xs
xsm
sm
md
lg

(ชมคลิป) ร้าน CHAO THAI 30 กว่าปีที่สร้างการรู้จัก “อาหารไทย” เปิดเงื่อนไข “กุ๊กไทย” ไปทำงานญี่ปุ่นแบบการันตีรายได้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ดิฉันเองก็มาจากที่ไม่มีอะไรเลยแต่งงานกับแฟนก็คือ salary man ธรรมดาเองเงินเดือนก็ 5-6 หมื่นถามว่า ถ้ามาอยู่แบบไม่ทำงานทำการอะไรเลย มันก็คงใช้ไปหมดเป็นเดือน ๆ หรือก็อาจจะทั้งชีวิตที่ผ่อนบ้าน ก็ได้บ้าน 1 หลัง แต่ว่าเราเห็นช่องทางไงคะ

แคปหมูสูตรการทำมาจากจังหวัดเชียงใใหม่เจ้าอร่อยในตำนาน
แต่ “โอกาส” มันก็ไม่มีหลายครั้งตอนที่ดิฉันมาครั้งแรก โอกาสก็คือว่ามันเยอะมากเพราะว่าคนไทยที่มีวีซ่าน้อยมากแล้วเราเองน่ะมีทั้งวีซ่าแล้วมีทั้งหัวการค้าด้วยมันก็เลยมา mix and match สามารถบินกลับไปเมืองไทยเพื่อจะขนของมาขายทุกอย่างเราทำตั้งแต่ตอนนั้น” คุณแอ๊ด-โสภิต โนมิยามา เจ้าของร้านอาหารไทยในญี่ปุ่นชื่อร้าน “CHAO THAI” ซึ่งเปิดมานานกว่า 35 ปีแล้วปัจจุบันมี 7 สาขากระจายอยู่ตามย่านเศรษฐกิจการค้าที่สำคัญ ๆ อย่างร้านนี้ตั้งอยู่กินซ่าใจกลางมหานครหลวงโตเกียวของประเทศญี่ปุ่น คุณแอ๊ดเล่าให้ฟังอีกว่า พื้นเพเดิมเป็นชาวจังหวัดเชียงใหม่และด้วยความที่เป็นลูกแม่ค้า ทั้งครอบครัวคือตั้งแต่รุ่นปู่ย่ามาแล้วจะประกอบอาชีพค้าขายมาตลอด เราเลยมีความรู้สึกว่าตอนนั้นมาเรามองเห็นโอกาส “เห็นโอกาสในช่วงนั้นว่าเอ๊ะ! ทำไมตรงนี้อันนั้นก็ยังไม่มี อะไรก็ยังไม่มี ทำให้เราคิดถึงตำราที่บ้าน ตำราแรกของเราก็คือ แคปหมู กับแหนม ซึ่งเป็นตำราที่ว่าเราทำเลี้ยงครอบครัวตั้งแต่คุณปู่คุณย่าเลี้ยงเรามา แล้วก็คุณแม่เราก็ทำ แต่ตัวพี่เองยังไม่เคยได้ลงมือทำเองแต่เป็นลูกมือช่วยแม่ตลอด”ก็เริ่มต้นมาจากตรงนั้น ไปเห็นแล้วว่าที่ร้านสโตร์ไทยยังไม่มีเราก็เลยโทรไปถามเขาว่า จะรับของเราไหม ซึ่งเขาก็ถามมาว่าของเราประมาณไหนล่ะ? ก็เลยตอบเขากลับไปว่าของเราอร่อยแน่นอน! บอกอย่างมั่นใจหลังจากนั้นก็กลับมาทำ โดยสูตรทุกอย่างจะใช้วิธีการโทรกลับมาถาม “แม่” ว่าอะไรต้องใส่เท่าไรทำยังไงบ้าง ทำเสร็จอีกวันหนึ่งก็เอาไปส่งกับแฟนให้ร้านสโตร์ไทยที่อยู่แถวชินจูกุ

แหนมหมู
“ซึ่งตอนนั้นร้านสโตร์ไทยในชินจูกุมีอยู่ร้านเดียวเองค่ะ ชื่อร้านไทยสโตร์ พอไปส่งปุ๊บเนี่ยสามีนั่งแยกคนละมุมเลยปล่อยให้เราคุยพรีเซ้นต์อาหารเรากับเจ้าของร้านเองพอเขาซื้อเราหมดเราลงบันไดมาแฟนบอกหูย! ฉันนี่โล่งใจมากเลยฉันกลัวเขาไม่ซื้อของเธอ ถ้าเขาไม่ซื้อของเธอเนี่ยเท่ากับว่าฉันต้องมากินเองอะไรอย่างเงี้ยค่ะก็เลย