กระทรวงพาณิชย์เข้าร่วมแถลงข่าวเปิดยุทธการทลายรังมังกรเทา Nominee Sweep ep. 2 ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) และกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเดินหน้าบูรณาการความร่วมมือเชื่อมโยงข้อมูลและลงพื้นที่ตรวจสอบธุรกิจที่เข้าข่าย พบนิติบุคคลกระทำผิด 442 รายใน 2 ลักษณะคือ การใช้คนไทยถือหุ้นแทนชาวต่างชาติ หรือนอมินี และการจดทะเบียนรูปแบบบัญชีม้านิติบุคคล เตือนสำนักงานบัญชีและคนไทยให้ระมัดระวังไม่ถือหุ้นแทนใครหากจับได้ต้องรับโทษทางกฎหมาย!
นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในวันนี้ (4 ธ ค.) ได้เข้าร่วมการแถลงข่าวเปิดยุทธการทลายรังมังกรเทา Nominee Sweep ep.2 ณ ห้องประชุมชัยจินดา อาคารประชาอารักษ์ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ร่วมกับผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้แก่ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. รรท.จตช. พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. และ พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผบก.ปอศ. โดยเป็นผลจากความร่วมมือจากการบูรณาการข้อมูลร่วมกันระหว่างกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ กับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ภายใต้ MOU การป้องกันและปราบปรามปัญหาการเปิดบัญชีม้าของนิติบุคคล และการใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง (NOMINEE)
รมช.พาณิชย์กล่าวต่อว่า “การแถลงข่าวครั้งนี้เป็นการจับกุมผู้กระทำผิดที่มีลักษณะนอมินีและบัญชีม้า นิติบุคคล โดยหน่วยงานภายใต้ CIB คือ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ได้ตรวจสอบบริษัทนิติบุคคลที่มีแนวโน้มเข้าข่ายการกระทำความผิดร่วมกับกรม พร้อมลงพื้นที่ตรวจค้นในพื้นที่ เช่น กรุงเทพฯ สมุทรปราการ และสมุทรสาคร พบนิติบุคคลเข้าข่ายกระทำความผิด จำนวนทั้งสิ้น 442 ราย โดยประกอบธุรกิจประเภทร้านค้า ร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เกต นำเที่ยว โกดัง/คลังสินค้า รับแลกเงินต่างประเทศ/เงินดิจิทัล ถือครองอสังหาริมทรัพย์โดยผิดกฎหมาย และหลายบริษัทไม่มีกิจการอยู่จริง
โดยมีแผนประทุษกรรม 2 รูปแบบ 1) การจดทะเบียนบริษัทในลักษณะนอมินีซึ่งคนต่างชาติว่าจ้างสำนักงานบัญชีจดทะเบียนโดยใช้คนไทยถือหุ้นแทน หรือนอมินีเข้ามาประกอบธุรกิจที่สงวนไว้ตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว โดยมีนิติบุคคลที่กระทำความผิดจำนวน 244 ราย (บุคคลต่างด้าวสัญชาติจีน 248 ราย ไทย 57 ราย สัญชาติอื่น 14 ราย) ทุนจดทะเบียนรวม 891,000,000 บาท และสำนักงานบัญชี 3 ราย ที่มีส่วนเกี่ยวข้องและรู้เห็นกับการกระทำความผิด และ 2) การจดทะเบียนบริษัทในลักษณะบัญชีม้านิติบุคคล เพื่อนำไปเปิดบัญชีธนาคารรับโอนผลประโยชน์จาก อาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือฟอกเงินที่ได้จากการกระทำความผิด มีนิติบุคคลที่กระทำผิดจำนวน 198 ราย (บุคคลต่างด้าวสัญชาติจีน มาเลเซีย (สัญชาติจีน) 8 ราย) และสำนักงานบัญชี 14 ราย ที่มีส่วนเกี่ยวข้องและรู้เห็นกับการกระทำความผิด
ทั้งนี้ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกรม และผู้กระทำผิดจะต้องได้รับโทษคือ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจ ของบุคคลต่างด้าว พ.ศ.2542 ตามมาตรา 36 กรณีคนไทยที่ให้ความช่วยเหลือสนับสนุนคนต่างด้าวให้กระทำความผิด และมาตรา 37 กรณีคนต่างด้าวที่ประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาต โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับตั้งแต่ 100,000-1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยหากฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลต้องระวางโทษ ปรับรายวัน วันละ 10,000-50,000 บาท จนกว่าจะเลิกฝ่าฝืน
นอกจากนี้ ถ้าตรวจพบว่าสำนักงานบัญชี หรือผู้ทำบัญชีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดโดยใช้เอกสารประกอบการทำบัญชีที่ไม่ถูกต้อง จะเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.การบัญชี พ.ศ.2543 มาตรา 20 ซึ่งจะมีอัตราโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท รวมถึง พ.ร.บ.วิชาชีพบัญชี พ.ศ.2547 สำหรับสำนักงานบัญชี หรือผู้ทำบัญชีมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี ที่กำหนดโดยสภาวิชาชีพบัญชี และหากผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี หรือผู้ซึ่งขึ้นทะเบียนกับสภาวิชาชีพบัญชีไม่ปฏิบัติตามจรรยาบรรณที่กำหนดตามพระราชบัญญัตินี้ให้ถือว่าผู้นั้นประพฤติผิดจรรยาบรรณ ต้องได้รับโทษตามที่กฎหมายกำหนด
ปัจจุบัน ผู้กระทำผิดได้ใช้กลวิธีจ้างสำนักงานบัญชีเพื่อจดทะเบียนบริษัทนิติบุคคล โดยใช้ชื่อคนไทยเป็นกรรมการ ผู้ถือหุ้น และนำบัญชีม้านิติบุคคลดังกล่าวไปเปิดบัญชีทางการเงินรับโอนเงินหรือฟอกเงินซึ่งหลบเลี่ยงการกระทำความผิด โดยปัญหานี้ได้สร้างความเสียหายให้เศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างมาก และสร้างความเดือดร้อนกับประชาชนไทย กระทรวงพาณิชย์ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานภายใต้คณะอนุกรรมการอีก 9 หน่วยงาน จะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่เพื่อนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ และกำจัดนอมินีให้หมดจากประเทศไทย
โอกาสนี้จึงขอเตือนไปยังสำนักงานบัญชีที่เอื้อประโยชน์ให้ผู้กระทำผิดและเน้นย้ำให้คนไทยระมัดระวังไม่ให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน หรือถือหุ้นแทนคนต่างด้าวเพื่อให้คนต่างด้าวเหล่านั้นเข้ามาประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนกฎหมาย หากตรวจสอบพบการกระทำผิดจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเข้มงวดต่อไป และขอขอบคุณพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ได้ให้ความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์อย่างเต็มที่ในการป้องปรามนอมินีและแก้ไขปัญหาบัญชีม้านิติบุคคลซึ่งเป็นเรื่องท้าทายการทำงานของหน่วยงานภาครัฐที่ต้องผสานความร่วมมือกัน” รมช.พาณิชย์ กล่าวทิ้งท้าย