ทำความรู้จักกับ “แหลมฉบัง อิมเม็กซ์” ธุรกิจผลิตพาเลทไม้ด้วยมาตรฐานระดับสูง เจาะตลาดทั้งในและต่างประเทศมียอดการผลิตกว่า 1,500 ตันต่อเดือน พร้อมต่อยอด “ขี้เลื่อย” แปรรูปเป็น “ชีวมวลอัดแท่ง” เพื่อลดปัญหามลพิษ พร้อมด้วยมุ่งเป้าวิจัยและพัฒนาการนำ “ใบอ้อย” มาแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงชีวมวลเพื่อลดปัญหาฝุ่น PM2.5 ในอนาคต
นายเอกชัย เอื้ออารีมิตร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทแหลมฉบัง อิมเม็กซ์ จำกัด เล่าว่า ตนและพี่ชาย (เอกศักดิ์ เอื้ออารีมิตร) เริ่มต้นธุรกิจเมื่อ 20 ปีที่แล้วที่จังหวัดชลบุรี เนื่องจากเห็นโอกาสในการเติบโตของภาคส่งออกในพื้นที่ โดยเริ่มจากการเป็นบริษัทเล็กๆ มีพนักงานประมาณ 10 คน และให้บริการผ่านพิธีการศุลกากรหรือชิปปิ้ง ตามด้วยให้บริการด้านโลจิสติกส์และต่อยอดด้วยการเปิดโรงงานประกอบและผลิตพาเลทไม้ โรงเลื่อยไม้และนำเอาเศษวัสดุอย่าง “ขี้เลื่อย” มาแปรรูปเป็น “ชีวมวลอัดแท่ง”
ตลอดเส้นทางการทำธุรกิจ คุณเอกชัยยึดแนวทางการทำธุรกิจเพื่อความยั่งยืนมาเสมอ เพื่อตอบโจทย์ธุรกิจและโลก ไม่ว่าจะเป็นการผลิตพาเลทไม้ด้วยมาตรฐานระดับสูงสุด ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์และสามารถส่งออกได้ทั่วโลก การันตีการผลิตและความปลอดภัยจากมอด แมลงและเชื้อรา พร้อมกับใช้ไม้จากแหล่งที่สืบค้นได้ “นอกเหนือจากมาตรฐานที่เราต้องการทำให้สูงที่สุดในตลาดแล้ว เรายังสนใจด้าน Sustainability หรือความยั่งยืนแม้ว่าจะต้องแลกด้วยต้นทุนที่สูงกว่า เพราะเราเลือกทิศทางธุรกิจที่ไปสู่ Go Green” คุณเอกชัย ระบุ
ทั้งนี้ พาเลทไม้ของ บจก.แหลมฉบัง อิมเม็กซ์ แม้จะมีราคาสูงกว่าตลาดทั่วไปแต่ลูกค้ายินดีที่จะจ่ายเพราะสามารถส่งออกสินค้าไปยังประเทศที่มีมาตรฐานคุมเข้มและสอดคล้องกับกฎกติกาการค้าสากลได้ ทำให้มียอดผลิตที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง จากเดิมผลิตได้เพียงหลักร้อยตัวต่อเดือน ปัจจุบันสามารถเพิ่มยอดการผลิตได้ถึงหลักหมื่นตัวต่อเดือนและยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ในส่วนของการแตกไลน์และขยายธุรกิจจะโดดเด่นในเรื่องการนำจุดแข็งเดิมมาต่อยอดเพื่อสร้างเป็นธุรกิจใหม่บนพื้นฐานที่จะช่วยธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน รวมถึงสร้างประโยชน์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หนึ่งในนั้นคือการพัฒนาการผลิต “ชีวมวลอัดแท่ง” เนื่องด้วยพื้นฐานเป็นธุรกิจเกี่ยวกับไม้ในกระบวนการแปรรูปจะมีเศษไม้และขี้เลื่อยเหลือทิ้งจำนวนมาก เดิมทีจะนำไปส่งขายให้โรงงานทำปาร์ติเกิลบอร์ดหรือโรงย้อมสีก่อนจะยกระดับมาผลิตชีวมวลอัดแท่ง ซึ่งมีข้อดีคือเป็นพลังงานที่ต้นทุนต่ำ เกิดมลพิษน้อยและให้พลังงานสูง อีกทั้งยังสามารถสร้างมูลค่าและราคาที่สูงกว่าการขายเป็นขี้เลื่อนได้ถึง 3-4 เท่าตัว ปัจจุบันบริษัทมีตลาดทั้งภายในและต่างประเทศรวมกว่า 1,500 ตันต่อเดือน
“ในอนาคตทุกธุรกิจ ทุกองค์กรจะต้องถูกกำหนดเรื่องคาร์บอนฟรุตพรินต์ ดังนั้น เรื่องพลังงานทางเลือกจะเข้ามามีบทบาทสูงมาก ในอนาคตตลาด Wood Pellet จะเติบโตอีกมาก อย่างของเราที่ผลิตได้ก็ขายหมดทุกเดือนและยังมีการติดต่อให้ผลิตสูงขึ้นอีกจำนวนมาก นอกจากนี้สำหรับผู้ประกอบการที่อยากจะเป็นผู้ผลิตพาเลทไม้ควรคำนึงถึงเรื่องต้นทุน เช่น เครื่องจักรและกระบวนการส่ง” คุณเอกชัย ระบุ
นอกจากนี้ บจก.แหลมฉบัง อิมเม็กซ์ยังได้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธพว. หรือ SME D Bank เข้ามาสนับสนุนเงินทุนผ่านผลิตภัณฑ์สินเชื่อเพื่อยกระดับมุ่งสู่อุตสาหกรรมสีเขียว เพื่อช่วยให้สามารถขับเคลื่อนตามแผนธุรกิจที่จะมุ่งสู่ Go Green ได้อย่างไม่มีสะดุด “ซึ่งการเติบโตของแหลมฉบัง อิมเม็กซ์ SME D Bank ก็เป็นส่วนหนึ่งในพัฒนาการของบริษัท หลายโครงการจากภาครัฐที่มีมาเพื่อผู้ประกอบการอย่างเรา” คุณเอกชัย ระบุ
สำหรับก้าวต่อไปของแหลมฉบัง อิมเม็กซ์ นั้นจะยังคงยึดมั่นในแนวทาง Go Green เช่นเดิมและพร้อมนำเอาพื้นฐานความรู้และความเชี่ยวชาญไปแก้ปัญหาด้านมลพิษและสร้างความยั่งยืนให้แก่สังคมและเศรษฐกิจไทย ปัจจุบันกำลังวิจัยและพัฒนา “ใบอ้อย” เพื่อมาทำเป็นเชื้อเพลิงชีวมวล ซึ่งอาจจะแก้ปัญหาการเผาทิ้งทำลายทางเกษตรที่ก่อให้เกิดฝุ่น PM2.5 ที่เป็นปัญหาสำคัญของประเทศ
อย่างไรก็ตามแหลมฉบัง อิมเม็กซ์ นับเป็นต้นแบบของ SME ยุคใหม่ที่ไม่เพียงดำเนินธุรกิจของตัวเองให้ประสบความสำเร็จเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งในท้ายที่สุดประโยชน์จะหมุนเวียนย้อนกลับและเกื้อหนุนสร้างการเติบโตอย่างสมดุลและนำไปสู่ความยั่งยืน
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด* * *