หลังจากนั้นแล้วพอเราไปวางตลาดปุ๊บโอ้โห! ตอบรับดีมากทุกคนบอกทำไมอร่อยอย่างนี้ แล้วแคปหมูก็ไม่มีเราก็หัวใสแล้วว่าแคปหมูเนี่ยบ้านเราทำอยู่แล้ว”ไปหาหนังหมูจากโออิโนะมาแล้วก็มาทำขายพอหลังจากนั้นก็เลยปากต่อปาก ร้านสโตร์ที่ชินจูกุมีร้านสโตร์ใกล้เคียงไม่มีร้านแถวโยโกฮามาไม่มี ทุกคนก็ติดต่อเข้ามาว่าอยากซื้อ เราก็เลยผลิตเพื่อส่งให้กับทางร้านทำอย่างนี้อยู่ประมาณ1 ปีครึ่งแล้ว เราก็ดูตลาดอยู่ตลอด “พอส่งร้านแต่ละร้านโอ้โหตอนนั้นจากแฟนที่แบบทำงาน “วันจันทร์-ศุกร์” เนาะเราทอดแคปหมูเนี่ยเขาต้องกลับมาช่วยเรา ทั้งทำแคปหมูทั้งหั่นหนังหมู เขาถอดเนคไทออกแล้วหั่นหนังหมูให้ยังเป็นภาพจำอยู่เลยตอนนั้นเราพักบ้านพักของบริษัทก็ไม่ได้สะดวกสบายอะไรมาก แล้วก็เจอกับว่าทำให้ข้างห้องน่ะเหม็น! (หัวเราะ) เพราะเราทอดแคปหมูไงคะ”ปีกว่าที่ส่งตามร้านสโตร์ต่าง ๆ ก็ทำให้เราได้รู้ว่า เรามองเห็นแล้วว่า ร้านอาหารไทยในนี้ไปได้แน่นอนและก็มองตลาดว่า เราอ่านขาดกว่าเขาคือเขาจะเป็นคาราโอเกะกับสโตร์ เรามองว่ามันไม่ใช่ ชีวิตจริงเราต้องทานข้าวแกงคนที่จะดำรงชีพได้ “ก็เลยเปลี่ยนเป็นร้านข้าวแกงทำแนว “ร้านข้าวแกง” เลยค่ะเปิดครั้งแรกครึ่งสโตร์กับครึ่งข้าวแกง กับก๋วยเตี๋ยว พอเราทำปรากฏทุกคนบอกอร่อยอีก! ขายก๋วยเตี๋ยวน้ำตกก๋วยเตี๋ยวเนื้อเปื่อยเราเปิดที่โยโกฮามา” ปรากฏว่าร้านขึ้นชื่อของเมืองโยโกฮามาเลยก็ทำอยู่ตรงนี้มา ทำในลักษณะที่ว่าแฟนก็ยังทำงานบริษัทอยู่ ก็ทำเองและอาศัยว่าจ้างคนนั้นคนนี้มาช่วยบ้างก็อยู่ประมาณเกือบ 10 ปี


กลุ่มลูกค้าแรก ๆ เป็นคนไทยเปลี่ยนใหม่! จับตลาด “คนญี่ปุ่น” ที่ชอบอาหารไทย
เรามองตลาดแล้วว่า “คนไทย” เริ่มน้อยลงตอนนั้นเขากวาดคนไทย เพราะว่าคนไทยมาลักษณะตอนนั้นคือแทบจะไม่มีวีซ่า (คือหนีวีซ่า) เรามองแล้วว่าคือต้องเปลี่ยนตลาดแล้วล่ะ ฉะนั้นจับตลาดที่เป็น “คนญี่ปุ่น” แทนดีกว่า“ซึ่งร้านไทยในญี่ปุ่นตอนนั้นที่สมบูรณ์แบบมีน้อยมาก แล้วต้มยำกุ้งหม้อละ 2000 เยน! สมัยนั้นนะคะ 1500 เยนนี่คือถูกสุด อะไรอย่างเงี้ย เราก็เลยบอกแฟนว่าเธอ เธอออกจากบริษัทมาไหมเธอมาช่วยฉันเนี่ยเราก็จะทำได้ แต่เขาเนี่ยมันเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเขาเพราะตัวเขาเอง คนญี่ปุ่นถ้าเริ่มทำงานก็เริ่มตั้งแต่จบใหม่ ๆ ถ้าออกกลางคันเนี่ยอนาคตตอนนั้นคือ แทบจะขึ้นเลเวลเป็นหัวหน้าเป็นอะไรแล้วถ้าออกมาแล้วจะไม่มีโอกาสเข้าไปเริ่มใหม่ในบริษัทได้แล้ว ก็เลยปลอบใจเขาว่าไม่เป็นไรเราก็พอมีทุน อย่างมากเราก็ทำกันสองคนขาดทุนก็เงินเราที่หามาได้มันก็หมดแค่นั้นเอง อะไรอย่างเงี้ย