้นมา การที่เราเปลี่ยนให้มันกลายเป็นขนมแกลมเนี่ยอาจจะเชิญชวนให้ ลูกค้าวัยรุ่นหรือว่าบุคคลที่อาจจะไม่รู้จักขนมไทยชนิดนี้ เข้ามาสนใจได้มากยิ่งขึ้นด้วย”
เรากล้าพูดได้เลยว่าขนมถังทองหรือถังแตกเนี่ยไม่เคยมี ใครเอามันขึ้นห้างฯ เพราะว่าอาจจะมองว่ามันเป็นแบบภาพลักษณ์ที่แบบว่าถังแตกดูไม่แบบ ราคาถูกอยู่ตามตลาดนัด แต่จริง ๆ แล้วด้วยวัตถุดิบและคุณภาพที่เราคัดสรรมา มันค่อนข้างกล้าพูดเลยว่ามันดีจริง ๆ พรีเมียมมากครับ
สร้างการรู้จักร้านเปิดใหม่ ใช้คอนเทนต์สื่อสารตรง “กลุ่มเป้าหมาย”
ที่มาของชื่อแบรนด์ว่า Tawad (ตวัด) คือมาจากกริยาในการทำขนม ก็คือการตวัดแป้งลงไปในหลุม(เป็นการตวัดข้อมือ1 ที) ซึ่งมันเป็นเอกลักษณ์ของขนมนี้
“ต้องเท้าความก่อนว่าทุกคนน่ะมีอาชีพหลักแตกต่างกันไป แต่อันนี้เรามี Passion เดียวกันว่าเราอยากเป็นเจ้าของธุรกิจ ซึ่งคือเราอาจจะเริ่มจากจุดเล็ก ๆ ตรงนี้ก่อนอะไรอย่างเงี้ยครับ”หลังจากเรียนจบกันมาประมาณ 2 ปีแล้ว ธุรกิจนี้เพิ่งเริ่มมาได้แค่ 2 เดือนเองครับ(หัวเราะ)“ก็คือหลัก ๆ เลยปฏิเสธไม่ได้ครับว่าปัจจุบันการที่เราจะทำธุรกิจ ๆ ใดให้มัน success ได้เนี่ยต้องใช้ “สื่อ” เป็นหลัก ซึ่งโดยตัวผมเองน่ะผมก็เรียนสายสื่อสารมาก็เลยแบบเอา skill ที่แบบได้เรียนมาพัฒนาตรงนี้ ให้แบบว่ามันสามารถสื่อไปถึงแบบว่าคนที่แบบไม่รู้จักให้ได้มากที่สุด แต่คอนเทนต์อย่างเดียวจะทำให้ธุรกิจเรายั่งยืนไม่ได้ครับ โปรดักส์เรามีความมั่นใจมากครับว่ามันเป็นขนมที่อร่อย และทุกคนถ้ามาชิมแล้วก็จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อย”
ขณะที่ปุ๊ยก็เสริมด้วยจริง ๆ แล้วสื่อที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดและก็ประหยัดงบได้มากที่สุดก็คงเป็นโซเชียลมีเดียที่เป็นออร์แกนิกคอนเทนต์ โดยเฉพาะเราเนี่ยก็คือเราวางแผนคอนเทนต์ก่อนว่า เราจะลงอะไรบ้าง และเป็นคอนเทนต์ประเภทไหนบ้าง อาจจะเป็นคอนเทนต์ในเชิงของขนม เป็นคอนเทนต์ในเชิงของ founder หรือเป็นคอนเทนต์ที่ตามเทรนด์อยู่ โดยที่มีจุดมุ่งหมายแนวเดียวคือเราอยากให้ลูกค้ารู้จักว่าขนมตัวนี้คืออะไร เราเป็นใคร แบรนดิ้งเราคืออะไร แล้วหลังจากทำทุกอย่าง Marketing ทุกอย่างดีแล้วมันก็จะกลับมาจุดแรกก็คือ Product เรามันดีหรือเปล่า ซึ่งเราใช้เวลากับมันค่อนข้างเยอะ เราคุยกับเยอะมากทั้งเรื่องการแต่งหน้า ทั้งเรื่องการแบบว่าให้ไส้ทั้งหมดกี่กรัม หรืออะไรก็ตามเราละเอียดทุกขั้นตอนจริง ๆ เพราะว่าเราอยากให้ product นี้ถึงมือลูกค้าโดยที่มีคุณภาพจริง ๆ
