สทนช. เตรียมจัดงานวันน้ำโลก ประจำปี 2568 ภายใต้แนวคิด “น้ำคือชีวิต การอนุรักษ์น้ำและธารน้ำแข็งเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน” เพื่อกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน พร้อมเน้นย้ำผลกระทบของภาวะโลกร้อนต่อระบบนิเวศและคุณภาพชีวิตของประชาชน
วันนี้ (17 มี.ค.) ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานจัดงานเนื่องในวันน้ำโลก ประจำปี พ.ศ.2568 ภายหลังการประชุมคณะทำงานวิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์น้ำและขับเคลื่อนแผนบูรณาการการแจ้งเตือนอุทกภัยทั้งระบบ ครั้งที่ 3/2568 โดยมีผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ สทนช. และสื่อมวลชนแขนงต่างๆ ร่วมรับฟังการแถลง ณ อาคารจุฑามาศ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร
เลขาธิการ สทนช. กล่าวว่า องค์การสหประชาชาติ (UN) ได้กำหนดให้วันที่ 22 มีนาคมของทุกปีเป็น “วันน้ำโลก (World Water Day)” เพื่อกระตุ้นให้ทั่วโลกร่วมกันอนุรักษ์ ฟื้นฟู และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรน้ำอย่างบูรณาการตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยที่ผ่านมา สทนช. ในฐานะที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้เป็นองค์กรหลักในการขับเคลื่อนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำทั่วประเทศอย่างเป็นระบบ ได้เป็นเจ้าภาพจัดกิจกรรมวันน้ำโลกในนามรัฐบาลไทยมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความตระหนักรู้และกระตุ้นเตือนทุกภาคส่วนถึงความสำคัญของน้ำและปัญหาด้านน้ำในปัจจุบัน รวมถึงเป็นการประชาสัมพันธ์
เชิญชวนให้ประชาชนเกิดความสนใจในการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ สำหรับงานวันน้ำโลกในปี 2568 มีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 21 มีนาคม 2568 ณ ห้องแคทลียา ชั้น 1 โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพมหานคร โดยในงานจะมีการฉายวิดีทัศน์การแถลงสารจากนายกรัฐมนตรี เพื่อประกาศนโยบายและเจตนารมณ์ในการรณรงค์ให้เกิดการอนุรักษ์แหล่งน้ำ ใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า และร่วมปรับตัวต่อสถานการณ์น้ำของโลก ทั้งนี้ ยังได้รับเกียรติจาก
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคม เป็นประธานในพิธี ซึ่งงานปีนี้จัดในประเด็นที่ UN กำหนด คือ “Glacier Preservation” หรือ “การอนุรักษ์ธารน้ำแข็ง” ภายใต้แนวคิด “น้ำคือชีวิต การอนุรักษ์น้ำและธารน้ำแข็งเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน” ซึ่งเป็นวาระสำคัญระดับโลก เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบโดยตรงต่อแหล่งน้ำทั่วโลก โดยเฉพาะธารน้ำแข็งซึ่งเป็นแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ราว 18,600 จุด ในพื้นที่มรดกโลก 50 แห่ง คิดเป็นพื้นที่กว่า 66,000 ตารางกิโลเมตร ที่กำลังละลายอย่างรวดเร็ว และคาดว่ากว่า 1 ใน 3 ของจำนวนธารน้ำแข็งทั้งหมดจะหายไปในอีกไม่ถึง 30 ปีข้างหน้า ส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำในแม่น้ำสายสำคัญ ระดับน้ำทะเล ระบบนิเวศชายฝั่ง การเกิดอุทกภัย และการสูญเสียแหล่งน้ำจืดสำหรับการอุปโภคบริโภค เกษตรกรรม ความมั่นคงทางอาหาร ไปจนถึงอุตสาหกรรมทั่วโลก
พร้อมกันนี้ รองนายกรัฐมนตรีจะเยี่ยมชมนิทรรศการซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมสำคัญภายในงาน ที่จะให้ความรู้เกี่ยวกับความสำคัญของน้ำและธารน้ำแข็ง รวมถึงประเด็นทรัพยากรน้ำในประเทศไทย เช่น น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม และน้ำทะเลหนุนสูง ตลอดจนแนวทางการอนุรักษ์และบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการจัดเวทีเสวนาภายใต้หัวข้อ “Climate Change Adaptation” หรือ “การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานภาครัฐและภาคประชาสังคม ร่วมถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ พร้อมแลกเปลี่ยนมุมมองจากตัวแทนชุมชนที่ได้รับผลกระทบ
โดยตรงครอบคลุม 6 ประเด็นสำคัญ ประกอบด้วย 1.ผลกระทบจากน้ำป่าและดินโคลนถล่ม โดย ร.ต.อ.เด่นวุฒิ จันต๊ะขัติ นายก อบต.เกาะช้าง จังหวัดเชียงราย 2.ปัญหาภัยแล้งและน้ำทะเลหนุนสูง โดย นายสมปอง รัศมิทัต นายก อบต.บางยอ จังหวัดสมุทรปราการ 3.ภัยพิบัติน้ำท่วมและน้ำป่าไหลหลาก โดย นายดอเล๊าะอาลี สาแม ประธานเครือข่ายเตือนภัยพิบัติชุมชนเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ชายแดนใต้ 4.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยผู้แทนกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
5.แนวทางการเตรียมการรับมือของประเทศไทย โดย ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการ สทนช. และ 6.การรณรงค์ช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อม โดย น.ส.เข็มอัปสร สิริสุขะ ผู้แทนประชาสัมพันธ์ (Brand Ambassador) ด้านการบริหารทรัพยากรน้ำ ของ สทนช.
ทั้งนี้ สทนช. ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจ ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไปเข้าร่วมงานวันน้ำโลก ปี 2568 หรือติดตามรับชมกิจกรรมภายในงานผ่านการถ่ายทอดสดทาง Facebook Live ของ สทนช. ตั้งแต่เวลา 9.00 น. เป็นต้นไป เพื่อร่วมกันตระหนักถึงความสำคัญของน้ำและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมหาแนวทางปฏิบัติในการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน เพราะ “น้ำคือชีวิต” ที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันดูแลรักษา เพื่อให้โลกของเราคงความสมดุลและยั่งยืนต่อไปในอนาคต