ก็เลยตัดสินใจออกมา” เปิดร้าน “ชาวไทย” สาขาชิบูยา หลังจากนั้นก็กินซ่า ซึ่งกินซ่าเดิมทีไม่ใช่ร้านนี้เป็นร้านในตึกเก่าของโตชิบาแต่ปิดไปแล้ว แล้วก็มาเปิดคาวาซากิ เปิดโยโกฮามาเปิดอะไรตาม ๆ มา“แล้วก็พอนาน ๆ เข้าระบบของชาวไทยในโยโกฮามาร้านแรกเนี่ย ซึ่งมันเป็นร้านข้าวแกงอะไรก็ต้องปิดตัวลงเพราะว่าอันนั้นมันต้องอาศัยว่า เราต้องลงทุนไปทำเองซึ่งเราต้องอยู่ดูแลลูกค้าอะไรตลอดอย่างเงี้ย เราไม่สามารถจะมอบหมายให้ทำแบบเป็นทีมงานเหมือนระบบร้านอาหารที่ทำอยู่ทุกวันนี้ได้ ก็เลยปิดไปตอนนี้ก็ทำแบบนี้แล้วก็ทำ แคเทอริ่งให้กับสถานทูตและก็หน่วยงานต่าง ๆ งานเลี้ยงต่าง ๆ แล้วก็เป็นปิ่นโต แล้วในช่วงปีนี้น่าจะมีอีก 2 โปรเจคท์ที่จะเปิดนะคะ ซึ่งเป็นปิ่นโตในโยโกฮามาแล้วก็อีกที่หนึ่งก็จะเป็นนาริตะ”

คู่ชีวิตซึ่งเป็นอดีตวิศวกรทำงานอยู่ในบริษัทที่ยอมลาออกมาช่วยกันสร้างธุรกิจร้านอาหารไทย
ของที่ร้านทำขายจะยังคงความเป็น “ไทยแท้” แล้วสูตรอย่างก๋วยเตี๋ยวจะขึ้นชื่อมาก ไส้อั่ว แคปหมู และอีกหลากหลายเมนูเราจะรักษาจากรุ่นสู่รุ่น อย่าง “กุ๊ก” ต่อให้คุณมาจากไหน100 แห่ง100 คน1000 คน มันก็มี100 สูตร1000 สูตรแต่ว่าของเราจะต้องมาเทรนใหม่จากร้านเราเองเท่านั้น ต้องอย่างนี้ ๆ นะ แล้วก็มี “ครัวกลาง” เราจะผลิตทุกอย่างที่ครัวกลางแล้วก็ส่งไปตามร้านต่าง ๆ ที่เป็นร้านสาขาของเรา “แต่ 99% ของเราก็คือเป็นไทยแท้ แล้วก็อย่างข้าวเราก็เน้น “ข้าวไทย” เราจะไม่เลยกับข้าวแบบว่าอาหารไทย แต่ข้าวญี่ปุ่นเรารับไม่ได้ เราเป็นคนไทยน่ะค่ะ อย่างเช่น ต้มยำกุ้งอย่างเงี้ยไปเจอบางร้านใส่แครอทอย่างเงี้ย เราก็ว่ามันไม่ใช่! ของเราจะไม่มีเราจะเน้นมากเรื่องนี้ แล้วจะรุ่นสู่รุ่นอย่างเงี้ยบอกกันว่าไม่ได้! อันไหนไม่ได้คือไม่ได้จะไม่มาแบบว่าเพื่อความสวยงามหรืออะไรเนี่ยเราไม่ให้เลยค่ะ เรารักษาความเป็นไทยมาก” แล้วเดี๋ยวนี้คนญี่ปุ่นทานอาหารไทยเก่งมาก บางคนบอกเลยนะขอเผ็ด เราก็จะมีเมนูให้เลือกว่าพริกกี่เม็ด1 เม็ด, 2 เม็ด, 3 เม็ด ระดับไหนคุณก็เลือก/ชี้มาให้เราเลย แต่โดยรวมก็คือว่าจะไม่เน้นหวาน คนญี่ปุ่นจะไม่เหมือนฝรั่ง ไม่ชอบหวาน ก็คือเป็นออริจินัลไทยแท้ กุ๊กเราก็ apply มาจากเมืองไทยเอง




การตอบโจทย์เรื่อง “ราคา” และหลักในการพิจารณาเลือกทำเลที่ตั้งร้าน