ยึดทำเลค้าในย่าน “บรรทัดทอง” เป็นแหล่งของสตรีทฟู้ดสุดอินเทรนด์
ก็คือบรรทัดทองมันเป็นถนนของ “สายกิน” เนาะ ปัจจุบันถ้าเกิดเราพูดถึง Street Food ซึ่งเรา Position ขนมของเราเป็นสตรีทฟู้ดตั้งแต่แรก เราก็เลยคิดว่าถ้าเกิดว่ามัน matching กันเราก็ควรจะเลือกทำเลที่ดีที่สุดในช่วงนี้ ก็คือเป็น “บรรทัดทอง” เพราะว่า ทุกคนถ้าว่าจะพูดแบบว่าเออเย็นนี้ไปไหนดี กินอะไรดีบรรทัดทองไหม? เนี่ยก็คือมันครบเลย ทั้งคาวทั้งหวาน การยกระดับในเรื่องของรูปลักษณ์และราคาสำหรับ Tawad ขนมถังทอง
“ในเรื่องของรสชาติก่อนนะครับ ก็คือเรามั่นใจเป็นอย่างแรกว่ารสชาติเราดี สองคือ “คุณภาพ”เราคัดสรรทุกอย่างเป็นของดีหมด พรีเมียมที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อย่างฝอยทองเนี่ยเป็นไข่ล้วนไม่ผสมแป้ง มะพร้าวเนี่ยผ่านกรรมวิธีการทำยากมากถ้าเกิดว่าพลาดนิดเดียวคือเสียเลย! เราก็คือไม่ขาย เออข้าวโพดนะครับชิ้นหนึ่งใส่ข้าวโพดเกือบฝัก ลองนับแพดูได้เลยครับเราให้แพเต็ม ๆ ใหญ่ ๆ ครับ และก็เรื่อง “แป้ง” ด้วยอันนี้สำคัญที่สุดของขนมถังทอง แป้งเนี่ยเราใช้แป้งหมักซึ่งต้องตีสด10 นาที(1 หม้อ) ถ้าเกิดว่าขายไม่หมด ทิ้ง! คือใช้ต่อไม่ได้เพราะว่าขนมเราจะไม่ฟู มันจะไม่บางกรอบครับ(วันต่อวัน) ใช่ครับ และก็สุดท้ายคือเรื่องรูปลักษณ์หน้าตา คือต้องยอมรับว่าปัจจุบันคนมากินขนมอาจจะต้องการในเรื่องคอนเทนต์ด้วย ซึ่งเราชอบเหมือนกัน เราก็เลยส่งเสริมจริตนี้นะครับด้วยการแต่งหน้ามันให้มันดูโมเดิร์นยิ่งขึ้น ให้เข้ากับจริตของวัยรุ่นมากยิ่งขึ้น”
เรื่อง “ราคา” ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่า cost structure ของมันก็จะมี 2 อย่างเนาะ มันก็จะมี cost ของ 1. ตัววัตถุดิบ และ 2. โอเปอเรชั่นต่าง ๆ เช่น ค่าแพคเก็จจิ้ง ค่าคนงาน ค่าที่ ค่ามาร์เก็ตติ้ง ฯลฯ“ซึ่งเราจริง ๆ เรากล้าพูดเลยนะครับว่า กำไรเราไม่มีเลยนะครับ(หัวเราะ) หมายถึงว่า 2 เดือนเนี่ยโอเคเข้าใจแหละช่วงต้นทำธุรกิจอะไรพวกนี้ มันก็ต้องมีอะไรที่เราเสียไปก่อนอะไรประมาณนี้ แต่ว่าการที่เราขายราคานี้เรากล้าพูดว่า มันไม่ได้แพงเกินไป คือมันเป็นอะไรที่เรารู้สึกว่ามันคุ้มค่ากับสิ่งที่ลูกค้าได้แล้วมันก็เหมือนกับว่า ทำให้เรามีกำลังใจในการขายด้วยครับ” ปุ๊ยกล่าว
รู้สึกถึงความพรีเมียมมากกว่า ด้วยวัตถุดิบที่ใช้และไส้ที่ทะลักโดนใจ!