ที่มาของการตั้งชื่อร้าน “CHAO THAI” คือเราอยากสื่อว่า เป็นของคนไทยทุกคนนะ แล้วเรามีทุกอย่างที่เกี่ยวกับไทย พอเป็นชื่อนี้ตั้งแต่เดิมแล้วมันกลายเป็นว่า ลูกค้าติดชื่อนี้แล้วพอเราเปลี่ยนมาสู่ลักษณะของ restaurant ก็ยังใช้ชื่อนี้อยู่“แล้วหลักในการดูส่วนมากอาหารไทยเนี่ย จะเหมาะกับคนวัยรุ่นจนถึงกระทั่งวัยทำงานจะไม่เหมาะกับคนแก่-คนสูงอายุ เพราะว่าอาหารไทยเราเป็นในความรู้สึกคนแก่หรือคนในรุ่นที่จะมองว่ามันมี “รสเผ็ด” ใช่ไหมคะ ฉะนั้นเนี่ยแล้วเราก็จะขายในตัวเมือง อาจจะเพราะว่าอยู่ 2 เมืองนี้มากกว่า อยู่โตเกียวกับคานากาวาอะไรเงี้ยก็เลย หนึ่งเราจะพิจารณาจากใกล้ออฟฟิศ ใกล้สถานีรถไฟ เพราะมันจะได้กลุ่มเป้าหมายเลยเพราะว่าลูกค้าออฟฟิศชอบทานอาหารไทย แล้วก็หลังจากเลิกงานอีก” ถ้าเราได้ร้านที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟก็คือดื่มอะไรก็ได้ แล้วคุณสามารถนั่งรถไฟกลับ เพราะว่ากฎหมายในการขับรถ(ดื่มแล้วขับรถไม่ได้) อันนี้เรื่องสำคัญเลย“เราจะหาแต่ละร้านของเราต้องเป็นย่านธุรกิจหรือใจกลาง อย่างกินซ่านี่คือใจกลางเลย แล้วอย่างชิบูยาอีกเรามีอีก 2 สาขาที่นั่น คาวาซากิเราก็มี 2 แล้วโยโกฮามา ทุกที่ของเราก็คือเส้นของรถไฟเลย” แล้วเป้าหมายของเราก็คือขายให้คนทำงาน ถ้าวันเสาร์-อาทิตย์อย่างบางที่ เสาร์-อาทิตย์เงียบ ๆ นี่แฟนก็จะไม่เลือกเปิดเลย เราจะชอบเสาร์-อาทิตย์ที่มีคนมาช้อปปิ้ง มากิน




การที่จะทำให้ร้านอาหารไทยให้ “คนญี่ปุ่น” มาทานเราต้อง ทำราคาพอ ๆ กับราคาอาหารญี่ปุ่นแต่ก่อนนี้สมัยเปิด 35 ปีก่อนเนี่ย
ในรูปแบบrestaurant แล้วนะคะขายให้คนญี่ปุ่นแล้วเนี่ย เราจะขายแค่ราคา ก๋วยเตี๋ยว 700 เยน เองในสมัยนั้น แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้วค่ะทุกอย่างมันแพง เพิ่มเป็น 1000 เยน ก็ยังถือว่าราคาโอเคอยู่ เพราะว่ากลางวันเราจะเน้นว่าไม่แพง เหมาะกับพนักงานออฟฟิศว่าไม่ต้องห่อข้าวจากบ้านมานะไม่ต้องเป็นภาระในการหิ้วข้าวห่อ ก็มาทานที่นี่ได้ทานของที่ทำให้ใหม่ ๆ แล้วก็ตอนเย็นพอเขาติดใจอาหารกลางวันแล้ว ตอนเย็นก็เหมาะกับสังสรรค์เพื่อนฝูงอะไรอย่างเงี้ย เสาร์-อาทิตย์ก็เหมาะกับครอบครัวมา เราจะพิจารณาในทุก ๆ ด้านประมาณนี้”
การเลือก “สถานที่” ในการตอบโจทย์ ปกติแฟนถ้าได้ “ที่” แล้วแกจะใช้ระยะเวลาในการ survey ด้วยตัวเองเป็นเดือน มานั่งดูแทบจะทั้งวันเลย“เขาจะจับ อย่างญี่ปุ่นเนี่ย real estate ของญี่ปุ่น เขาเสนอที่ให้เราแต่ละที่เนี่ยเขาจะบอกเลยว่า วินาทีนี้ภายใน1 ชั่วโมงมีคนช่วงไหนอะไร เขาจะมีสถิติให้เราดูเลยค่ะ มันก็จะทำให้เราตัดสินใจอะไรได้ง่าย แล้วเราเองก็ต้องมาดูด้วยตาด้วย” ว่าเออชั่วโมงไหนที่คนพลุกพล่านชั่วโมงไหนที่เงียบ แล้ววันหนึ่งมีประมาณกี่คน อะไรแบบนี้


เน้นรสชาติความเป็นไทยแท้ แต่ว่าการแข่งขัน “ร้านอาหารไทย” ก็ดุเดือด!
ของเราอย่างน้อย “กุ๊ก”3 คนต่อ 1 ครัว แล้วก็นอกนั้นก็จะมี ผู้ช่วย ของร้านชาวไทยจะเป็นแบบนี้ คือถ้ากุ๊กมีแค่1 คน อยู่ไม่ได้! ยังไงก็คุมไม่ได้ ตอนนี้ชาวไทยก็จะมีทั้งหมดอยู่ทั้งกุ๊กทั้งวีซ่า work permit ที่ร้านเราทำให้ก็มี 40 กว่าคน “แล้วกุ๊กคือเรา apply
มาจากเมืองไทยตลอดสำหรับเรา ตั้งแต่ทำมา 35 ปีเราไม่เคยรับในนี้ บางทีเราก็เจอขโมยไปอะไรเงี้ยถามว่า เราลำบากไหมเวลาเราเสียคนไป เราก็โอเคเราก็ยอม ยอมที่ว่าจะ apply มาให้ใหม่ แต่ก่อนเรามองเป็นแบบนี้ค่ะเราอยากให้โอกาสคนไทย ที่ว่าอยากมาทำงานต่างประเทศ แล้วมาเจอกับนายจ้างโดยตรง ไม่โดนหลอก ไม่ต้องเสียอะไรที่แบบมากมายขนาดนั้น เสียตามจริงอะไรอย่างเงี้ย ซึ่งมันเป็นอะไรที่มาตกลงกันได้อยู่อะไรอย่างงี้นะคะ”
ส่วนมากกุ๊กจะมีอยู่ 2 แบบ คือ แบบ A : กุ๊กที่ผ่านงานมา 10 ปี กับ แบบ B : กุ๊กผ่านงานมา 5 ปี กรณีแบบ B ถ้าผ่านงานมา 5 ปีต้องสอบใบฯ ของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน มันจะมีใบให้เลย“ซึ่งเดี๋ยวนี้ถ้ากรมพัฒนาฝีมือฯ แต่ละจังหวัดเปิดช้าเนี่ย น้อง ๆ พวกนี้สามารถไปเรียนไปสอบกับ มันจะมีครัววันดีอีกที่หนึ่งนะคะแล้วก็มีเปิดใหม่(โรงเรียน GRACE) ที่เขาได้รับอนุญาตจากกระทรวงแรงงาน เมื่อไปสอบที่เขาก็ได้รับวิทยฐานะเท่ากัน ใบเดียวกัน ก่อนสอบเขาจะอบรมเรา 2 วันอะไรอย่างเงี้ย อันนี้คือของคน 5 ปี แล้วก็มา apply” แต่ตอนนี้มันมามีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการ apply แต่ก่อนใช้เวลาแค่ 3 เดือนอย่างมากก็4 เดือน ถ้าเอกสารไม่สมบูรณ์แบบ แต่เดี๋ยวนี้ปาเข้าไป 8-9 เดือนเพราะว่า immigration ที่นี่ตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา เขาเปิดวีซ่าอย่างอื่นอีกเยอะแยะมากมายเลย ทำให้น่าจะงานของเขาล้น! ขอแต่ละครั้งนี่คือเท่ากับขอปีนี้เผื่อปีหน้าเลย(หัวเราะ) สำหรับการ apply นะ“ฉะนั้นก็เป็นปัญหาเหมือนกันสำหรับการเปิดร้านใหม่ แต่เราอาศัยว่าเราเองก็พอจะมีทีมอยู่ ดึงกันไปดึงกันมาอะไรอย่างเงี้ย ก็คือดึงในทีมเราเองนะคะ ก็จะเปิดก็ยังสู้อยู่ว่าจะเปิดอยู่ค่ะ”