หลัก ๆ ของขนมถังทองเบสิกเลยมันก็จะเป็น มะพร้าวโรยน้ำตาลกับงา แล้วก็ถ้าเกิดว่าเห็นตามท้องตลาดทั่วไปก็จะมีฝอยทองxครีม เราก็มีดัดแปลงจาก “ข้าวโพด” เรามาทำเป็นข้าวโพดเนยแล้วก็มีการทรอสด้านบนเพิ่มความหอมเพิ่มรสชาติ กลิ่นส่งรส รสส่งรสชาติอีกแบบสุดยอดมากครับ
“แล้วก็เราจะมีไส้ seasonal ที่เราพยายามทำเป็นเหมือนว่าจับเทรนด์อย่างตอนนี้มีอะไร ช่วงนี้ก็คือเป็นช่วงหน้าร้อนเนาะที่ “ข้าวเหนียวมะม่วง” ค่อนข้างดังเราก็เลยคิดว่า โอเคเราอาจจะเอาข้าวเหนียวมะม่วงมาใส่ลงไปในขนมนี้ไหม? เราก็ลองทำ R&D ดูแล้วก็ลองเทสต์ดู แล้วสรุปมันก็เวิร์กครับ” ที่แรกที่เดียวในโลก ขนมถังทองไส้ข้าวเหนียวมะม่วง ให้ลองมาทานที่นี่ได้ เราพยายามจะคิดออกมาให้มันทันช่วงฤดูกาลนั้น ๆ
ไส้ตอนนี้มีอยู่ทั้งหมดคือ ดั้งเดิม มีฝอยทอง ข้าวโพด และก็มะพร้าว ส่วนที่เป็นไส้ seasonal เราก็จะเปลี่ยนไปตามเทศกาลต่าง ๆ อย่างที่นี่เรามา Pop-up store ที่สยามพารากอนเราก็มีเมนูพิเศษขายแค่ที่นี่ที่เดียวเป็น ข้าวเหนียวมะม่วง แต่ว่าที่บรรทัดทองเราก็จะมีไส้ seasonal อีกตัวหนึ่งที่ขายแค่ที่โน่นเหมือนกันก็จะเป็น ช็อกโกแลตxมาร์ชแมลโลว์ แล้วก็ช่วงวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมาเราก็มีคิดแบบให้มันเข้ากับช่วงนั้นเราเพิ่งเปิดอาจจะขายได้แบบ แค่ 2-3 วัน เราทำเป็นหน้า red velvet เป็นสตรอเบอรี่เรดเวลเวตก็คือเป็น ขนมถังทองที่ทำจากแป้ง red velvet ด้วย
ยอดขายหลักแสนตั้งแต่เดือนแรก!
ต่อได้พูดถึงยอดขายให้ฟังด้วย ก็เป็นหลักแสนครับ เปิดมาเดือนแรกก็หลักแสน(บาท)อยู่แล้วแต่คือ มันอย่างที่บอกครับเราไม่สามารถวัดแบบความแน่นอนของยอดตรงนี้ได้เพราะว่า ในช่วงเดือนแรก ๆ ของการเปิดธุรกิจมันมาจากคนรู้จักเป็นส่วนใหญ่
“คือถ้าพูดว่ากระแสตอบรับในโซเชียลมีเดียก็ค่อนข้างดีมาก ๆ แบบว่าเราทำคอนเทนต์อะไรไป ก็มีหลายคอนเทนต์ที่ค่อนข้างติดตลาดอะไรเงี้ย กับอีกปัจจัยหนึ่งที่เราอาจจะยังทำได้ไม่ดีก็คือการ converse ลูกค้าสำหรับคนที่แบบสนใจเราในโซเชียลมีเดีย มาซื้อกับเราจริง ๆ อะไรประมาณนี้ มันก็มีเป็นการบ้านให้เราต้องคิด คิดเพื่อว่าเออเราจะทำยังไงคนรู้จักเราแล้วแต่ทำให้คนซื้อยังไง เขา aware เราแล้ว แต่เขาจะ converse มาเป็นลูกค้าเราจริง ๆ เนี่ยทำยังไง” อย่างที่บอกไป Product ต้องมาเป็นอันดับ 1 ครับเราถึงจะมั่นใจว่า ของเราถึงจะขายได้
มี Branding ที่ชัด ปักหมุดการเป็นขนมไทยสุดพรีเมียม