ถ้าพูดถึงว่า มันเยอะ มันเยอะเกินมากเลยล่ะตอนนี้ แต่อาศัยความเป็น “ร้านเก่าแก่” เหมือนกับว่าเราเดินทางนี้แล้ว เราก็อยู่ในกลุ่มที่ทำตั้งแต่ต้น ๆ มันก็ไม่ค่อยยากเท่าไรแล้วสำหรับเรา แต่ถ้าคนใหม่มาตอนนี้ ยอมรับว่ามันยาก! แล้วโอกาสเสี่ยงที่ว่าจะไปต่อหรือว่าจะรอด? มันต้องใช้หลาย ๆ องค์ประกอบจริง ๆ โดยตัวเราเอง “ดึงตัวตนก่อนล่ะ” สองนี่ก็อย่าไปหวังว่า เราได้กุ๊กจาก อันนี้ก็ถือว่าคิดผิด! สำหรับผู้ประกอบการ คุณต้องคิดได้ก่อนที่คุณจะจ้างคนอื่นมา คุณต้องคิดได้เร็วกว่าสเต็ปหนึ่ง ไม่ใช่ว่าหวังไปพึ่งกุ๊กทั้งหมดซึ่งมันมีความเสี่ยงมาก!“ตอนนี้ปัจจุบันก็เจอปัญหา แย่งกุ๊กกันน่ะค่ะ แย่งกันแบบแย่งมาก ๆ เลยค่ะ แบบว่าอย่างเช่นร้านที่อยู่ตัวแล้ว ร้านใหม่เปิดมีความหวังว่าเออฉันไปดึงกุ๊กจากร้านนี้มานะ ฉันก็คงโตได้อะไรอย่างเงี้ย ประมาณนั้น แต่ทางเราไม่เคยรับกุ๊กในนี้ค่ะ”

อาหารเซ็ท สำหรับแนะนำเมนูมื้อกลางวันให้กับคนทำงานออฟฟิศ
เปิด “โอกาส” ให้คนไทยที่มีทักษะอาหารไทย ได้ไปทำงานญี่ปุ่นแบบถูกกฎหมาย
ซึ่งหลาย ๆ ร้านเคยเจอมาแล้วว่า รับคน(กุ๊ก) ในนี้มาแล้วไม่ค่อยน่ารักบางทีก็ ทิ้งกระทะเลยไม่มาทำงานก็มี เราก็เข้าใจเพราะเราเป็นหัวอกเจ้าของร้านเหมือนกัน แต่ของเราถามว่าเจอไหม? ก็เจอ แต่แบบว่าเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อย อย่าง 100 คนก็อาจจะไปสัก 4-5 คน(5%ได้) แต่จริง ๆ เราจะตกลงกันตลอดว่า อยู่กับพี่แล้วนะถ้าไม่อยากอยู่กับพี่ก็ลาออกอย่างเป็นกิจจะลักษณะแล้วก็เคลียร์ตัวเองเลย job ออกประเทศไปแล้วก็มันจะมี บัตรต่างด้าว ถ้าบัตรนั้นคืนให้ ตม.ที่สนามบิน ภาระความรับผิดชอบของทางร้านที่มีต่อคุณก็จบ ทุกอย่างมันก็เคลียร์ “แต่ถ้าอย่างอยู่ในร้านของเรามันจะมีเลยว่า อะไรเกิดขึ้นกับพนักงานนะเราดูแลประมาณไหน ประมาณไหน เราจะมีทุกอย่างให้อยู่ในสัญญาจ้างงานอยู่แล้ว แล้วสัญญานี้ก็จะทำให้ถูกต้องเพราะของเราจะทำถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง” เมื่อปลายปีที่ผ่านมาก็มีโอกาสได้ต้อนรับท่าน รมว.กระทรวงแรงงาน มาทานข้าวที่ร้านด้วย แล้วก็ได้มีการแนะนำว่าตั้งแต่ปี 2019 มานี้มันมีวีซ่าใหม่ออกมา เขาเรียกว่าวีซ่าทักษะ (Tokutei Ginou /สำหรับผู้มีทักษะเฉพาะ) ซึ่งมีหลายประเภทมาก ฝากบอกถึงน้อง ๆ ในประเทศไทยที่ชอบภาษาญี่ปุ่น หรือเรียนมาบ้างสมัยเรียนชั้นมัธยมปลาย หรือเรียนมาจากในหนังสือการ์ตูนของญี่ปุ่น ให้ไปสอบวัดระดับของญี่ปุ่นให้ได้ N4 เป็นอย่างต่ำ เสร็จแล้วไปลงทะเบียนสอบทักษะด้านอาหาร (ซึ่งจะอยู่ในกลุ่มของทักษะฝีมือ) แล้วน้องกลุ่มนี้ถ้าสอบได้ 2 ใบนี้ น้อง ๆ สามารถหางานทำในประเทศญี่ปุ่นได้เลย “ซึ่งจะติดต่อบริษัทพี่มาก็ได้ อันนี้ถือว่าติดต่อกับนายจ้างโดยตรงค่าใช้จ่ายก็จะไม่แพง แล้วก็มันจะมีบริษัทจัดหางานที่เป็นของญี่ปุ่นเขาจะเปิดที่เมืองไทยด้วย ส่งมาอีก ซึ่งน้อง ๆ สามารถมาทำงานซึ่งได้เงินเดือนก็เป็นชั่วโมงบ้างเป็นอะไรบ้างมันก็อยู่ในเรทของค่าครองชีพอะไรเหมือนกับคนญี่ปุ่นเลยค่ะ อย่างน้อยน้อง ๆ ก็เหลือประมาณ 3 หมื่น เพราะว่าตอนนี้ค่าเงินเยนจะถูกหน่อย แต่ถ้าเงินเยนมันอยู่ที่ 30-40 บาทเมื่อไหร่ มันประมาณ 1.5 แสนเยนเหลือได้ หลังจากที่หักค่าใช้จ่ายค่ากินอยู่อะไรต่าง ๆ แล้ว อันนี้เป็นอีกวีหนึ่งต้องฝากบอกต่อน้อง ๆ ที่เมืองไทย ถ้าอยากมาจริง ๆ หาคุณสมบัติของตัวเองให้ครบก็คือสอบN4 เรียนประมาณ 6 เดือนก็สอบได้ เรียนเองหรือเรียนออนไลน์ก็ได้หรือเรียนจากการ์ตูนก็ได้ แต่ว่าขอให้ไปสอบซึ่งที่ประเทศไทยเรามีการสอบทุกเดือน” ตอนนี้คนเวียดนามมาอยู่ที่ญี่ปุ่นเยอะมากแล้วเขาค่อนข้างเป็น “แรงงาน” ไปตามที่ต่าง ๆ จะเจอ ซึ่งญี่ปุ่นตอนนี้เจอปัญหาเรื่องแรงงานเพราะว่างานประเภทแบบนี้เด็กจะไม่ค่อยอยากทำกันสักเท่าไร ไปทำอย่างอื่นก็เลยทำให้ต้องอิมพอร์ตแรงงานจากไทย จากเวียดนาม จากกัมพูชา แต่กลุ่มของเวียดนามจะเป็นกลุ่มที่ใหญ่และดีมากเลย “ฝากบอกถึงน้อง ๆ คนไทย เพราะว่าอย่างแต่ก่อนจะไม่ให้โอกาสเพราะเขาให้แต่คนที่เป็นกุ๊กจริง ๆ อย่างเงี้ย หรือไม่ก็คนที่เรียนจบคหกรรมมาเท่านั้น แล้วก็มาทำงาน5 ปีแต่ก่อนจะเป็นอย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้มีทางเลือกแล้ว”



30 กว่าปีในการเผยแพร่ “อาหารไทย” ความภาคภูมิใจที่พร้อมส่งต่อ
คุณโสภิต โนมิยามา หรือพี่แอ๊ด เจ้าของร้าน CHAO THAI ในประเทศญี่ปุ่นบอกด้วย ความที่เราเป็นเด็กต่างจังหวัด เชียงใหม่ก็จริงแต่ว่ายังชานเมืองในสมัยนั้น แล้วเราก้าวมาถึงจุดนี้มาอยู่ตรงนี้ได้และก็ทำอะไรได้หลายอย่างเนี่ย มันเป็นความภาคภูมิใจจริง ๆ“อยากให้ทุกคนดูตัวดิฉันเองเป็นตัวอย่างนะคะว่า อะไรก็ตามเนี่ยถ้าเรารักแล้วเราพยายามทำมัน แล้วซื่อสัตย์เนี่ยเราโตได้ทุกวันนี้อย่าง CHAO THAI ยังมีการสำนึกรักบ้านเกิดอยู่ตลอด เราจะใช้เงินกำไรจากการทำธุรกิจของเรา