เจ้าของแบรนด์ “Tawad ขนมถังทอง” บอกด้วยว่า 2 เดือนถ้าเกิดว่านับเป็น “โรงเรียน” ก็ถือว่าเป็นโรงเรียนที่ไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลยครับผมเรียนกันทั้งวันทั้งคืน ปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ต่าง ๆ ต้องมานั่งแก้ไข แต่ถามว่าเปรียบเทียบมันเป็นโรงเรียนมันก็เหมือน Partner เรา เรามีเพื่อนเป็นเพื่อนสนิท เราก็เหมือนเราเรียนโรงเรียนเดียวกับเพื่อนสนิท แล้วถามว่าปัญหามันเยอะก็จริงแต่ว่าพวกเราก็คือคุยกันตลอด เรา communicate กันตลอด หรือเกิดปัญหาอะไรขึ้นคนนี้ช่วยได้ คนนี้ช่วยได้ เราพยายามแบบทุกคนต้องมี Founder Mindset ที่แปลว่าทุกคนจะช่วยกันได้“อะไรประมาณนี้ครับ แต่ก็ ทั้งสนุกไปด้วยและก็ลำบากไปด้วยเหนื่อยไปด้วยครับผม” เบื้องต้นตอนนี้เราก็พยายามผลัดกันเข้าที่ร้าน แต่ว่าเราพยายามวางระบบให้ในอนาคตเราสามารถขยายไปได้หลายสาขาโดยที่เราอาจจะแบบไม่ต้องแยกร่างกันไปเองตลอด
“คิดว่าตอนนี้อาจจะไม่ใช่รูปแบบแฟรนไชส์เพราะว่า เรายังรู้สึกว่าเรายังอยากควบคุมทุกอย่างด้วยตัวเองอยู่ ถ้าเกิดมันเป็นระบบแฟรนไชส์หนึ่งคือมันต้องมี System ที่มันชัดเจนมาก ๆ แล้วขนมเราควบคุมค่อนข้างยาก สองก็คือเรื่อง Branding คือบอกตรง ๆ ว่าอาจจะหายากที่แบบคนที่มี 4 คนที่มี Vision เดียวกันที่แบบว่า ไม่ได้ใช่แค่มองแค่เรื่องตัวเงินแต่เป็นเรื่องที่เราอยากยกระดับตัวขนมไทยเนี่ย ให้มันมีความพรีเมียมมากขึ้นจริง ๆ อะไรเงี้ยเราก็เลยรู้สึกว่า เรายังอยากทำด้วยตัวเองก่อน”และก็เราคิดว่ามีศักยภาพพอที่ จะทำให้ขนมของเราเป็น Soft power อย่างหนึ่งของไทยได้ อาจจะทั้งในประเทศและคนต่างชาติจะได้รู้จัก “ขนมถังทอง” มากยิ่งขึ้นต่อไป
แค่เปลี่ยนความหมายทำยอดขายพุ่งหลักแสนต่อเดือน! จากถังแตกขนมโบราณสู่ “ถังทอง” ขนมไทยสุดพรีเมียมกินแล้วร่ำรวย ขอบคุณเจ้าของธุรกิจหนุ่ม ๆ กลุ่มเพื่อนสนิททั้ง 4 คน ต่อ-อภิวัฒน์, ปุ๊ย-ปวัน, ปั้น-ไปรเทพ และจิมมี่-ประพัทธ์ ซึ่งเป็นเจ้าของร่วมก่อตั้งแบรนด์ “Tawad ขนมถังทอง” ที่ให้เกียรติมาร่วมแชร์ไอเดียธุรกิจและส่งต่อแรงบันดาลใจดี ๆ ในครั้งนี้
สามารถแวะไปอุดหนุนร้านเพื่อชิมรสชาติใหม่ ๆ “ขนมถังทอง” สุดแกลม ได้ที่ ถนนบรรทัดทอง(ซอยจุฬา14) หรือติดตามอีเวนต์/ตามผลงานได้ทางโซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์มในชื่อของ “Tawad ขนมถังทอง”
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด* * *