ตั้งแต่เราเป็นร้านเล็ก ๆ มาแล้วจนกระทั่งปัจจุบันเราจะมีการตั้งแต่ ชาติ ศาสนา โรงเรียน-การศึกษา เราจะนำผลกำไรตรงนี้กลับไปตอบแทนบ้านเกิด” คือตัวเองจะคิดอยู่ตลอดว่า “ถ้าไม่มีอาหารไทย อาหารรสมือแม่” เราคงไม่มาถึงจุดนี้ เราคงไม่สามารถที่จะดูแล พนักงานหรือว่าดูแลครอบครัวได้ และก็สร้างให้คนรู้จักว่านี่คืออาหารไทยจริง ๆ นะ“ตอนนี้ลูกก็จะมาสานต่อแล้ว ความที่ลูก ๆ ก็โตขึ้นอย่างคนที่สองแกเรียนที่เมืองไทย(เรียนอินเตอร์) แล้วก็ไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ แล้วแฟนแกก็จบอังกฤษด้วยกันรู้สึกว่าสองคนนี้เขาจะรักอาชีพนี้ แม่ก็เลยแบบ เราก็ต้องผลักดันต่อ จริง ๆ ถามว่าเสียดายไหมเราเสียดาย เพราะเราอยู่ตรงนี้มาตลอดเนาะอยู่ตั้งแต่ร้านอาหารไทยไม่มีใครรู้จัก”จนตอนนี้ร้านอาหารไทยมีเกลื่อนคนญี่ปุ่นก็มาทำ รสชาตินี่ก็อาจจะไม่ตรงปกบ้างคือสารพัดเลยตอนนี้ ควบคุมแทบจะไม่ได้แล้ว แต่ก่อนยังคุมได้เพราะว่าสถานทูตจะให้ความสำคัญด้านนี้มาก เดี๋ยวนี้ทุกคนมีสิทธิ์เปิด โดยเฉพาะคนญี่ปุ่นรักประเทศไทยไปเรียน 6-7 เดือนบ้าง เปิดมาเยอะมากเลย! ถามว่าคู่แข่งก็เยอะในการทำธุรกิจแต่ด้วยความที่เรามี “ใจรัก” มากกว่า ดีเอ็นเอเราเป็นแบบนี้มากกว่า ก็สู้มาตลอด“นี่คือความภาคภูมิใจจริง ๆ ค่ะอยากให้ทุกคนว่า ไม่ว่าจะไปอยู่ที่แห่งไหนก็ตาม ไม่ว่าเราจะเรียนจบสูงไม่สูงก็ตามขอให้มีความตั้งใจ แล้วค้นหาตัวเองให้เจอว่าเรารักอะไร และก็มานะทำสิ่งนั้นด้วยใจรัก และซื่อสัตย์กับทุกคนที่อยู่รอบตัวเราไม่ว่าอะไรเกิดขึ้น เราก็ไม่เป็นคนโกง รับรองว่ารุ่งเรืองค่ะ”



ร้าน CHAO THAI 30 กว่าปีที่สร้างการรู้จัก “อาหารไทย” เปิดเงื่อนไข “กุ๊กไทย” ไปทำงานญี่ปุ่นถูกกฎหมายแบบการันตีรายได้ ขอบคุณเจ้าของร้านใจดีมาก ๆ เลย “คุณแอ๊ด-โสภิต โนมิยามา” ที่กรุณาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในการประกอบธุรกิจร้านอาหารไทยที่ประเทศญี่ปุ่นอย่างประสบความสำเร็จมาก ๆ ในครั้งนี้ และยังช่วยชี้แนะแนวทางสำหรับคนที่สนใจอยากจะไปทำงานในประเทศญี่ปุ่นอย่างถูกต้องตามกฎหมายและมีรายได้แบบการันตีให้ด้วย เผื่อเป็นอีกทางเลือกสำหรับใครที่กำลังมองหาโอกาสใหม่ ๆ ให้กับชีวิตอยู่ตอนนี้

* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด* * *


กำลังโหลดความคิดเห็น